บทที่ 69 สุสานแม่ม่าย 5
“ผมขอเก็บมันไว้ได้ไหม?” ฉันถามก่อนที่จะรู้ตัวว่าฝ่ามือของฉันมีเลือดไหลออกมาจากการจับชิ้นส่วนของเขาแรงเกินไป
หญิงเอลฟ์แม้จะอยู่ในสภาพแย่แต่ก็หัวเราะออกมาเบาๆหลังจากได้ยินคำขอของฉันทำให้ฉันประหลาดใจ ฉันเลิกคิ้วและอดไม่ได้ที่จะสงสัยว่าเกิดอะไรขึ้นในใจของเธอและมันน่าชื่นชมเพียงใดที่เธอยังสามารถหัวเราะได้เมื่อพิจารณาสถานการณ์ของเธอ
“นายกำลังมองมาที่ฉันราวกับว่าฉันเป็นคนบ้าใช่มั้ย?” เธอพูดขณะพยายามหันหน้าไปทางเสียงของฉัน
“ไม่ไม่บ้าแต่น่าชื่นชมต่างหาก” ฉันตอบ
“นายก็เป็นคนแปลกเหมือนกันนะที่ถามทหารที่กำลังจะตายว่าขอเก็บของนั้นไว้ได้ไหม เก็บมันไว้เถอะ มันไม่ได้มีค่าอะไรสำหรับฉันต่อไปแล้วละ” เธอถอนหายใจออกมา ทันใดนั้นใบหน้าของเธอก็ดูราวกับว่าเธอมีอายุเพิ่มขึ้นยี่สิบปีด้วยการแสดงออกที่น่ากลัวที่เธอทำ
“ฉันยังไม่รู้จักชื่อของนายด้วยซ้ำนะเจ้าเด็กน้อยฉันกำลังจะตายในไม่ช้าแล้ว นายไม่จำเป็นต้องพยายามสงสารฉันกับข้อเท็จจริงนั้นหรอกนะ” นักรบเอลฟ์ปล่อยลมหายใจอย่างเหนื่อยล้าแต่สีหน้าของเธอยังคงแน่วแน่
“ผมชื่ออาเธอร์และ…ใช่น่าเสียดายที่ดูเหมือนจะไม่มีทางใดที่ผมจะช่วยคุณได้เลย” ฉันใส่ชิ้นส่วนสีดำไว้ในแหวนมิติของฉัน "ผมขอโทษด้วย"
“มันก็ช่วยไม่ได้นิ อีกอย่างฉันคงมีเวลาไม่มากฉันจะบอกนายให้มากที่สุดเท่าที่ฉันรู้” หน้าอกของฉันรู้สึกหนักอึ้งเมื่อเธอละทิ้งความหวังที่จะมีชีวิตรอดและยอมรับชะตากรรมของเธออย่างง่ายดาย
“ฉันชื่อ อเลอา ทริสกัน อย่างที่นายรู้ฉันเป็นหนึ่งในหกแลนซ์และซากศพที่นายเห็นเมื่อมาถึงก็คือกองทหารของฉัน แลนซ์แต่ละคนจะคอยดูแลของกองพันที่ประกอบไปด้วยนักเวทย์ชั้นยอด” เธอถอนหายใจหนักๆอีกครั้งและครั้งนี้ฉันดีใจที่เธอไม่ได้เห็นการสังหารที่น่าสยดสยองซึ่งจะทำให้สถานที่ที่สวยงามครั้งหนึ่งนี้กลายเป็นที่ฝังศพที่แสนจะโหดร้าย
“หลังจากการเปิดตัวแลนซ์ทั้งหกเมื่อไม่กี่เดือนที่ผ่านมาฉันได้ฝึกพวกนักเวทย์ให้ทำงานเป็นทีมเพื่อเคลียร์ดันเจี้ยนและพื้นที่อื่นๆที่ยังไม่เป็นที่รู้จัก แลนซ์ทั้งหกแทบจะไม่ได้ไปทำภารกิจด้วยกันเว้นแต่เราจะสำรวจดันเจี้ยนระดับคลาส S ขึ้นไป” เธอพูดต่อหลังจากหยุดพักเพื่อหายใจ
“จากทิศทางการเดินของนายก่อนหน้านี้ดูเหมือนว่านายจะเข้ามาจากช่องทางเข้าอื่น สถานที่นี้เชื่อมต่อกับสามดันเจี้ยน นายมาจากดันเจี้ยนไหนละอาเธอร์?” อเลอากระดิกตัวดิ้นรนเพื่อยันตัวเองขึ้นกับกำแพง
