ตอนที่ 10 เข้าสำนัก
ตอนที่ 10
เข้าสำนัก
“คุณชาย....คุณชายจะรับอะไรดีขอรับ”ท่ามกลางเมืองอันแสนวุ่นวายและเต็มไปด้วยผู้คน เสี่ยวเอ้อผู้หนึ่งที่กำลังเดินเข้าไปต้อนรับชายหนุ่มที่เพิ่งจะเข้ามาในร้านพยายามถามเมนูอาหารที่ชายหนุ่มต้องการจะสั่งพร้อมรอยยิ้มที่แสนจะเป็นมิตร
“คุณชาย? หมายถึงข้าหรือขอรับ”ชายหนุ่มโดนเรียกว่าคุณชายได้ยินก็หันมาทำหน้างุนงงเพราะตนเองแต่งกายไม่ได้เหมือนคุณชายแม้แต่น้อย แม้เสื้อผ้าจะเป็นของใหม่เพราะเพิ่งตัดมา แต่ก็ไม่ได้เป็นเนื้อผ้าชั้นดีหรือประดับเครื่องประดับตามร่างกายอะไร หากชายหนุ่มเลือกเดินเข้าเหลาอาหารชั้นสูงมีหวังโดนไล่ออกมาแน่ๆ
“ไม่หรอกขอรับ ทุกคนที่เข้ามาในร้านของเราก็เป็นคุณชายคุณหนูทุกท่านนั่นล่ะขอรับ ขอแค่จ่ายค่าอาหารก็พอ”เสี่ยวเอ้อยิ้มร่าก่อนจะมองชายหนุ่มด้วยท่าทียิ้มแย้มพร้อมต้อนรับเช่นเดิม แต่ถึงเสื้อผ้าของชายหนุ่มจะไม่เหมือนที่พวกคุณชายใส่กันก็จริง แต่ผิวขาวละเอียดอ่อนเช่นนี้จะเป็นชาวนาปลูกข้าวปลูกผักได้อย่างไร รวมถึงใบหน้าเองก็หล่อเหลาไม่น้อย ต่อให้ใส่เสื้อผ้าเก่าๆก็ไม่ได้ลดราศีลงไปเลย
“อย่างนี้นี่เอง งั้นข้าขอ...”ชายหนุ่มได้ยินว่าเสี่ยวเอ้อเรียกขานทุกคนเช่นนี้ก็ยิ้มออกมาด้วยท่าทีถูกใจ แม้จะเป็นร้านเล็กๆแต่ก็บริการอย่างดีกับทุกคนสินะ เดินทางมาเมืองห่างไกลเช่นนี้ได้เจอร้านดีๆนับว่าไม่เลว วันนี้ชายหนุ่มเลยช่วยสั่งอาหารเยอะหน่อยให้เสี่ยวเอ้อได้หน้าบ้าง
“คุณชาย ท่านดูไม่เหมือนคนแถวนี้ไม่ทราบเดินทางมาจากที่ไหนหรือขอรับ”หลังจากสั่งอาหารเสร็จเสี่ยวเอ้อก็เดินหายไปหลังร้านครู่หนึ่งเพื่อแจ้งรายการอาหาร แต่เผลอครู่เดียวเสี่ยวเอ้อหนุ่มก็กลับมาแล้วเริ่มพูดคุยกับชายหนุ่มอีกครั้ง บางทีคงเพราะมีชายหนุ่มเป็นลูกค้าในร้านอยู่คนเดียวกระมัง
“ข้ามาจากอาณาจักรเก้าเมฆาขอรับ ข้าอุตส่าห์เปลี่ยนเสื้อผ้าเป็นของอาณาจักรผลาญสุริยันแล้วยังดูแปลกอีกหรือขอรับ”ชายหนุ่มได้ยินเสี่ยวเอ้อถามเช่นนั้นก็สำรวจดูตัวเองช้าๆ อย่างที่บอกชุดนี้เป็นชุดใหม่ ชายหนุ่มเพิ่งจะเดินทางมาจากอาณาจักรอื่นกลัวว่าชุดของอาณาจักรตนจะสะดุดตาเกินไปก็เลยหาซื้อเสื้อผ้าใหม่มาสวมใส่แทน
