Chapter 24: ข้าคือพี่ใหญ่ของจางจี!
Chapter 24: ข้าคือพี่ใหญ่ของจางจี!
“เจ้า! เจ้า…”
อู๋เว่ยชี้ไปที่เฉินเฉิน เขาตกใจจนพูดอะไรไม่ออกสักคำ
ไม่ใช่ว่าเจ้านี่พึ่งจะดื่มชาที่ผสมยาลงไปงั้นเหรอ? เขายังคงจิบดื่มไปเรื่อยๆอีก ทำไมเขาถึงไม่มีปฏิกิริยาอะไรเลยละ?
อีกอย่างหนึ่ง เขาใช้ความสามารถอะไรกันละนั่น เขาจับใบมีดด้วยนิ้วมือได้ยังไงกัน?
ในช่วงเวลานี้เอง ความคิดของเขาต่างยุ่งเหยิงมาก
เฉินเฉินหันกลับไปมองชายตัวโตที่น่ารังเกียจ เขาขมวดคิ้วเล็กน้อย
เจ้าสิ่งนี้มันเกิดมาโคตรน่าขยะแขยงเลย ไม่ต้องพูดถึงจมูกที่บิดเบี้ยวของเขาแล้ว มันมียังขนจมูกที่ยาวหลายเซนออกมาอีกด้วย ไม่ต้องพูดถึงดวงตาและทรงผมที่อุบาทว์ของเขาอีกด้วยซ้ำ
“พี่ชาย เจ้าซ่อนตัวอยู่ด้านหลังกำแพงข้ามาตลอดเลยใช่ไหม?” เฉินเฉินอดที่จะถามออกมาไม่ได้
“เจ้า..เจ้ารู้ได้ยังไงกัน?” ชายน่าเกลียดตัวโตพยายามที่จะกระชากมีดออกมาให้หลุดด้วยพละกำลังทั้งหมดของเขา เขาตอบเฉินเฉินอย่างไม่รู้ตัว
เฉินเฉินส่ายหัวและถอนหายใจออกมาเบาๆ “อารมณ์ของเจ้ามันทำให้ข้าไม่มีทางที่จะไม่สังเกตเห็นหรอกพี่ชาย ข้าไม่ได้ว่าเจ้าหรอกนะ แต่เมื่อข้ามองมาที่เจ้า ข้าอดคิดไม่ได้ว่าหมูที่ข้าเลี้ยงไว้มันได้เปลี่ยนกลายเป็นมนุษย์ไปซะแล้วเนี่ย”
อุ๊ปส์!
จางเสี่ยวหยาที่ร้องไห้อยู่อดที่จะหัวเราะออกมาไม่ได้
“ไอ้เด็กเวร! ไอ้เวร!” เขาสูญเสียความใจเย็นไปและเหวี่ยงขาเข้าใส่ใบหน้าที่งดงามของเฉินเฉิน
เฉินเฉินไม่ได้ทำอะไรมากสักเท่าไหร่ ด้วยการดีดนิ้วออกมาเพียงสองนิ้ว พลังความแข็งแกร่งอันมากมายก็ถูกปลดปล่อยออกมา มันได้ทำลายคมมีดในทันที หลังจากนั้นเขาก็แทงนิ้วออกไปราวกับสายฟ้าฟาด!
แสงสว่างวาบ!
การเคลื่อนไหวของชายที่น่ารังเกียจหยุดนิ่ง วินาทีต่อมาเขาก็ล้มลงอยู่ที่เบื้องหน้าของเฉินเฉิน
“ผู้เชี่ยวชาญ!”
เมื่อเห็นภาพที่เกิดขึ้น ตาของผู้นำของชายทั้งแปดคนเล็กลงอย่างตกใจ เขาพุ่งเข้าใส่จางเต๋อราวกับเสือที่กำลังไล่ล่าเหยื่อ
ไม่สำคัญว่ามันเกิดอะไรขึ้น สิ่งที่สำคัญที่สุดในตอนนี้คือการจับกุมจางเต๋อไว้
“ฮ่าๆ!”