“ผมมากับเพื่อนร่วมชั้นและศาสตราจารย์จากสุสานแม่ม่าย ทุกคนสามารถออกกลับไปได้ แต่ผมไม่ได้โชคดีขนาดนั้น” ฉันนั่งพิงกำแพงข้างๆอเลอาขณะสำรวจการสังหารที่ปรากฏต่อหน้าฉัน ฉันสามารถจินตนาการได้อย่างคลุมเครือว่าเกิดอะไรขึ้นจากการที่ร่างกายอยู่ในตำแหน่งและตำแหน่งที่พวกเขาได้รับบาดเจ็บสาหัส
“ฉันไม่แน่ใจว่านายอายุเท่าไหร่นะอาเธอร์ แต่ไม่ควรมีใครได้เห็นอะไรแบบนี้” อเลอากระซิบ เสียงของเธอเจือไปด้วยความสำนึกผิด
“อายุของผมอาจจะไม่สัมพันธ์มากเกินไปสำหรับสถานการณ์เช่นนี้ แต่คุณพูดถูก ไม่ว่าใครจะอายุเท่าไหร่ก็ไม่ควรเห็นอะไรแบบนี้”
การหายใจของเธอเริ่มไม่มั่นคงเป็นพักๆ แต่เธอก็อดทนต่อไป
“กองทหารของฉันและฉันมาจากดันเจี้ยนคลาส A ชื่อเฮลจอ เราได้รับมอบหมายให้ตรวจสอบดันเจี้ยนหลังจากได้รับรายงานการพบเห็นที่ไม่สอดคล้องกัน นักผจญภัยที่รอดกลับมาคือพวกที่แวะเวียนไปมาที่ดันเจี้ยนเพื่อฝึกฝน พวกคนที่เกือบไม่รอดกลับพวกเขาทั้งหมดบอกว่าพวกสัตว์ร้ายที่อาศัยอยู่ภายในดันเจี้ยนจู่ๆก็แข็งแกร่งขึ้นและดุร้ายขึ้น เป็นกรณีเดียวกับดันเจี้ยนนายด้วยมั้ย?” อเลอาถามคำพูดของเธอออกมาช้ากว่าเดิม
"ใช่ ที่ชั้นหนึ่งเราเจอกับกองทัพสแนร์เลอร์ต้อนรับพวกเราอยู่ เหล่ามินเนี่ยนก็ไม่ได้เลวร้ายนัก แต่มีราชินีถึงสองตัวปรากฏตัวขึ้น หนึ่งในราชินีได้กินราชินีอีกตัวแล้วจู่ๆเธอก็เปลี่ยนจากสีเทาเป็นสีดำและความแข็งแกร่งของเธอก็เพิ่มขึ้นสองถึงสามเท่า ผมสงสัยว่านี้ปีศาจที่มีเขาจะเป็นต้นเหตุ”
“นายหมายถึงอะไรที่นายบอกว่าสงสัย?! นายกำลังบอกฉันว่านายเคยเห็นปีศาจตัวนั้นมาก่อนหรือเปล่า?” ทันใดนั้นร่างกายที่อ่อนปวกเปียกของอเลอาก็ลุกขึ้นมาในขณะที่หัวของเธอหันกลับมาหาฉัน เสียงของเธอตกใจอย่างเห็นได้ชัดเจน
“ฉันไม่แน่ใจว่าใช่คนๆเดียวกันหรือเปล่า แต่ใช่” ฉันตอบอย่างตรงไปตรงมา
“คนๆเดียวกันเหรอ? นายคิดว่ามีพวกมันมีมากกว่าหนึ่งคนหรือ?” ใบหน้าที่ซีดอยู่แล้วของอเลอากลายเป็นสีที่ขาวมากยิ่งขึ้น
“ผมไม่มีหลักฐานแน่ชัดแต่ผมบอกได้เลยว่าคนที่คุณเห็น 'วิทรา' เป็นเพียงหนึ่งในปีศาจที่มีเขาที่ไม่แน่ชัดว่าพวกเขาอยู่กันที่ไหน” ฉันตอบเมื่อนึกถึงคืนนั้นที่ฉันแยกจากซิลเวีย ปีศาจสีดำที่มีเขาโค้งลงกล่าวบางอย่างเกี่ยวกับการทำให้พวกเขาเดือดร้อน มันเป็นเพียงการคาดเดาแต่ฉันสงสัยว่าอาจมีมากกว่านั้น
จิตใจของฉันเริ่มหมุนเมื่อฉันไตร่ตรองถึงความเป็นไปได้และเหตุผลที่แตกต่างกันว่าทำไมพวกเขาถึงทำเช่นนี้ ทั้งหมดนี้ทำเพื่อแย่งตัวซิลวีหรือสาเหตุอื่นที่ยิ่งใหญ่กว่านั้น?