“เปล่าหรอกขอรับ แต่ข้าเจอคนมาเยอะเลยพอมองออก แต่ก็ไม่คิดว่าท่านจะมาจากต่างอาณาจักรเช่นนี้ เส้นทางข้ามอาณาจักรเก้าเมฆามายังอาณาจักรผลาญสุริยันของเราใช้เวลาเดินทางนานมากไม่ทราบว่าคุณชายเดินทางไกลมาทำธุระอะไรหรือขอรับ”เสี่ยวเอ้อได้ยินว่าชายหนุ่มมาจากต่างอาณาจักรก็ถึงกับตาเป็นประกายแล้วรีบถามคำถามต่อด้วยความสนใจ แม้การเดินทางไปมาระหว่างอาณาจักรในพันธมิตรจะเป็นเรื่องปกติ แต่เพราะที่นี่อยู่เกือบจะกลางอาณาจักรผลาญสุริยันก็เลยอดสงสัยไม่ได้ว่าชาวต่างอาณาจักรมาทำอะไรที่นี่
“อยู่ๆอาจารย์ก็บอกข้าว่าไม่มีอะไรจะสอนข้าแล้ว พูดจบก็ไล่ข้าออกจากบ้านแล้วให้ข้าเดินทางมาที่นี่เลยขอรับ”ชายหนุ่มหัวเราะออกมาด้วยท่าทีปนขำปนเศร้าใจ
“เป็นอาจารย์ที่แปลกมากเลยนะขอรับ แต่....ทำไมถึงต้องมาที่นี่ล่ะขอรับ”เสี่ยวเอ้อได้ยินก็ยิ่งสงสัย โดนอาจารย์ไล่ออกจากบ้านเพราะเหตุผลว่าไม่มีอะไรจะสอนแล้วเนี่ยนะ ดูจากภายนอกชายหนุ่มคนนี้อายุไม่น่าจะเกิน 17 18 ปี แต่อาจารย์ที่สอนกลับบอกว่าไม่มีอะไรจะสอนแล้ว หรือว่าอาจารย์คนนั้นจะไร้ความรู้จนไม่มีอะไรให้สอนมากมายงั้นหรือ?
“อาจารย์บอกให้ข้ามาเข้าสำนักเพลิงบัญญัติขอรับ อยู่ๆก็บอกว่าสอนให้ข้าใช้วิชาเพลิงได้แค่นี้ ให้ตาแก่ที่อยู่ในสำนักนั้นสอนดีกว่า”ชายหนุ่มตอบออกมาจนหมดเหมือนกำลังระบายความในใจเสียอย่างนั้น ก็ช่วยไม่ได้นี่นาพออาจารย์พูดแบบนั้นก็ไล่ออกมาจากบ้านเลย แถมยังบอกให้ไปกราบคนอื่นมาเป็นอาจารย์เพิ่มอีกแบบนี้มันกะทันหันเกินไปแล้ว
“สำนักเพลิงบัญญัติ........คุณชายท่านเป็นผู้ฝึกฝนพลังวิญญาณงั้นหรือขอรับ”เสี่ยวเอ้อได้ยินก็สะดุ้งวาบเพราะไม่คิดว่าคนที่คุยด้วยจะเป็นผู้ฝึกฝนพลังวิญญาณเลย
“ขอรับ ไม่งั้นข้าจะใช้พลังวิญญาณควบคุมไฟได้ยังไงล่ะ”ชายหนุ่มหัวเราะออกมาด้วยท่าทีขำขัน แต่เสี่ยวเอ้อกลับไม่กล้าขำด้วยเท่าไหร่ ผู้ฝึกฝนพลังวิญญาณนั้นเป็นตัวตนที่พิเศษออกไปจากคนอื่น ว่ากันว่าหากทำผู้ฝึกฝนพลังวิญญาณโกรธอาจจะโดนฆ่าด้วยฝ่ามือเดียวเลยก็ได้
“เอ่อคุณชาย...ถึงท่านจะเป็นผู้ฝึกฝนพลังวิญญาณก็เถอะ แต่การเข้าสำนักเพลิงบัญญัตินั้นยากมากนะขอรับ ในสำนักมากมายทั่วทั้งอาณาจักรพันธมิตร หากพูดเรื่องการใช้ไฟละก็สำนักเพลิงบัญญัติไม่เป็นสองรองใครเลยนะขอรับ เพราะงั้นมาตรฐานการรับเข้าสำนักเลยยากมากๆด้วย”แม้เสี่ยวเอ้อจะตกใจกับเรื่องที่เด็กหนุ่มคนนี้เป็นผู้ฝึกฝนพลังวิญญาณ แต่ในเมืองที่สำนักธาตุไฟอันดับหนึ่งตั้งอยู่จะบอกว่าไม่เจอผู้ฝึกฝนพลังวิญญาณเลยก็คงไม่ได้ แต่เด็กขนาดนี้จะไปทดสอบเข้าสำนักเพลิงบัญญัติได้ยังไงกัน
