ตอนที่ 9 การตายของหลางตู่
หลังจากล้มเหลวอยู่หลายสิบครั้งและสิ้นเปลืองวัตถุดิบและวันเวลานับไม่ถ้วนในที่สุดโอสถรวมปราณก็ทำสำเร็จ! เขาไม่ต้องการยอมรับ แต่พรสวรรค์ของเขาในการปรุงยานั้นธรรมดาจริง ๆ
โอสถที่เรืองแสงอยู่ในมือของเขาคือโอสถที่ประสบความสำเร็จมันคือโอสถรวมปราณ โชคดีที่เขาได้รับข้อมูลเชิงลึกของผู้อาวุโสและใช้ทรัพยากรทั้งหมดที่มีรวมถึงเตาหลอมคุณภาพทำให้เขาประสบความสำเร็จ แต่ถึงอย่างนั้นเขากลับรู้ดีว่าเส้นทางของการปรุงยานั้นเต็มไปด้วยความยากลำบาก
ความจริงที่ว่า ฉินหยู สามารถปรับแต่งโอสถรวมปราณได้ทั้งหมดต้องขอบคุณนิกายภูเขาศักดิ์สิทธิ์ที่ไม่รู้จักวิธีทำลายโอสถเสีย นั่นเหมือนกับเขามีโอสถเหลือใช้จำนวนมากและนำมันมาแยกวัตถุออก
โอสถรวมปราณก็ตามชื่อของมันสามารถช่วยให้ผู้บ่มเพาะพลังก้าวหน้าไปยังขั้นรวมปราณได้อย่างรวดเร็ว แม้ว่าการใช้โอสถบ่มเพาะจำนวนมากจะทำให้รากฐานของเขาได้รับผลกระทบ แต่ ฉินหยู ไม่ได้สนใจ การบ่มเพาะพลังในปัจจุบันของเขาขึ้นอยู่กับกองโอสถเหล่านี้เพียงอย่างเดียว สำหรับรากฐาน...เขาไม่เคยมีมันมาก่อน!
ฉินหยู หลับตาเป็นเวลาหนึ่งชั่วยามเมื่อท้องฟ้าพลันมืดลงโอสถรวมปราณก็กำลังอาบแสงสีฟ้าจากตะเกียง
เมื่อแสงสีฟ้าอาบไปบนตัวโอสถคุณสมบัติของมันก็เพิ่มมากขึ้น โอสถเหล่านี้ราวกับไม่ได้เห็นแสงแดดมานานทั้งปีผิวของมันได้เปลี่ยนเป็นสีขาวนวลมากขึ้นเรื่อย ๆ น่าเสียดายที่การฝึกฝนในสถานที่ใต้ดินแห่งนี้ช่างเปล่าเปลี่ยว
ค่ำคืนผ่านไปแสงสีฟ้าก็จางหายไปเช่นเดียวกัน
ฉินหยู ได้ใช้ตะเกียงไฟ ในการเพิ่มคุณสมบัติของตัวโอสถ ยิ่งเวลาในการอาบแสงนานมากเท่าไหร่คุณสมบัติของตัวยาก็ยิ่งเพิ่มมากขึ้น
คืนที่สอง
คืนที่สาม
เมื่อตะเกียงไฟสีน้ำเงินกลับมามืดอีกครั้ง ในคืนที่สามฉินหยูก็ค่อย ๆ ลืมตาตื่นขึ้น
โอสถรวมปราณเจ็ดเม็ดได้ดูดซับแสงสีฟ้าอันเงียบสงบตลอดสามคืนสีของมันได้เปลี่ยนเป็นนสีฟ้าไร้ขอบเขตทำให้พวกมันดูเหมือนสมบัติล้ำค่า
ฉินหยู ไม่ลังเลที่จะกลืนมันลงไป
วันนี้เขาจะต้องบ่มเพาะไปถึงขั้นรวมปราณให้ได้!
เมื่อโอสถไหลเข้าสู่ท้องน้อยของเขา ภายในร่างกายของเขาก็เริ่มเดือดปะทุอย่างรุนแรง เปลวเพลิงในร่างกายได้โหมกระหน่ำและกลั่นพลังงานที่ได้รับเหล่านั้นเป็นพลังปราณ พลังเหล่านี้ราวกับสัตว์ร้ายมันกำลังขย้ำร่างกายของ ฉินหยู ทำให้เขาเกิดอาการเจ็บปวด
ฉินหยู ได้ตั้งใจและเงียบสงบเวลานี้เขาไม่ต้องการเสียสมาธิในขั้นตอนสำคัญ
พลังปราณเหล่านี้ราวกับหมอกที่มองไม่เห็น มันได้ไหลผ่านเข้าสู่กายเนื้อและกระดูกที่เหือดแห้งของเขาตอนนี้มันกำลังเติมเต็มส่วนที่ขาดหายไปของฉินหยู
* บูม *
* บูม *
พลังงานอันบ้าคลั่งได้ไหลผ่านกระดูกแขนและขาจากนั้นก็มุ่งไปกระแทกที่จุดตันเถียนโดยตรง ร่างของฉินหยู มีลมพัดโหมกระหน่ำเสื้อคลุมของเขาได้กระพือไปรอบ ๆ ตอนนี้มาถึงขั้นตอนสำคัญแล้ว!