ฉันจำได้ว่าตอนที่ซิลเวียให้หินกับฉันเธอบอกกับฉันว่าต้องปกป้องมันด้วยชีวิตไม่ว่าจะด้วยอะไร “หิน” นั้นกลายเป็นไข่และของมังกร ซิลวีเป็นตัวตนที่สำคัญขนาดที่ปีศาจมีเขาต้องทำขนาดนี้เพื่อจะได้ครอบครองมัน?
“นายกำลังคิดอะไรอยู่หรออาเธอร์?” อเลอาปล่อยเสียงไอที่ตึงเครียดขณะที่เลือดสดไหลออกมาจากบาดแผลที่ปิดสนิทซึ่งครั้งหนึ่งเคยมีแกนมานา
ฉันพบว่ามันน่าสนใจอยู่เสมอในขณะที่คอร์สัตว์อสูรสามารถใช้เป็นเครื่องมือในการเพิ่มมานาได้แต่คอร์มานาของมนุษย์กลับไม่ได้เป็นเช่นนั้น เมื่อนักเวทย์ตายแกนมานาของพวกเขาก็จะแตกออกเป็นเสี่ยงๆและมานาที่สะสมอยู่ภายในก็จะกระจายหายไป นั้นเป็นเพราะพวกเรารวบรวมมานาจากชั้นบรรยากาศที่เกิดขึ้นหรือเปล่า?
ดูเหมือนจะมีความหมายที่ลึกซึ้งยิ่งขึ้นเมื่อฉันนึกถึงวิธีที่มนุษย์ไม่จำเป็นต้องมีแกนมานาเพื่อที่จะอยู่รอดในขณะที่แกนมานาของเราช่วยในการเอาตัวรอดของเรา โลกนี้ดูเหมือนว่าจะเป็นเป็นวัฎจักรที่คนๆหนึ่งจะเป็นนักเวทย์หรือไม่และถ้าคนๆนั้นเป็นคนๆนั้นต้องแข็งแกร่งแค่ไหนกัน ฉันอดคิดไม่ได้ว่าพระเจ้าของโลกนี้ต้องการบอกเราว่าการมีชีวิตนั้นสำคัญกว่าเวทมนตร์ซึ่งน่าจะเป็นคำพูดที่ชัดเจนแต่เป็นคำพูดที่ผู้คนในโลกนี้ดูเหมือนจะลืมไปแล้ว
ก่อนที่ฉันจะลงลึกไปในแง่มุมของสิงมีชีวิตที่เหนือกว่ามนุษยอาการไอของอเลอาก็ทำให้ฉันกลับสู่โลกแห่งความเป็นจริง
"คุณสบายดีไหม?" นั่นเป็นคำถามที่โง่จริงๆ เห็นอยู่กับตาว่าเธอนั้นไม่โอเค
“เมื่อทีมของฉันไปถึงชั้นแรกของเฮลจอมันยังไม่มีอะไรเกิดขึ้น สัตว์มานาเป็นสัตว์ชนิดเดียวกับที่ถูกบันทึกไว้ มันคือตอนที่เราไปถึงชั้นสุดท้ายที่หัวหน้าของดันเจี้ยนต่างหาก อสรพิษฮาเดส ซึ่งเป็นสัตว์ร้ายมานาคลาส AA ฉันสามารถเอาชนะมันได้ด้วยตัวเองอย่างง่ายดาย” ไม่มีร่องรอยของการโอ้อวดหรือความมั่นใจในน้ำเสียงของเธอ มันเป็นเพียงความจริงสำหรับเธอ
“ อสรพิษฮาเดสซึ่งเป็นที่รู้จักในว่ามีแสงไฟสีฟ้าที่ตามแนวสันหลังของมันดูแตกต่างออกไป ตอนแรกเราสับสนเพราะมันดูเหมือนไม่มีเปลวไฟเลย แต่เมื่อเรามองเข้าไปใกล้ๆสาเหตุที่เรามองไม่เห็นเปลวไฟนั้นเป็นเพราะว่าเปลวไฟนั้นเป็นสีดำ