“อาจารย์ของข้าบอกว่าให้ข้าเข้าไปบอกคนในสำนักเท่านั้นเอง ไม่เห็นบอกข้าเลยว่ามีการทดสอบด้วย”ชายหนุ่มทำหน้างุนงงออกมาทันทีเมื่อได้ยินว่าสำนักเพลิงบัญญัติมีการทดสอบก่อนเข้าสำนักด้วย
“เอ๊ะ....เดินไปบอกได้เลยหรือขอรับ คุณชายไม่ทราบว่าท่านมีชื่อแซ่ว่าอะไรหรือขอรับ”เสี่ยวเอ้อได้ยินชายหนุ่มพูดแบบนั้นก็มีท่าทีประหลาดใจอย่างมาก คนที่จะบังคับสำนักเพลิงบัญญัติขนาดฝากฝังเด็กคนหนึ่งให้เข้าสำนักได้ง่ายๆนั้นคงไม่ใช่คนธรรมดาแน่ ถ้าได้ทราบชื่อแซ่ของชายหนุ่มผู้นี้อาจจะได้ทราบก็ได้ว่าชายหนุ่มผู้นี้เป็นผู้ยิ่งใหญ่มาจากไหน
“ข้าชื่อ..หนิงหลงขอรับ”หนิงหลงตอบพลางยิ้มรับด้วยท่าทีสบายๆ แต่เสี่ยวเอ้อที่ได้ยินกลับทำหน้างงหนักกว่าเดิมอีก แซ่หนิง ชื่อหลง อย่างนั้นหรือ ไม่เห็นเคยได้ยินมาก่อนเลย แล้วพ่อหนุ่มคนนี้ไปเอาความมั่นใจมาจากไหนกันถึงได้เชื่อว่าจะเข้าสำนักเพลิงบัญญัติได้ง่ายดายนัก
.
.
.
“ข้ามีนามว่า จงซุนป๋อ ข้ามาที่นี่เพื่อเข้าร่วมกับสำนักเพลิงบัญญัติ”อีกด้านหนึ่งระหว่างหนิงหลงกำลังพักหลังจากเดินทางไกลมาเป็นเวลานาน ที่หน้าสำนักเพลิงบัญญัติยามนี้กลับมีชายผู้หนึ่งหาญกล้าเปิดประตูเหล็กของสำนักเข้ามาโดยไม่ได้รับอนุญาต ทำให้เหล่าผู้คุ้มกันของสำนักต่างเดินออกมาเตรียมป้องกันแทบจะทันที
“เจ้าหนู เจ้าต้องการเข้าร่วมสำนักของพวกเรางั้นหรือ”ชายหนุ่มผู้หนึ่งเดินออกมาจากกลุ่มผู้คุ้มกันด้วยท่าทีสงบเยือกเย็น ประตูสำนักทำจากเหล็กกล้าคนธรรมดาไม่มีกำลังพอจะเปิดหรอก เช่นนั้นชายหนุ่มผู้นี้ก็ต้องเป็นผู้ฝึกฝนพลังวิญญาณไม่ผิดแน่ แต่ดูแล้วอายุยังน้อยไม่ทราบว่าจะมีพลังระดับไหน
“ข้าได้ยินว่าที่นี่เป็นสำนักธาตุไฟอันดับหนึ่ง ก็เลยจะมาเข้าสักหน่อย”จงซุนป๋อได้ยินก็ตอบกลับไปด้วยท่าทีมั่นใจ จงซุนป๋อเป็นอัจฉริยะแห่งเมืองทางตะวันออกของอาณาจักรผลาญสุริยัน มีพลังธาตุไฟที่โดดเด่นมาตั้งแต่เริ่มใช้พลังวิญญาณได้จนได้รับฉายาบุตรแห่งอัคคีเลยทีเดียว
“ย่อมได้ สำนักเราเปิดรับผู้มีพรสวรรค์อยู่แล้ว เพียงแต่ก่อนจะเข้าเราจะทำการทดสอบ........”
