ตอนที่ 34: เห็ดมัตสุทาเกะย่างเตาถ่าน (3)
*ก่อนจะอ่านนิยาย โปรดตรวจสอบว่าท่านได้อยู่ในสถานที่ที่มีแสงเพียงพอ หรือถ้าท่านอ่านในความมืดก็อย่าลืมเปิด Night Mode หรือจอส้ม เพื่อป้องกันการปวดหัวและสายตาสั้นด้วยนะครับ*
--------------------------------------------------------------------------------------------
“นี่นายเลือกปกป้องคนนอกมากกว่าเพื่อนของตัวเองงั้นเหรอ? เฟิ้งโหลว นายคิดอะไรอยู่?” เหมิงลี่พูดด้วยน้ำเสียงที่เปลี่ยนไป จู่ๆเธอก็ผุดคิดขึ้นมา “นาย, อย่าบอกนะว่านาย...นาย…”
“นี่เธอจะกล่าวหาอะไรชั้นงั้นเหรอ?” เฟิ้งโหลวแทบไม่เชื่อหูตัวเอง ความรู้สึกเจ็บปวดผุดขึ้นมาในดวงตาของเขา “ที่ชั้นทำให้เธอมาตลอดนี่ เธอไม่เห็นบ้างเลยหรอ? ชั้นไม่เคยลำเอียงเข้าข้างชิยูเลย คนที่มีอคติน่ะเป็นพวกเธอทุกคนต่างหาก. ชั้นก็แค่พูดความจริงเฉยๆ”
“แล้วทำไมถึงต้องไปคุยกระหนุงกระหนิงกับมันด้วย?” เหมิงลี่กดดันต่อ.
“เธอจะบอกว่าชั้นคุยกับเพื่อนเลยไม่ได้หรอ?”
“เพื่อนหรอ?” เหมิงลี่รู้สึกใจหวิวขึ้นมาจนอดพูดไม่ไหว “เร็วเนอะ พวกนายนี่เป็นเพื่อนกันเร็วเนอะ. อีกนานมั๊ยล่ะกว่านางจะมาแทนที่ชั้นน่ะ?”
“เธอ! ชั้นก็พูดแต่ความจริงทั้งนั้นแต่เธอยังไม่ยอมเชื่อชั้นอีกหรอ!” เฟิ้งโหลวอยากจะอธิบายเพิ่ม แต่พอเห็นสายตาระแวงของเหมิงลี่ที่ไม่เชื่อใจเขาแม้แต่นิดเดียวเลย เขาจึงไม่พูดอะไรไป.
ถูกคนที่รักไม่เชื่อใจแบบนี้.
เหอะ.
ความโกรธในใจเขาแปรเปลี่ยนเป็นเสียงหัวเราะเย้ย “ถ้ามันมาถึงขนาดนี้งั้นเราสองคนก็ห่างกันซักพักเถอะ!”
“ห่างกันเหรอ? นายอยากให้ชั้นยืนดูนายสองคนจู๋จี๋กันงั้นหรอ? ชั้นว่าเลิกกันไปเลยดีกว่า” เหมิงลี่พูดด้วยความโมโห.
“ว่าอะไรนะ?” เฟิ้งโหลวมองเธอราวกับเขาได้ยินอะไรผิดไป.
พอเห็นท่าทางของเขาแล้ว นางก็รู้ว่าเขายังมีความรู้สึกดีๆให้อยู่จึงรู้สึกดีใจขึ้นมาแต่เธอก็พูดต่อ “ชั้นบอกว่า เลิกกันเถอะ”
แต่มันตรงข้ามกับสิ่งที่เธอคิดไว้ หน้าของเขาไม่ตะลึงเลยแม้แต่น้อย. ไม่เหมือนกับก่อนหน้านี้ ไม่อ่อนหวานเลย. เขาเงียบไปนานมากจนพูดออกมาว่า “ก็ดี”
แค่พูดคำนั้นคำเดียวแล้วเขาก็หันหลังให้แล้วจากไปโดยไม่หันกลับมามองเลย.
เหมิงลี่อึ้งไปเลย เธอแค่อยากขู่เขานิดหน่อยเท่านั้นเพราะหวังจะให้เขาเอาใจเหมือนเดิม. ทำไมเขา……
หลังจากกัดปากอยู่พักหนึ่ง เธอก็หันกลับแล้วเดินไปคนละทาง.
ไม่ว่ายังไงก็ตาม เธอจะไม่ยอมเด็ดขาด!
ชิยูได้ยินที่พวกเขาพูดทั้งหมดเลย เธอไม่นึกว่าเธอจะเป็นต้นเหตุให้พวกเขาทะเลาะกันแบบนี้ แย่จริงๆ. แต่เอาจริงๆตั้งแต่เธอมาอยู่กับคนพวกนี้ เธอก็แทบจะไม่ได้คุยกับเฟิ้งโหลวเลย. วันนี้เป็นครั้งแรกที่พวกเขาได้คุยกันนานแบบนั้น แปลว่าเรื่องนี้ก็ไม่เกี่ยวกับเธอสิ จริงมั้ย?