เฉินเฉินหัวเราะเยาะออกมา มือขวาที่ถือถ้วยไว้ในมือก็ส่งที่จับถ้วยบินออกไปโจมตีเข้าใส่คอของชายตัวโตราวกับลูกกระสุน
เลือดสาดกระจายออกและชายตัวโตก็ถูกสังหารทันที
หลังจากที่จัดการเสร็จ เฉินเฉินดื่มชาที่เหลืออยู่ในแก้วลง เขาก็ประกาศออกมาเสียงเย็นยะเยียบ “ใครก็ตามที่ขยับ ตาย!”
..
ห้องนั่งเล่นทั้งห้องต่างเงียบสงบเป็นครั้งที่สอง ชายร่างโตทั้งหกคนต่างมองไปที่เฉินเฉินราวกับพวกเขาจ้องไปที่ปีศาจร้าย
ไม่มีใครกล้าสงสัยความจริงในคำพูดของชายหนุ่ม เนื่องจากว่าศพทั้งสองศพต่างนอนกองอยู่บนพื้น พวกมันต่างเป็นข้อยืนยันที่ดีที่สุดแล้ว
สำหรับอู๋เว่ยแล้ว เขาไม่สามารถที่จะซ่อนความกลัวไว้ในดวงตาของเขาได้อีกต่อไป
เขาได้คำนวณความเป็นไปได้ที่ท่านเจาอาจจะกลับคำพูด แต่เขาไม่เคยคาดคิดเลยว่าเขาจะพบกับการพ่ายแพ้แบบนี้ ในเวลานี้
เมื่อเขารู้สึกกังวลและตื่นตระหนก เสียงก็ดังขึ้นมาจากด้านนอกบ้านตระกูลจาง ไม่นานหลังจากนั้น ชายสามสิบถึงสี่สิบคนก็ได้บุกเข้ามาภายในห้อง
ก่อนที่พวกเขาจะมาถึงห้องนั่งเล่น เสียงทะเลาะอันรุนแรงรวมทั้งเสียงดังสนั่นก็ดังไปทั่วทั้งบ้านจาง
“ตาเฒ่าจาง ข้าจะหยามเกียรติต่อผู้หญิงในตระกูลเจ้าทั้งหมดต่อหน้าเจ้าวันนี้แหละ! ข้าจะทำให้เจ้ารู้สึกน่าสมเพศและเจ้าจะต้องตายอย่างน่าอนาถา!”
เมื่อได้ยินเสียงนี้แล้ว ชายร่างโตทั้งหกคนต่างมองออกไปด้านนอก มันเหมือนกับว่าพวกเขาต่างพบเสาหลักไว้เป็นที่ยึดมั่น
ยังไงก็ตาม ขาของพวกเขายังคงยึดมั่นอยู่ที่พื้น ไม่มีใครกล้าที่จะขยับตัวเลยสักนิด
วินาทีต่อมา ชายที่มีเคราหยิกพร้อมกับใบหน้าที่เต็มไปด้วยรอยแผลก็ก้าวเข้ามาภายในห้องนั่งเล่น ก่อนที่ชายตัวโตเหล่านี้จะตะโกนร้องออกมา
“หัวหน้า! มันมีผู้เชี่ยวชาญอยู่ที่นี่ด้วย เขาได้สังหารพี่น้องเราไปสองคนแล้ว!”
ชายร่างโตที่มีหนวดหยิกนั้นก็เป็นเจ้าของตระกูลเจา เจาเบียว เมื่อเขาก้าวเข้ามาด้านในและพบกับศพทั้งสอง สายตาของเขาที่ส่องสว่างออกมาก็เปลี่ยนเป็นมืดหม่นลงไป
เขาได้รับการแจ้งมาว่าคนของตระกูลจางได้ถูกจับกุมไว้แล้ว แต่ทำไมลูกน้องของเขาถึงตายกัน?