พรึบ...!
คนของสำนักยังพูดไม่ทันจบ จงซุนป๋อก็สร้างไฟปกคลุมแขนทั้งสองข้างขึ้นมาเสียอย่างนั้นทำเอาเหล่าผู้คุ้มกันสำนักชักอาวุธออกมาเตรียมพร้อมกันทันที
“ทดสอบอะไรน่าเบื่อ เจ้าก็แค่รับกระบวนท่าของข้าให้ได้ก็พอ”จงซุนป๋อว่าพลางตั้งท่าหมัดด้วยท่าทีดุดัน แม้จะอายุเพียง 20 ปีแต่จงซุนป๋อกลับเชี่ยวชาญระดับพลังธาตุถึงระดับ 2 แล้ว นับว่าสูงกว่าคนปกติในวัยนี้มาก ไม่แปลกที่จงซุนป๋อจะมีความมั่นใจ
“เป็นพวกตัดสินด้วยกำลังสินะ เหมือนศิษย์น้องโง่ๆบางคนของข้าเลย”คนของสำนักถอนหายใจออกมาก่อนจะเดินมายืนเบื้องหน้าจงซุนป๋ออย่างใจเย็น
“ศิษย์พี่ซาน ศิษย์น้องที่ท่านว่าคงไม่ได้หมายถึงข้านะขอรับ”ระหว่างกำลังจะปะทะกับจงซุนป๋อ อยู่ๆคนของสำนักคนหนึ่งก็เหมือนจะร้อนตัวรีบหันไปถามชายหนุ่มตรงหน้าเสียอย่างนั้น ทำไมอยู่ดีๆถึงหันมาแขวะกันได้ล่ะ
“ไม่ใช่เจ้าแล้วจะเป็นใครล่ะหว่านจือ”ชายหนุ่มที่ถูกเรียกว่าศิษย์พี่ซานตอบออกมาด้วยท่าทีเหมือนเป็นเรื่องปกติเล่นเอาคนของสำนักพากันหัวเราะออกมาเสียอย่างนั้น แน่นอนว่าตัว หว่านจือ เองก็ทำหน้าบึ้งตึงกลับมาเช่นกัน
“ศิษย์พี่ ถึงข้าจะใจร้อนไปบ้าง แต่ข้าก็ไม่ได้อวดอ้างตัวเองจนน่าเกลียดแบบเจ้านี่นะขอรับ”หว่านจือว่าพลางเดินเข้ามาหาศิษย์พี่ซานด้วยท่าทีร้อนรน เล่นเอาตัวเองไปเทียบกับเจ้าคนที่เข้ามาหาเรื่องแบบนี้ก็แย่สิ
“ไม่ใช่ยังไง เจ้าก็เข้ามาที่หน้าประตูสำนักแล้วท้าทายคนของสำนักเหมือนกันไม่ใช่หรือไง ไม่สิต้องบอกว่าเจ้าโง่กว่าเสียด้วยซ้ำ เพราะตอนนั้นเจ้าท้าทายท่านอาวุโสของสำนักไม่ใช่แค่ศิษย์ในสำนักอย่างข้า”ศิษย์พี่ซานว่าพลางส่ายหน้าออกมาอย่างเหนื่อยใจ
“ตะ แต่ข้าก็ไม่ได้เข้ามาท้าด้วยพลังระดับแค่นั้นนะขอรับ นี่ไงอย่างน้อยท่านอาวุโสก็เห็นความสามารถของข้าแล้วรับข้าเข้ามาในสำนักนี่ไง”หว่านจือยิ้มเจื่อนๆออกมาด้วยท่าทีเขินอาย ทำไมอยู่ๆตัวเองก็โดนลากไส้ออกมาแบบนี้เล่า
“นั่นเพราะท่านอาวุโสพลั้งมือทำร้ายเจ้าก็เลยสงสาร.......”