เขาได้บ่มเพาะพลังมาถึงระดับ 9 กลั่นปราณ เขามีโอกาสมากกว่าเจ็ดในสิบที่จะทะลวงเข้าสู่ขั้นรวมปราณโดยตรง ด้วยโอสถรวมปราณที่ผ่านการยกระดับโดยตะเกียงไฟมันมีคุณสมบัติเทียบเท่าโอสถสามเม็ดในหนึ่งเดียว
แต่การทะลวงขั้นบ่มเพาะพลังก็ยังไม่มา ฉินหยู พยายาม ทะลวงจุดตันเถียนภายในร่างกายของเขา ตอนนี้ เขาพบว่าภายในร่างกายของเขาพลังปราณยังไม่ได้มาหลอมรวมกัน
ฉินหยู ได้เปิดเปลือกตาขึ้นและคว้าโอสถรวมปราณขึ้นมาอีกและกลืนมัน
* บูม *
พลังงานเดิมที่นิ่งสงบตอนนี้มันราวกับถูกน้ำมันราดลงไปทำให้กลับมาลุกไหม้อีกครั้ง
ร่างกายของฉินหยู ได้เผชิญหน้ากับความเจ็บปวดครั้งแล้วครั้งเล่าแต่มันก็ยังไม่พอ!
ฮินหยู ได้กัดฟันแน่น และ คว้าโอสถขึ้นมากินอีกครั้ง!
นี่เป็นด่านทดสอบหากเขาไม่สามารถรวมปราณได้เขาจะอยู่ขั้นกลั่นปราณตลอดไป
* บูม *
ผลของโอสถทำให้พลังงานในร่างกายของ ฉินหยู ระเบิดอย่างบ้าคลั่ง ร่างกายของเขาเริ่มมีโลหิตไหลออกมาจากทวารทั้งเจ็ด
แต่เขาก็ยังยิ้มออกมา
ในตันเถียนของเขาพลังงานที่พวยพุ่งกำลังสร้างรากฐานรวมปราณให้กับตัวเองมันกำลังเริ่มดูดซับพลังงานโดยรอบ
ภายในไม่กี่ลมหายใจพลังงานทั้งหมดก็ได้หายไป ตอนนี้พลังปราณของเขามีความเข้มข้นมากขึ้น
นี่เป็นจุดเริ่มต้นเท่านั้นตอนนี้เขาได้ก้าวเข้าสู่เส้นทางแห่งการบ่มเพาะพลังที่แท้จริง
เสียงลมกระพือรอบตัวได้หายไป เขาได้ยืนขึ้นขณะที่เลือดบนใบหน้ายังไม่ทันแห้ง เขาได้ใช้โอสถรวมปราณจำนวนมากนอกจากฉินหยูแล้วคงไม่มีผู้บ่มเพาะพลังขั้นกลั่นปราณที่สามารถบ้าคลั่งได้เท่าเขา
ต้องขอบคุณโอสถเสริมความแข็งแกร่งที่ช่วยขัดเกลาร่างกายของเขาทำให้บาดแผลที่เขาได้รับไม่ร้ายแรงเท่าไหร่ไม่งั้นโอกาสที่เขาจะบาดเจ็บย่อมมีมาก
การเปลี่ยนแปลงภายในร่างกายทำให้ ฉินหยู มีความสุข แต่เขาทำได้เพียงแค่อมยิ้มออกมา เพราะพรสวรรค์ของเขา ช่างต่ำเตี้ยยิ่งนัก ความจริงที่ว่าเขาต้องใช้โอสถรวมปราณจำนวนมากเพื่อไปถึงขั้นรวมปราณนี่แสดงให้เห็นถึงความสามารถอันน้อยนิดของเขา
แต่สิ่งเหล่านี้ไม่สำคัญอะไร ตอนนี้เขาไปถึงขั้นรวมปราณแล้วรอยยิ้มของเขาได้เปลี่ยนเป็นเสียงหัวเราะอย่างรวดเร็ว
"ใครจะคิดว่าวันหนึ่งข้าฉินหยูจะสามารถบ่มเพาะไปถึงขั้นรวมปราณได้!"