“มันดูเหมือนควันหนาที่กระพืออย่างรุนแรงตามแนวกระดูกสันหลังของอสรพิษนาวร้อยฟุต อสรพิษฮาเดสตัวนั้นมีเขาสีดำยื่นออกมาจากหน้าผากของมันในขณะที่เกล็ดของมันซึ่งถูกบันทึกว่าเป็นสีเทาด้านนั้นเป็นสีดำเงา…” หายใจเข้าลึกๆฉันสังเกตเห็นอเลอากำลังสั่นไปทั้งตัว
“การต่อสู้นั้นน่าสยดสยองมาก ฉันเสียลูกน้องไปห้าคนให้กับอสรพิษฮาเดสตัวนั้น การต่อสู้ใช้เวลาหลายชั่วโมงแต่ฉันก็สามารถฆ่ามันได้ ตอนที่เราพยายามหาแกนมานาของมันแต่มันกลับไม่อยู่ที่นั่น” เธอไออีกครั้งฉันจึงรีบวิ่งไปที่บ่อน้ำและแช่เครื่องแบบที่ขาดของฉันลงไป หลังจากล้างมันฉันก็ปล่อยให้ผ้าดูดซับน้ำให้มากที่สุดก่อนที่จะเดินกลับไปที่อเลอา
“อ้าปากนะ” ฉันสั่ง
เธอลังเลอยู่ครู่หนึ่งแต่ในที่สุดเธอก็ทำตามที่บอก ขณะที่ฉันค่อยๆบีบเครื่องแบบที่เปียกชุ่มไปทั่วปากของเธอ น้ำไหลเข้าไปในปากของเธอ
เธอตะโกนออกมาด้วยความประหลาดใจเล็กน้อยกับของเหลวเย็นๆ แต่หลังจากนั้นไม่นานก็เริ่มกลืนน้ำลงคออย่างดุเดือด เธอกระซิบคำขอบคุณเล็กน้อยก่อนจะเล่าเรื่องราวของเธอต่อไป
“แม้ว่าเราอยากจะกลับไปที่พื้นผิว แต่เราก็ยังไม่ได้ข้อสรุปของเรื่องทั้งหมดดังนั้นเราจึงค่อยๆเริ่มค้นหาเบาะแสอีกครั้ง คนของฉันคนหนึ่งใช้คาถาและพบว่ามีอุโมงค์ซ่อนอยู่ใต้ชั้นดินบางๆหลังจากข้ามอุโมงค์ไปเราก็มาถึงที่นี่…” เสียงของอเลอาสั่นสะท้านในคำพูดสุดท้ายของเธอ น้ำตาผสมกับเลือดที่ไหลลงมาที่เปลือกตาที่ปิดซึ่งเคยเป็นดวงตาของเธอ
“ขะ - เขาอยู่ที่นี่…เมื่อเรามาถึงถ้ำนี้ ฉันยังจำวิธีที่เขามองเราได้ดี ด้วยดวงตาสีแดงสดคู่นั้น…” หลังจากปล่อยลมหายใจที่สั่นเทาแล้วเธอก็พูดต่อ
“ทีมของฉัน…ไม่มีใครรู้เลยว่าสัตว์ประหลาดตัวนั้นคืออะไรดังนั้นเราจึงทำในสิ่งที่สัญชาตญาณบอกให้เราทำ พวกเรายกอาวุธขึ้น… นั่นเป็นความผิดพลาดครั้งแรกของเรา ฉันยังจำมันได้อย่างชัดเจน ผิวสีเทาซีดของเขา ใบหน้าของเขา…มันเป็นสัตว์ร้าย แต่ก็ดูเกือบจะเหมือนกับ…มนุษย์ เขามองมาที่เราและยิ้มเยาะเผยให้เห็นเขี้ยวอันแหลมคมของเขา สิ่งที่ทำให้เราตกใจที่สุดคือตอนที่เขาพูด…” เสียงของเธอกระซิบ
“อืม” ฉันตอบเพียงเพื่อให้เธอรู้ว่าฉันยังอยู่ที่นั่น
“เขาไม่แปลกใจเลยที่เจอเราที่นั่น วิทรา...เขา ... เจ้านั้นมองมาที่เราก่อนที่จะ ...”