“พวกเจ้า คิดว่าล้อข้าเล่นแบบนี้สนุกมากหรือไง รับหมัดของข้าซะ”ระหว่างศิษย์พี่ซานกับหว่านจือกำลังเถียงกันอยู่นั้น จงซุนป๋อที่โดนเมินมาพักใหญ่ก็แสดงท่าทีโมโหออกมา แถมยังเร่งพลังไฟของตนให้ลุกโชนมากกว่าเดิมเสียอีก ปกติเวลาตนใช้วิชานี้ออกมาเหล่าผู้ฝึกฝนพลังวิญญาณในเมืองต่างก็แสดงท่าทีระมัดระวัง เพิ่งจะมีเจ้าพวกนี้นี่ล่ะที่ยืนเฉยเหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้น แถมยังทำเป็นไม่สนใจเขาอีกต่างหากทำให้จงซุนป๋อหมดความอดทนแล้วกำหมัดวิ่งเข้าไปโจมตีศิษย์พี่ซานทันที
ปึก!
หมัดของจงซุนป๋อโดนศิษย์พี่ซานจับเอาไว้ได้อย่างง่ายดาย เพียงแต่ไม่ใช่แค่จับเท่านั้น เปลวเพลิงที่ลุกท่วมทั้งสองแขนของจงซุนป๋อกลับดับมอดลงในพริบตาเลยทีเดียว
“แค่ทักษะควบคุมไฟระดับสองก็คิดจะมาเข้าสำนักของพวกเราซะแล้ว น่าเสียดายถึงจะนับว่ามีพรสวรรค์แต่พรสวรรค์ระดับเจ้าสำนักของเราไม่ต้องการ”ศิษย์พี่ซานพูดจบก็ปัดหมัดของจงซุนป๋อออกไปก่อนจะซัดฝ่ามือกระแทกอกของจงซุนป๋อจนปลิวออกจากประตูสำนักไป
“เฮ้อ พวกไม่เจียมตัว”เหล่าศิษย์ของสำนักเพลิงบัญญัติเห็นจงซุนป๋อโดนซัดปลิวหายไปก็พากันถอนหายใจออกมากันถ้วนหน้า เพราะเป็นสำนักมีชื่อเสียงก็เลยมีพวกแบบนี้มาบ้าง แต่อย่างน้อยเจ้าจงซุนป๋อก็ยังเข้ามาแสดงฝีมือให้เห็นนับว่าเป็นพวกที่มาแล้วก็สนุกดี ไม่เหมือนบางพวกที่เข้ามาแล้วโอ้อวดว่าตนเองเป็นคนใหญ่คนโตต้องการเข้าสำนักด้วยเส้นสาย ถ้าเจอแบบนั้นเหล่าศิษย์พี่ต้องเล่นงานจนเจ็บหนักกว่าเจ้าจงซุนป๋อแน่ๆ
“เอ่อ....สวัสดีขอรับ”ระหว่างเหล่าศิษย์กำลังจะแยกย้ายกันไปทำหน้าที่ของตนเอง อยู่ๆประตูเหล็กกล้าของสำนักก็แง้มออกช้าๆพร้อมใบหน้าของชายหนุ่มผู้หนึ่งที่กำลังชะโงกเข้ามาด้วยท่าทีไม่มั่นใจ
“ที่นี่ใช่สำนักเพลิงบัญญัติหรือเปล่าขอรับ พอดีอาจารย์ของข้าบอกให้ข้ามาเข้าสำนักนี้ขอรับ”หนิงหลงค่อยๆเดินเข้ามาในสำนักด้วยท่าทีลังเล เขาไม่ใช่คนที่นี่ก็เลยไม่มั่นใจว่าตนเองมาถูกหรือไม่เสียด้วย
“เจ้าว่าไงนะ”พอได้ยินหนิงหลงบอกว่าอาจารย์ของตนให้มาเข้าสำนักนี้ หว่านจือ ก็หันมามองด้วยท่าทีไม่พอใจทันที เจ้านี่คงเป็นพวกน่ารำคาญที่เอาชื่อของคนใหญ่คนโตมาอ้างเพื่อหวังจะเข้าสำนักสินะ หารู้ไม่ต่อให้เป็นองค์จักรพรรดิแห่งอาณาจักรผลาญสุริยันเองก็ยังฝากคนเข้าสำนักไม่ได้เลย แล้วอาจารย์ของเจ้าหนูนี่มันคือใครกันคิดจะให้ใครเข้าสำนักผู้อื่นก็ทำได้งั้นหรือ