ดวงตาของฉินหยูจับจ้องมองไปที่ตะเกียงไฟสีน้ำเงิน มันให้ความรู้สึกแปลก ๆ ที่ใจของเขา ราวกับว่ามันกำลังจ้องมองตนเอง แต่ในไม่ช้าความรู้สึกเหล่านี้ก็หายไป
ฉินหยู ได้ยับยั้งรอยยิ้มของเขาและวางตะเกียงสีน้ำเงินกลับไปที่หน้าอก
เขาเริ่มกินโอสถฟื้นฟูร่างกายทันที
หลังจากผ่านไปสองชั่วยามเขาก็ยืดร่างกายเช็ดทำความสะอาดคราบเลือดบนใบหน้าพร้อมกับเดินขึ้นไปบนบันไดหิน
ตอนนี้เขาได้กลายเป็นผู้บ่มเพาะพลังระดับ 1 รวมปราณ แล้ว เขาพยายามที่จะไปเปิดประตูหินอีกครั้ง ความพยายามครั้งก่อนตอนอยู่ขั้นกลั่นปราณประตูมีการตอบสนองเล็กน้อย ตอนนี้ เขาเริ่มมีความหวังขึ้นมาบ้าง
หลังจากฟื้นฟูสภาพร่างกายเสร็จ เขาก็ใช้เจตจำนงค์และพลังทั้งหมดอย่างไม่ลังเลเพื่อเปิดใช้งานรูปแบบที่ประตูหิน
พลังดูดอันน่ากลัวได้ปรากฏขึ้นอีกครั้งมันกำลังสูบพลังของเขา คราวนี้รูปแบบที่ไม่สั่นคลอนเริ่มตอบสนองราวกับก้อนหินที่ถูกยกขึ้น
ฉินหยูได้รับความเจ็บปวดจากแรงสะท้อนกลับแสงสีดำภายในหมอกกำลังบินผ่านและโจมตีร่างกายของเขา
พลังอันลึกลับได้ซัดเข้าใส่ร่างกายของเขาจนกระเด็นไปข้างหลังและกลิ้งลงไปบนบันไดจนกระอักเลือดตามทาง
ฉินหยู ได้หยิบตะเกียงไฟสีน้ำเงินออกมา ถ้าไม่ใช่เพราะมันช่วยปกป้องหัวใจของเขาพลังงานอันลึกลับนั่นได้แทงทะลุหัวใจของเขาไปแล้ว
หลังจากตรวจสอบตะเกียงไฟว่ามีความเสียหายหรือไม่เสร็จ เขาก็มีรอยยิ้มอย่างพึงพอใจบนใบหน้า และมองไปที่ทางเข้า แม้ว่ารูปแบบก่อตัวจะยังคงอยู่แต่ตอนนี้ พลังอันลึกลับที่น่ากลัวก็ได้หายไปแล้ว เขาสามารถออกไปจากที่นี่ได้
พลังอันลึกลับนั่นแข็งแกร่งพอที่จะใช้ขังนักโทษอย่างฉางเมิ่งที่เป็นผู้เชี่ยวชาญได้แต่มันได้ผ่านไปหลายร้อยปีนิกายภูเขาศักดิ์สิทธิ์ไม่ได้เสริมอำนาจให้แก่มันทำให้เวลาที่ผ่านไปอำนาจของมันจึงลดลง
ไม่นานบางสิ่งก็ร่วงหล่นลงมาจากรูปแบบก่อตัวเขาได้ไปสัมผัสมันและมีข้อมูลแปลก ๆปรากฏขึ้นในหัวของเขา : เล็บปีศาจ สามารถใช้พลังเพื่อเปิดการใช้งานได้
ของวิเศษที่มีพลังกักขังอันหน่วงเหนี่ยวมันจะไม่สามารถใช้งานได้หากชื่อเจ้าของคนเดิมไม่ได้ถูกลบออกไป
พลังของเล็บปีศาจก็ลดลงถึงต่ำสุดเช่นเดียวกัน ถ้าไม่มีตะเกียงไฟสีน้ำเงินคอยปกป้องเขา เขาคงจะตกตายไปแล้ว
ผู้ที่ก่อตั้งสถานที่แห่งนี้ค่อนข้างระวังตัว แม้จะมีคนเปิดรูปแบบก่อตัวได้โดยบังเอิญจนอยู่ในสถานะอ่อนแอที่สุดแต่ด้วยผลของเล็บปีศาจนี้ก็เพียงพอที่จะฆ่าเขาได้