พอคิดอยู่พักนึง ชิยูก็ตัดสินใจแกล้งทำเป็นไม่ได้ยินอะไรซะ. เธอจะไปตามหาเฟิ้งโหลวแล้วทิ้งจุดนัดพบเอาไว้แล้วค่อยไปจากกลุ่มดราม่าบ้านี่. พวกเขาไปเจอกันที่เมืองหลวงทีหลังก็ได้.
แต่พอเจอตัวเฟิ้งโหลวแล้ว เขาก็กำลังเตรียมตัวจะไปโรงเตี๊ยม.
“ไปดื่มกับชั้นหน่อย!” เขาชวน.
ชิยูชี้ตัวเอง “ไม่ดีมั้ง ถ้าเกิดหัวใจอีกครึ่งดวงนายเข้าใจผิดล่ะ?”
“นางไม่ใช่หัวใจชั้นอีกต่อไปแล้ว” เฟิ้งโหลวพูดด้วยเสียงแผ่วๆ เขาพยายามคุมอารมณ์ตัวเองอยู่.
“ก็ได้ๆ ดื่มก็ดื่ม หึ่ย” ชิยูไม่อยากห้ามเขาแล้ว.
ทั้งสองคนพากันไปที่โรงเตี๊ยมเล็กๆแห่งหนึ่ง พอได้โต๊ะแล้วก็พากันนั่งลง. เฟิ้งโหลวสั่งเหล้ามากรมนึงเห็นจะได้ ขณะที่ชิยูสั่งแค่เตาถ่านเท่านั้น.
ขณะที่เฟิ้งโหลวกำลังดื่มด่ำกับความเศร้าของตัวเองอยู่ ชิยูก็ค่อยๆย่างเห็ดมัตสุทาเกะกินเองอย่างช้าๆ. เห็ดนี่ดูอวบอ้วนและมีขนาดใหญ่เหมือนเห็ดนางรมหลวงเลย. พวกมันจะอร่อยที่สุดถ้าหั่นแล้วเอาไปทาน้ำมันและปิ้งบนตะแกรง. แค่โรยเกลือนิดหน่อยก็พอแล้ว. นี่คือประสบการณ์ตอนที่เธอได้กินมันครั้งแรก. มันเป็นวิธีที่ดีที่สุดที่จะได้ลิ้มรสชาติความอร่อยของตัวเห็ด.
ผ่านไปครู่เดียว กลิ่นหอมก็เริ่มคลุ้งไปทั่วร้าน.
เห็ดมัตสุทาเกะนั้นมีกลิ่นหอมเฉพาะตัวที่ไม่เหมือนผักอื่นๆ. กลิ่นนี้จะบอกว่าแปลกก็ได้. คนส่วนใหญ่จะคิดว่ากลิ่นมันแปลกๆตอนแรก แต่พอได้กินเข้าไปแล้วก็จะหยุดไม่ได้เลยล่ะ.
พอย่างเสร็จแล้ว ชิยูก็มานั่งแทะอย่างเอร็ดอร่อยพร้อมกับเหล้าหวานจอกเล็กๆ. เธอหยิบเห็ดย่างขึ้นมาแล้วพูด “ชั้นรู้นะว่านายยังมีความรู้สึกให้เธออยู่ ขอโทษก่อนจะไม่ดีกว่าหรอ? ไม่งั้นคนที่ทรมาณจะเป็นนายซะเองนะ”
คู่รักทะเลาะกันแบบนี้แก้ง่ายมากๆ ขอแค่มีใครซักคนยอม ทุกอย่างก็ดีขึ้นแล้ว. ยิ่งไปกว่านั้นเธอมองออกว่าเฟิ้งโหลวนั้นรักยัยเด็กเหมิงลี่นั่นมากๆ.
“ไม่! ชั้นเป็นฝ่ายขอโทษมาตลอดเลย. ไม่ว่าใครจะผิดก็ตาม ชั้นก็ยอมเธอมาตลอด. แต่ครั้งนี้ชั้นอยากให้เธอเอ่ยปากขอโทษบ้างซักครั้ง” หน้าของเฟิ้งโหลวแดงขึ้นเพราะแอลกอฮอล. แต่เขาก็ยังคุมสติได้อยู่ถึงแม้น้ำตาของเขาเริ่มคลอเบ้าแล้วก็ตาม ชิยูยังมองออกอีกว่าเขายังระวังตัวเองได้อยู่. มารยาทเขาก็ดีด้วย.
