Chapter 36: เมอรี่คริสมาสต์ -2 (ส่วนที่ 2)
ฉันอดรู้สึกเครียดไม่ได้แม้ว่าฉันจะเป็นคนถามคำถามนี้ออกมาก็ตาม
ขึ้นอยู่กับคำตอบของเขา ฉันต้องพิจารณาอย่างจริงจังว่าจะรับมือกับฮาร์แมนยังไงดีในช่วงเวลานี้ แม้ว่าจะมีพวกนักโทษอยู่ทางโน้น แต่ฉันคิดว่าด้วยวิญญาณทหารแห่งความตายที่ช่วยกันโจมตีเขาไม่ใช่แค่ฉันคนเดียว มันก็น่าจะมีอะไรซักอย่างที่เอื้อประโยชน์กับฉันได้บ้าง
“ไม่หรอกครับเจ้าชาย”
นี่เป็นคำตอบที่คาดไม่ถึงจริงๆ
ฮาร์แมนจ้องตรงมาที่ฉันแล้วพูดต่อ “ต่อให้ผมรายงานเรื่องนี้ไป ก็คงจะไม่มีใครเชื่อหรอก ไม่สิ แทนที่จะเป็นแบบนั้น การทำรายงานโดยระบุว่าตัวผมร่วมมือกับเจ้าชายคนอื่นเพื่อกล่าวหาท่านอย่างผิดๆยังฟังดูมีน้ำหนักกว่าอีกครับ”
ร่วมมือแล้วไงหล่ะ? อ๋อ หมายถึงเลียแข้งเลียขาเพื่อให้ถูกเลื่อนขั้นไว้ขึ้นอะไรประมาณนี้สินะ?
แต่เจ้าเป็นพวกประเภทที่ยึดหลักตามตำราไม่ใช่รึไง?
ใช่แล้ว ชายคนนี้ไม่ใช่คนประเภทที่จะไปนอนกับคนอื่นเพื่อสร้างความก้าวหน้าให้กับอาชีพของตัวเอง อันที่จริงเขาคงจะรู้สึกโดนเหยียดหยามถ้าถูกสงสัยเกี่ยวกับเรื่องแบบนั้น
ฮาร์แมนสูดหายใจเข้าลึกๆ เขาพยายามที่จะรักษาความเยือกเย็นเอาไว้ในขณะที่ถามอีกคำถามนึง “ท่านรับรู้ถึงแรงกระเพื่อมที่อาจจะเกิดขึ้นถ้าความจริงถูกเปิดเผยใช่ไหมครับ เจ้าชาย?”
อืม ก็นะ... พูดตามตรงฉันไม่รู้หรอกว่าจะเกิดอะไรขึ้นบ้างถ้ามันเป็นแบบนั้นจริงๆ ฉันคิดว่าอย่างน้อยที่สุด ชีวิตที่เหลือของฉันก็คงจะต้องไปอยู่ในคุก “อย่างน้อยที่สุด ฉันก็คงจะไม่ได้เป็นอิสระเหมือนตอนนี้”
“...ก้าวผิดเพียงก้าวเดียวก็อาจจะไปเจอกับอันตรายได้ ซึ่งนี่รวมทั้งพี่ชายของท่านเจ้าชายลำดับหนึ่งด้วย”
เจ้าชายลำดับหนึ่ง? อืม นี่ฉันมีพี่ชายอยู่ด้วยหรอเนี่ย?
เอาเถอะ ฉันถูกเรียกว่า ‘ลำดับเจ็ด’ เพราะฉะนั้นมันก็ต้องมีอย่างน้อยอีกหกคนที่แก่กว่าฉันหล่ะนะ นี่มันก็แน่นอนอยู่แล้ว
ฉันยังคงใจเย็นในขณะที่นั่งอยู่บนสุดของกำแพงชั้นนอกและฉากนี้ก็ทำให้ฮาร์แมนถอนหายใจออกมายาวๆ “ตอนนั้นผมเองก็เป็นอัศวินที่รับใช้ท่านหญิงยูริเซียโดยมีหน้าที่คุ้มกันท่านหญิงกับเจ้าชายครับ...”