ฉินหยู ได้ไอออกมาสองสามครั้งและเช็ดโลหิตที่มุมปาก ก่อนที่จะมองไปที่เล็บปีศาจ สมบัติวิเศษปีศาจส่วนใหญ่สามารถกลั่นได้ด้วยเลือดเท่านั้นอย่างน้อยเขาก็ได้สิ่งนี้มานับว่าไม่สูญเปล่า
ผลของโอสถฟื้นฟูร่างกายและพลังงานยังมีผลอยู่สามชั่วยาม
อีกไม่นานก็จะฟ้ามืดเขาก็จะสามารถออกไปได้
ในคืนที่เงียบสงบ ฉินหยู ได้ออกมาจากหมอกควันเขาเงยหน้าขึ้นและมองไปที่ดวงจันทร์ที่ลอยอยู่บนฟ้าด้วยสีหน้ายิ้มแย้ม
เขาตรวจสอบโดยรอบเพื่อให้แน่ใจว่าไม่มีใครอยู่จึงก้าวไปข้างหน้าและหายตัวไปเสมือนเงาตอนกลางคืน
ในไม่ช้าเขาก็ไปถึงลานพักของ หลางตู่
สหายที่แสนดีของเขา ที่ช่วยเหลือเขายามลำบาก จะมีสักกี่คนที่ยอมทำเพื่อเขาขนาดนี้ เขาเชื่อใจสหายคนนี้มาก นอกจากตะเกียงไฟแล้ว ฉินหยู ได้ตัดสินใจจะให้โอสถบางอย่างแก่เขา
เขาเดินเข้าไปในลานอย่างช้า ๆ และ สง่างามราวกับหงส์ แม้ว่าเขาจะยังไม่ได้เรียนรู้ทักษะใด ๆ แต่ด้วยพลังปราณในร่างกายที่อยู่ขั้นรวมปราณก็เพียงพอที่จะทำให้ท่วงท่าของเขาละเอียดอ่อน เมื่ออีกฝ่ายพบความแข็งแกร่งของเขาตอนนี้ ถู๋โต้วจะต้องประหลาดใจอย่างแน่นอน!
ทันทีที่คิดนึกถึงใบหน้าตกใจของ หลางตู่ ฉินหยู ก็เริ่มยิ้มแย้ม แต่ทันใดนั้นการแสดงออกของเขาก็แข็งทื่อ ลานทั้งหมดกลายเป็นเศษซากปรักหักพังและถูกปล่อยร้างเป็นเวลานาน เสาหินที่ หลางตู่ ใช้ในการฝึกฝนก็ทรุดตัวลงและปกคลุมไปด้วยวัชพืช โต๊ะหินหน้าบ้านและม้านั่งเปรอะเต็มไปด้วยคราบเลือด
ใบหน้าของ ฉินหยู ซีดเผือก เขาได้มองไปรอบ ๆ อย่างระวัง และ รีบออกจากลานบ้านไปยังลานบ้านข้าง ๆ
"ถ้าไม่อยากตายอย่าขยับ!"
เสียงที่เย็นเยือกได้ดังผ่านไปถึงหูของศิษย์สายนอกคนนึง
"คนที่อยู่ในลานสามลี้ทางตะวันออกเฉียงใต้จากนี้อยู่ที่ไหน?"
ศิษย์สายนอกถึงกับตะลึงเล็กน้อยและเต็มไปด้วยความหวาดกลัว"ผู้อาวุโส..."
มืออันลึกลับได้ไปบีบคอของเขาแน่น"พูดมา!"
"ผู้น้อยยอมบอกแล้ว! คนผู้นั้นตายไปแล้วเกือบสามเดือน!"
คนในฮูดสีดำนิ่งขึ้นเล็กน้อยและกล่าวถาม"เขาชื่ออะไร!"
น้ำเสียงที่เย็นชาเสียดแทงกระดูกทำให้หัวใจของศิษย์สายนอกคนนี้แทบจะพังทลายลง"หลางตู่,เขาชื่อหลางตู่!"
ฉินหยู อ้าปากค้างลมหายใจของเขากระเพื่อมอย่างหนัก
หลางตู่ ตายแล้ว?
หลังจากนั้นไม่นานเขาก็ฟื้นคืนสติและกล่าวถามอีกครั้ง"ใครเป็นคนฆ่าเขา?"
ศิษย์สายนอกคนนี้สั่นศีรษะ"ผู้น้อยไม่รู้จริง ๆ!"
ศิษย์คนนี้เต็มไปด้วยท่าทีหวาดกลัว
ฉินหยู ได้บีบคออีกฝ่ายแน่นมากขึ้น"บอกข้ามาตามตรงไม่งั้นคืนนี้จะกลายเป็นฝันร้ายที่สุดสำหรับเจ้า"
น้ำเสียงของเขาได้เสียดแทงลึกไปถึงกระดูก