“เกิดอะไรขึ้นกัน?” เจาเบียวจับไปที่อู๋เว่ยก่อนที่จะตั้งคำถามออกมาอย่างโกรธแค้น
“มันเป็นเพราะ....เจ้านั่น!” อู๋เว่ยตะโกนและชี้ไปที่เฉินเฉิน เขาตกใจมาก เขาได้ระบายความกลัวออกมาในทันที
เมื่อเห็นว่าเจ้านายของเขาอยู่ที่นี่แล้ว เฉินเฉินก็ได้เตรียมแผนการที่เขาได้ใช้กับหวังอีกครั้งหนึ่ง ยังไงก็ตาม เมื่อเขามองไปที่ห้องนั่งเล่นที่ทำจากไม้แล้ว เขาก็ขมวดคิ้ว
ถ้าเขาใช้การร่ายไฟขึ้นมาที่นี่แล้ว บ้านทั้งหลังคงจะถูกเผาจนกลายเป็นขี้เถ้าไปเลยไม่ใช่หรือไง?
เมื่อเป็นแบบนี้แล้ว ผู้คนจากตระกูลจางที่ยังขยับตัวไม่ได้ ซึ่งเกิดเรื่องแบบนี้ขึ้นคงจะโดนเพดานหล่นทับตายกันแน่นอน เขาไม่อยากที่จะทำให้เกิดเรื่องแบบนี้ขึ้น
โดยเฉพาะอย่างยิ่งกับจางเสี่ยวหยาแล้ว ซึ่งเธอดูบอบบางและอ่อนแอ ถ้าเธอโดนไฟครอกเข้า เธอคงจะเสียโฉมไปอย่างแน่นอน
“เจ้าคือใครกัน? บอกชื่อและบอกว่าทำไมเจ้าถึงมาขัดขวางธุรกิจของพวกเรา ตระกูลจางกัน?!” จางเบียวได้ชี้มีดไปที่เขา
เฉินเฉินถอนหายใจออกมาและลุกขึ้นยืน
เขาต้องการที่จะนั่งกลับไปและจัดการทุกสิ่งทุกอย่างให้จบสิ้นในรวดเดียว ดังนั้นเขาจะได้รู้สึกถึงความรู้สึกถึงกับการนั่งเล่นและพูดคุยอย่างผ่อนคลายไปพร้อมกับมองผนังที่กำลังลุกไหม้ไปพร้อมกัน ยังไงก็ตาม มันดูจะเป็นไปไม่ได้อีกต่อไป
เมื่อเขายืนขึ้น ผู้ชายทั้งหกคนที่อยู่ในห้องนั่งเล่นต่างถอยหนีกันอย่างไม่รู้ตัว
เมื่อเห็นภาพที่เกิดขึ้น สีหน้าของเจาเบียวก็มืดมนลง
เจ้าเด็กหนุ่มที่ดูธรรมดาทั่วไปนี้สังหารคนของเขาไปสองคนได้ยังไงกัน? ทำไมคนของเขาถึงกลัวแบบนี้กัน?
“ข้าคือใคร? ฮ่าๆ..”
เฉินเฉินทำสีหน้าไม่พอใจใส่เจาเบียว
เจาเบียวอดที่จะก้าวถอยไปหลายก้าวไม่ได้ เหงื่อเย็นไหลออกมาบนหน้าผากของเขา เขาคาดคิดว่าชายหนุ่มที่อยู่ด้านหน้าขาคงจะเปิดเผยถึงตัวตนที่สะเทือนฟ้าสะเทือนดิน ซึ่งมันจะทำให้เขาหวาดกลัวจนตัวสั่น
“ข้าคือใครงั้นเหรอ? มา เดี๋ยวข้าจะบอกเจ้าวันนี้เอง!”
เมื่อเขาพูดเสร็จ เฉินเฉินก็เดินไปที่ด้านข้างจางจีและยกตัวของเขาขึ้น
“ข้าคือพี่ใหญ่ของจางจียังไงละ! เจ้าสามารถที่จะรังแกใครก็ได้ แต่ถ้าเจ้าแตะต้องน้องชายและครอบครัวของเขา ชะตาของพวกเจ้าก็จะจบสิ้นลงแล้วละ!”