"ก่อนที่จะ?" ฉันถามนั่งตัวตรง
“เขาให้ทางเลือกสองทางแก่เรา” น้ำตาและเลือดยังคงไหลลงมาบนใบหน้าที่สวยงามของเธอในขณะที่เธอพยายามให้ตัวเองพูดออกมา
“เขามองตรงมาที่ฉันราวกับว่าเขารู้ทันทีว่าฉันเป็นหัวหน้าและบอกฉันว่าเขาจะปล่อยให้ฉันเดินออกไปโดยไม่เป็นอันตรายถ้าหากฉัน -” เธอสำลักสะอื้นมือข้างเดียวของเธอกำหมัดแน่น“- ถ้าฉันยอมแยกชิ้นส่วนร่างกายของเพื่อนร่วมทีมของฉันทีละคนต่อหน้าเขา”
ข้อเสนอที่ไร้สาระนั้นทำให้ทุกคนโกรธเคือง แต่เมื่อมองมาที่สถานะของอเลอาในตอนนี้ฉันไม่มีความมั่นใจที่จะบอกว่าเธอตัดสินใจได้ถูกต้อง บางทีเพื่อนร่วมทีมของเธออาจต้องการให้เธอฆ่าพวกเขาอย่างรวดเร็วแทนที่จะถูกทรมานแบบที่พวกเขาเป็น
“ตัวเลือกอีกทางคืออะไร?” ฉันถามพลางเอามือของฉันหุ้มเบาๆเหนือกำปั้นที่กำแน่นของเธอ
“เขาแค่…เย้ยหยันใส่พวกเราและพูดว่า ‘…หรือพวกแกจะลองสู้ดูก็ได้’” น้ำตาที่ผสมเลือดของเธอเปื้อนเสื้อผ้าที่ฉีกขาดขณะที่เธอยังคงร้องไห้อย่างแผ่วเบา
ฉันไม่สามารถหาคำพูดที่จะปลอบโยนเธอได้ ฉันทำได้แค่เอามือโอบรอบกำปั้นของเธอไว้แน่น ช่วงเวลาไหลผ่านโดยมีเพียงเสียงน้ำไหลและเสียงสะอื้นเบาๆของอเลอาที่ทำลายความเงียบงัน
“พวกเราไม่…มีแม้แต่โอกาสที่จะ...” เธอกระซิบสะอึก
“ผมขอโทษที่จะทำให้คุณหวนนึกถึงฉากนี้ แต่ผมต้องการรายละเอียดมากที่สุดเท่าที่จะทำได้อเลอา” ฉันลูบมือเธอเบาๆเพื่อพยายามทำให้เธอสงบ
“เค้ามีเขาหนึ่งอันที่กลางหน้าผาก…ซึ่งโค้งไปข้างหลัง” เธอพยายามอย่างเต็มที่ที่จะพูดอย่างใจเย็น
“มีเพียงเขาเดียวเหรอ?” เป็นอย่างที่ฉันคิด มีปีศาจเขามากกว่าหนึ่งตัวจริงๆด้วย พวกมันเป็นกลุ่มของอะไรสักอย่าง? หรือพวกมันเป็นเผ่าพันธุ์อะไรสักอย่าง?
หัวใจของฉันเริ่มเต้นอย่างไม่สามารถควบคุมได้จากการจินตนาการถึงเผ่าพันธุ์ปีศาจที่มีเขา เพียงคนเดียวก็สามารถกำจัดหนึ่งในหกแลนซ์และทีมของเธอได้อย่างง่ายดาย
“ใช่ - ใช่ การโจมตีที่รุนแรงที่สุดของฉันทำได้เพียงสร้างรอยร้าวเล็กๆบนเขานั้น” อเลอาดูเหมือนว่าเธออยากจะถามอะไรฉันแต่เธอก็พูดต่อไปด้วยลมหายใจสั้นๆของเธอ
“เขา…มัน… วิทราสามารถใช้เวทมนตร์ได้ - เวทมนตร์ที่ดูเหมือนจะท้าทายสามัญสำนึกของเวทมนตร์ทั้งหมดที่ฉันเคยเห็น” ริมฝีปากของอเลอาเริ่มสั่น
“เขาใช้เวทมนตร์แบบไหน?”