เขายังคงจ้องมาที่ฉันด้วยสายตาที่เร่าร้อน สีหน้าของเขาเต็มไปด้วยความมุ่งมั่นในตอนที่เขาเอ่ยปากพูดขึ้นมาอีกครั้ง “...ผมจะรับใช้ท่านและเจ้าชายลำดับหนึ่งจนกว่าชีวิตจะหาไหม้”
ฉันจ้องเข้าด้วยความสับสนเป็นเวลาพักนึง
เจ้าโง่ที่ยึดติดกับตำรา, ดูเหมือนว่า...เขาก็ตัดสินใจที่จะร่วมเตียงกับคนอื่นจริงๆสินะ แต่ก็นั่นแหล่ะ แรงดึงดูดจากการได้เลื่อนขั้นอย่างรวดเร็วมันก็เป็นสิ่งที่อยากจะทานทนอยู่แล้วใช่ไหมหล่ะ?
ฮ่าฮ่า! ไอ้หมอนี่ แต่เขาไม่รู้วิธีเลือกคู่นอนที่เหมาะสมเอาซะเลย ไม่นึกเลยว่าเขาจะยอมมาเป็นพวกกับเจ้าชายที่ถูกเนรเทศจากทุกคน! และที่แย่ยิ่งกว่านั้น ยังเป็นเจ้าชายที่ต้องสงสัยว่าใช้เวทย์เนโครแมนเซอร์ได้อีก
ไม่สิ เดี๋ยวก่อนนะ หรือว่าเขาอยากสืบหาเรื่องที่ไม่เหมาะสมเกี่ยวกับตัวฉันเพิ่มเติม? ในเมื่อเขามีหลักฐานไม่เพียงพอที่จะใช้จัดการฉัน มันก็เป็นไปได้ว่าเขาอยากติดตามฉันอย่างใกล้ชิดเพื่อหาหลักฐานเพิ่มอีกใช่ไหม?
ด้วยความคิดพวกนี้ที่ผุดขึ้นมาในหัว ฉันก็ระวังฮาร์แมนมากขึ้นกว่าเดิม ตอนนี้เขากำลังมองฉันด้วยสายตาที่ให้ความรู้สึกเห็นอกเห็นใจอย่างบอกไม่ถูก
แต่ก่อนที่ฉันจะได้ถามเขาถึงความหมายของสายตาพวกนี้ กลิ่นที่รุนแรงก็ได้ลอยเข้ามาเตะจมูกฉันในเวลาที่ประจวบเหมาะพอดี
“ไม่ว่าจะยังไง... ฉันคิดว่ามันถึงเวลาแล้วแหล่ะ” ฉันพึมพำออกมา
“...”
ฉันแหงนหน้ามองบนฟ้า
โดยปกติแล้ว การมองตำแหน่งของดวงอาทิตย์กับดวงจันทร์นั้นจะสามารถประเมินเวลาได้คร่าวๆ แต่น่าเสียดาย เมฆที่ทั้งหนาและมืดมนที่ลอยอยู่นั้นมันทำให้เป็นไปไม่ได้เลยที่จะบอกเวลาที่แน่นอนในตอนนี้
อย่างไรก็ตาม แม้แต่ฉันก็สามารถรับรู้ได้ว่ากลิ่นของความตายนั้นกำลังถาโถมเข้ามาหาพวกเราพร้อมกับการมาถึงของเวลาเที่ยงคืน
“ดูเหมือนว่าคริสต์มาสอีฟจะจบลงแล้วสินะ”
ฉันอยากจะใช้เวลาว่างกับผู้หญิงน่ารักๆหรือไม่ก็เพื่อนฝูงมากกว่า แต่ว่า...