เฉินเฉินพูดด้วยท่าทางที่ซื่อตรงและไม่มีความลังเลอันใด เสียงของเขาทั้งก้องและดังฟังชัด
จางจีที่ได้ยินคำพูดนี้ เขาตื่นเต้นจนตัวสั่น เขาแทบจะล้มไปคุกเข่าต่อหน้าเฉินเฉินแล้ว
พร้อมกับพี่ชายแบบนี้แล้ว เขาจะต้องถามหาอะไรอีกกัน? หลังจากนี้แล้ว แม้ว่าข้าจะต้องตายเพื่อพี่ชายของข้าแล้ว ข้าก็จะไม่กระพริบตาเลยสักนิด! จางจีสาบานกับตัวของเขาเอง ดวงตาของเขานั้นมีหยาดน้ำตาอยู่ในนั้น
จาวเบียวสำลักกับสิ่งที่เขาได้ยิน
‘แม่งเอ้ย! เจ้าเด็กเวรนี่ใช้เวลาตั้งนานเพื่อที่จะพูดจาไร้สาระแบบนี้เนี่ยนะ? มันล้อเล่นกับข้าหรือเปล่า? ข้าจะต้องไปรู้เกี่ยวกับความสัมพันธ์ของเจ้ากับเจ้าจางด้วยหรือไง?’
แม้ว่าจะมีความโกรธเคืองอยู่ในตัวของเขาก็ตาม เขายังมองไปที่ศพที่นอนกองอยู่บนพื้นด้วยหางตาของเขา
พูดให้ชัดเจนแล้ว เขาสังเกตเห็นที่จับถ้วยปักลงในคอของศพที่นอนตายอยู่
‘ความสามารถของมันไม่ใช่เรื่องที่ดูถูกได้เลย พวกเราจะต้องรุมสู้มัน’
ด้วยความคิดเหล่านี้ในหัว จาวเบียวก้าวถอยกลับและตะโกนใส่ “ทุกคน พุ่งเข้าไปทำลายเจ้านี้พร้อมกัน!”
ทันทีที่เขาพูดเสร็จ ลูกสมุนของเขาทั้งสองคนที่ไม่รู้เรื่องรู้ราวอะไรก็พุ่งเข้าใส่เฉินเฉิน
พวกเขาพุ่งเข้ามาอย่างรวดเร็ว แต่กลับกระเด็นกลับไปเร็วกว่าเดิม
พร้อมกับเสียงปัง พวกเขาถูกส่งกระเด็นลอยผ่านจาวเบียวและกระเด็นออกไปด้านนอกห้องนั่งเล่น มันเหมือนกับว่าพวกเขาโดนชนด้วยรถม้ายังไงยังงั้น
‘เขาแม่งโคตรทรงพลังเลย!’
ถึงแม้ว่าจาวเบียวจะเดินทางไปไกลและเห็นสิ่งต่างๆมากมาย ดวงตาของเขายังเต็มไปด้วยความหวาดกลัวอยู่ดี
เจ้าเด็กหนุ่มนี้มันอะไรกัน? เขาเกิดมาพร้อมกับความแข็งแกร่งของเทพเจ้าหรือยังไงกัน? หรือเขาพึ่งจะออกมาจากการฝึกตนกันแน่?
“ทำไมพวกเจ้าถึงหยุดละ?”
เฉินเฉินลุกขึ้นยืนพร้อมกับเอามือไว้ด้านหลัง เขายืนอยู่ตรงกลางของห้องนั่งเล่น มันเหมือนกับว่าเขากำลังยืนปกป้องสถานที่แห่งนี้ต่อศัตรูของเขา ผู้คนจากตระกูลจางต่างตกตะลึงกับสิ่งที่พวกเขาเห็น
เมื่อเป็นชายที่โหดเหี้ยม แม้ว่าเขาจะตื่นตระหนก จาวเบียวก็ไม่ได้ยอมแพ้ เขายังไม่ลืมว่าเขายังมีคนอีกนับสิบคนอยู่ด้านนอกห้องนั่งเล่น
มันเป็นเรื่องที่น่าเศร้าที่ห้องนั่งเล่นนี้มันเล็กเกินไปที่พวกเขาจะใช้คนได้อย่างเต็มกำลัง พวกเขาต้องล่อไอ้เด็กนี่ออกไปยังสนามและจัดการเขาที่นั่น
เมื่อความคิดนี้โผล่ขึ้นมาในหัวของเขาแล้ว เขาตะโกนออกมาด้วยน้ำเสียงที่แหบแห้ง “ไอ้เด็กเวร สถานที่แห่งนี้มันเล็กเกินไปที่จะสู้กันอย่างเต็มกำลัง เจ้ามีความกล้ามากพอที่จะไปสู้กับข้าตัวต่อตัวไหม?”