"โลหะ โลหะดำ เขาสามารถเสกเหล็กแหลม ใบมีดอาวุธทุกชนิดจากพื้นและตัวเขาได้ในทันที ฉันไม่รู้ด้วยซ้ำว่าจะอธิบายอย่างไรให้ถูกต้อง มันจบลงเร็วเกินไป ทีมของฉันครึ่งหนึ่งเสียชีวิตในการโจมตีครั้งแรกที่เขาปล่อยออกมาด้วยการสะบัดข้อมือง่ายๆ คนที่รอดเข้าโจมตีเขาแต่เขาก็ไม่สนใจที่จะหลบมัน…แผ่นโลหะสีดำปรากฏขึ้นในทันทีและปิดกั้นการโจมตีใดๆก็ตามที่เข้ามาใกล้เขา”
ฉันรู้สึกว่าใบหน้าของฉันตึงเครียดขณะพยายามนึกภาพว่าของวิทราและความเป็นไปได้ของพลังทั้งหมดของเผ่าพันธุ์นั้น ดูเหมือนการร่ายเวทย์แต่ในระดับที่แตกต่างไปอย่างสิ้นเชิง วิธีที่เธออธิบายมันทำให้ดูเหมือนการสำแดงหรือแม้แต่การสร้างปรากฏการณ์บางอย่างมากกว่าที่จะส่งผลกระทบต่ออนุภาคมานาที่มีอยู่แล้ว
มันจะเป็นไปได้อย่างไร? พวกเขามีความสามารถในการข้ามขั้นตอนของกฎพื้นฐานของเวทมนตร์ในโลกนี้หรือว่าพวกเขามีความรู้และสามารถในการทำสิ่งนี้ได้ด้วยทักษะพิเศษ?
หัวของฉันหันไปทางอเลอาทันทีเมื่อได้ยินเสียงไอของเธอ อาการของเธอเริ่มแย่และเธอไอออกมาเป็นเลือด
“วิทรา …เขาทิ้งฉันไว้แบบนี้ ฉันไม่แน่ใจด้วยซ้ำว่าเขารู้หรือไม่ว่าจะมีใครบางคนมาทีนี้ แต่สิ่งสุดท้ายที่เขาพูดก่อนไปคือชื่อของเขา ... และบอกว่าไดคาเธนกำลังจะกลายเป็นเขตสงคราม…” เมื่อเลือดไหลรินที่มุมปากเธอก็หันหน้ามาหาฉัน
“สิ่งนี้อาจฟังดูไม่น่าเชื่อ แต่นายช่วยฉันได้ไหม?” อเลอายิ้มจางๆเผยให้เห็นฟันที่เปื้อนเลือดของเธอ
“แน่นอนอะไรก็ได้” ฉันคาดหวังให้เธอฝากสิ่งของหรือข้อความไว้ให้ฉัน บางทีอาจจะให้คนรักของเธอหรือครอบครัวของเธอ
“…นายกอดฉันไหม?” เธอพึมพำ
ฉันโน้มตัวเข้าไปใกล้เพื่อให้ได้ยินเพียงท่อนสุดท้ายนั้นอีกครั้ง “ขอโทษนะ ผมไม่เข้าใจ”
“ฉันคิดเสมอว่าฉันไม่ต้องการใคร…ตราบใดที่ฉันแข็งแกร่ง ฉันไม่เคยมีครอบครัวหรือคนรัก…ที่จะพึ่งพา… แต่รู้ไหม? ตอนนี้ฉันไม่อยากตายตัวคนเดียวจริงๆ…” อเลอากัดริมฝีปากล่างที่สั่นระริก “นายช่วยกอดฉันหน่อยได้ไหม?”
ฉันโอบแขนรอบคอและเอวที่บอบบางของอเลอาโดยไม่พูดอะไรสักคำแล้วเอนหัวของเธอพิงกับหน้าอกของฉัน
“ฉันกลัวจังเลย” เธอพึมพำ “ฉันยังไม่อยากตาย…”
ฉันนิ่งเงียบ กัดฟันขณะที่ฉันไม่สามารถหาคำพูดที่จะปลอบโยนเธอได้อีกต่อไป ฉันลูบหลังศีรษะของอเลอาเบาๆ ฉันรู้สึกว่าการหายใจของเธออ่อนลงและอ่อนแอลงและจากนั้นไม่นานเธอก็จากไปในอ้อมแขนของฉัน
อ่านได้ก่อนใครที่ https://www.facebook.com/%E0%B8%AA%E0%B8%9B%E0%B8%AD%E0%B8%A2-Novel-106963667829815