ชิยูพยักหน้า “เธอน่าจะมีความรู้สึกเหลืออยู่นั่นแหละ ชั้นว่าอีกไม่นานก็เคลียกันได้”
จากนั้นเฟิ้งโหลวก็หัวเราะออกมา “ชั้นอุตส่าห์ตั้งใจไว้แล้วว่าจะพาเธอไปพบพ่อแม่. ที่ออกเดินทางมาที่ภูเขาสัตว์ปราณนี้ก็เพื่อหาดอกบัวหยกอมตะ ถ้าชั้นบอกพ่อแม่ว่าเธอเป็นคนเจอล่ะก็ ต่อให้ฐานะต่างกันพ่อแม่ชั้นก็ไม่ห้ามเรื่องแต่งแน่นอน”
ชิยูเข้าใจขึ้นมาทันที. ที่มาตามหาดอกบัวหยกอมตะกันนี่เพราะเพื่อเหมิงลี่ล้วนๆสินะ.
“ฮ่า งั้นก็ขอให้โชคดีนะ” ชิยูชนแก้วกับเขา “จริงๆแล้วชั้นตัดสินใจว่าจะไปก่อนน่ะ นายบอกสถานที่ที่ชั้นจะหานายเจอมาสิ. พอได้ของแล้วจะไปหา”
“เธอจะไปแล้วเหรอ? ได้ไง!” เฟิ้งโหลวไม่อยากเชื่อเลย “ผู้หญิงตัวคนเดียวเดินทางคนเดียวมันอันตรายเกินไปนะ. ชั้นรู้ว่าคนอื่นๆทำให้เธอลำบากใจแต่เดินทางเป็นกลุ่มก็น่าจะปลอดภัยกว่านะ. อีกอย่างแผลของหลิวยี่ก็ใกล้จะหายสนิทแล้วด้วย. พอถึงตอนนั้นเราก็จะได้เดินทางเร็วขึ้นอีกแล้วก็ไปถึงเมืองหลวงได้ในสองสามวันแน่”
พอได้ยินคำพูดของเฟิ้งโหลว ชิยูก็รู้สึกอบอุ่นหัวใจขึ้นมา. กะแล้ว ความอ่อนโยนของหมอนี่อันตรายจริงๆ! เธอคิดอยู่พักนึง ถ้าแค่ทนอีกซักหน่อยก็พอแล้วใช่มั้ยล่ะ?
สุดท้ายเธอก็พยักหน้าตกลงไป.
วันต่อมา ทุกๆคนก็เก็บของพร้อมจะเดินทางต่อแล้ว. ชิยูเองก็เดินลงมาจากห้องพักด้านบนและคอยระวังพวกคนที่อยู่ตรงห้องรับรอง. เฟิ้งโหลวกับเหมิงลี่ยืนอยู่ห่างกันมาก สงสัยยังไม่ดีกัน.
“เหลือแค่น้องหยินกับเฟ้ยเหย่. พอพวกเขาลงมาก็ไปกันได้!” เฟิ้งโหลวพูดกับชิยู.
ชิยูพยักหน้าแล้วไม่พูดอะไรต่อ. เธอรู้สึกว่าร่างกายตัวเองสั่นและเครียดมากไปพักหลังๆนี้ เหมือนกับกินกาแฟหลายๆแก้วพร้อมกัน. เธออยากจะรีบไปให้ถึงเมืองหลวงแล้วไปหาหมอซะ. แต่ความเครียดนี้ก็ไม่ได้ทำให้การพัฒนาพลังปราณของเธอชะงัก เธอสงสัยว่าไปกินยาอะไรผิดๆมารึป่าว หรือโดนพิษเข้า.
ขณะที่พวกเขารออยู่ ทั้งสองคนที่เหลือก็ลงมา. แต่ทว่าโม่หยินนั้นดูแปลกไป.
ทุกๆคนตะลึงกันหมด เธอมองมาทางหลิวยี่ที่กำลังมองเธอด้วยความตื้นตันอยู่.
“นี่เธอคือน้องหยินเหรอ?” เขาพูดด้วยความสงสัย.
ชิยูมองโม่หยินดีๆอีกครั้งแล้วก็เข้าใจว่าทำไมเขาถึงตื้นตันขนาดนั้น. โม่หยินที่วิ่งไปมาในชุดผู้ชายราวกับสัตว์ป่ากลับแต่งตัวเป็นผู้หญิงดีๆวันนี้. เธอต้องยอมรับเลยว่าชุดสีฟ้านั้นเหมาะกับเธอมากๆและผมเธอที่ม้วนเป็นเกล้าไว้ตอนนี้ก็สยายลงมาแตะบ่าแล้ว. ใบหน้าเล็กๆนั่นก็โดดเด่นขึ้นเพราะเครื่องสำอางจนเธอดูเหมือนหญิงขี้อายเลยทีเดียว.
ไม่แปลกใจว่าทำไมหลิวยี่ถึงตกใจนัก.
**ตอนหน้าก็สุดอีกเช่นเคย**