เฉินเฉินหวังว่าจะทำแบบนั้นด้วยเช่นกัน แต่เขายังแสร้งทำเป็นลังเล
เมื่อเห็นเฉินเฉินไม่ได้ปฏิเสธทันที จาวเบียวก็รู้สึกโล่งอก เขาเริ่มที่จะยั่วยุต่อ “ไอ้เด็กเวร เป็นไงละ? ไม่กล้าแล้วหรือไง? ถ้าเจ้าไม่กล้าที่จะสู้กับข้าแล้ว มันก็ไม่สายเกินไปหรอกนะที่จะคุกเข่าอ้อนวอนขอความเมตตาจากข้า ข้าอาจจะไว้ชีวิตเจ้าก็ได้นะ!”
เมื่อได้ยินคำพูดของเขาแล้ว แก้มของเฉินเฉินก็แดงขึ้น มันเหมือนกับว่าเขาเป็นชายหนุ่มที่รับการยั่วยุไม่ได้
“ทำไมข้าจะไม่กล้ากัน? แต่พวกเจ้าทั้งหมดต้องอกไปด้านนอก เมื่อข้าออกไปสู้กับเจ้า คนของเจ้าไม่สามารถที่จะช่วยเจ้าได้แม้แต่นิดเดียวเลยนะ!”
จาวเบียวมีความสุขมากที่เฉินเฉินโดนหลอก เขาแอบเรียกเฉินเฉินว่าเจ้าโง่เง่าในหัวตัวเอง ก่อนที่จะรีบยืนยัน “ข้า จาวเบียว ซึ่งเป็นวีรบุรุษท้องถิ่น ข้าจะกล้าผิดสัญญาได้ยังไงกัน? มันเป็นการต่อสู้แบบตัวต่อตัวตามที่ข้าบอกเจ้าไป ถ้าใครก็ตามกล้าเสนอหน้ามา ข้าจะตัดเจ้าเป็นชิ้นๆ”
เมื่อเขาพูดเสร็จ จาวเบียวกลัวว่าเฉินเฉินจะเปลี่ยนใจ เขาสั่งให้คนของเขาในห้องนั่งเล่นถอยออกไปอย่างเร่งรีบ ในขณะที่เดินออกไปข้างนอกด้วยเช่นกัน
เมื่อเขาหันหลังกลับไป ใบหน้าของเขาเต็มไปด้วยรอยยิ้มอันชั่วร้าย
ถ้าคำสัญญานั้นเป็นจริง เขาคงจะตายไปนับครั้งไม่ถ้วนแล้วละ เจ้าเด็กนี่อาจจะยอดเยี่ยม แต่เขายังคงเยาว์วัยอยู่
เขาจะสั่งสอนบทเรียนให้กับเจ้าเด็กนี่และให้รู้ว่าธรรมชาติของมนุษย์มันคาดเดาไม่ได้!
ยังไงก็ตาม เขาก็ไม่มีความคิดเลยว่าเฉินเฉินก็จะยิ้มด้วยเหมือนกัน ในความเป็นจริงแล้ว รอยยิ้มของเขานั้นกว้างยิ่งกว่าเสียอีก
“น้องชาย จาวเบียวมันผิดคำพูดอยู่ตลอด! อย่าเชื่อมันนะ!” จางเต๋อเตือนเขาอย่างกังวลใจ
เฉินเฉินโบกมือหลังจากที่ได้ยินคำตอบ เขาเดินออกไปด้านนอกและหยุดอยู่ที่ด้านหน้าประตู เขาหันกลับไปและพูดขึ้น “มันโอเคดี วันนี้ ข้าจะสอนให้เขารู้เองว่าคำสาบานไม่ใช่สิ่งที่สามารถจัดการได้อย่างง่ายดาย”