ในขณะที่หมอกอันมืดมนค่อยๆถูกปัดเป่าไป แสงจันทร์ที่เคยถูกบดบังก็เผยตัวออกมา แต่น่าเศร้าที่มันไม่ใช่แสงจันทร์ที่นุ่มนวลและสดใสเหมือนปกติ มันเป็นแสงสีแดงฉานน่าขนลุกที่ชวนให้สั่นสะท้านไปถึงสันหลัง
ชั้นพลังมารหนาก่อให้เกิดการเปลี่ยนแปลงในชั้นบรรยากาศและนำพาแสงนี้มา
ในขณะที่กำลังมองแสงจันทร์ ฉันก็พึมพำกับตัวเอง “สุขสันต์วันคริสมาสต์ฮาร์แมน นั่นสิ....” จากนั้นฉันก็ก้มศีรษะลงแล้วลุกขึ้นยืนก่อนที่จะปัดฝุ่นออกจากตัว “...ได้ดื่มดำกับเทศกาลฮาโลวีนในวันเดียวกันก็ถือว่าเป็นของแถมหล่ะนะ”
ในที่สุดอันเดทที่อยู่บนพื้นหิมะก็ออกเคลื่อนไหวอีกครั้ง
และห่างออกไปประมาณ 600 เมตร ซึ่งอยู่นอกระยะยิงของปืนคาบศิลา แวมไพร์เคานต์กำลังยืนด้วยขาของตัวเอง และง่วนอยู่กับการรวบรวมพลังมารสีแดงฉานเอาไว้ในมือของมัน
**
(บรรยายมุมมองบุคคลที่ 3)
แวมไพร์เคาต์นั่งอยู่บนเกี้ยว
ตอนนี้มันกำลังขบฟันด้วยความโกรธในขณะที่มองลงไปที่หว่างขาของมัน กลิ่นไหม้ยังคงติดอยู่ และที่สำคัญที่สุดก็คือมันยังไม่ได้ฟืนฟูขึ้นมาเลยซักนิด
‘แต่ว่า... ได้ยังไงกัน!?’
สิ่งมีชีวิตนี้แตกต่างจากอันเดทตัวอื่นๆ มันไม่ใช่ศพกระจ้อยร่อยที่หายใจก็ไม่ได้ หรือศพที่มีหัวใจที่ไม่เต้นอีกต่อไปแล้ว
มันมีอีโก้ และสามารถคิดก่อนตัดสินใจได้ และถึงแม้ว่าจะอ่อนแอ แต่หัวใจของมันก็เต้นอยู่ และผ่านปอดของมัน เจ้าสัตว์ประหลาดตัวนี้สามารถหายใจได้ด้วย แถมมันยังรู้วิธีเพลิดเพลินกับรสชาติของเนื้ออีก
นี่คือสิ่งที่สำคัญจากการกลายเป็นแวมไพร์ ตัวตนที่ได้รับสิทธิในการเพลิดเพลินกับ ‘ชีวิตใหม่’ หลังจากที่คลานออกมาจากหลุมแห่งความตาย สิ่งมีชีวิตเช่นนี้ควรที่จะสามารถฟื้นฟูอวัยวะต่างๆของร่างกายที่เสียหายให้กลับมาได้ อย่างไรก็ตาม...
แม้กระทั่งตอนนี้ สิ่งที่สำคัญที่สุดของมันก็ยังไม่ได้รับการฟื้นฟูเลย อันที่จริง มันกำลังฟื้นกลับมาอยู่แต่ความเร็วนั้นช้ายิ่งกว่าหอยทากคลานด้วยซ้ำ
หากยังเป็นแบบนี้ต่อไป บาดแผลคงต้องใช้เวลาเป็นปีๆถึงจะฟื้นฟูกลับมาอย่างเต็มที่ นี่คือความแข็งแกร่งของพลังศักดิ์สิทธิ์ที่อาบอยู่ในกระสุนที่เจาะทะลวงแวมไพร์เคาต์
ไอ้นักบวชสารเลวน่ารังเกียจ!!
แวมไพร์เคาต์เดือดดาล
แม้ว่ามันจะถูกกำหนดให้เป็นราชาแวมไพร์คนต่อไป แต่มันก็ต้องทนรับความอัปยศที่น่าสยดสยองเช่นนี้...!
แกกล้ามาขโมยแหล่งความสุขของฉันได้ยังไง...!
แวมไพร์ไม่สามารถระงับความโกรธของมันได้แล้วสะบัดมือของมัน หลังจากจับซอมบี้ที่อยู่ใกล้ๆได้ตัวนึง แวมไพร์ก็ทำการฉีกแขนขาของอันเดทที่น่าสงสารแล้วยัดสิ่งที่กระชากออกมาเข้าไปในปาก
ก็ได้! ก็ได้! เมื่อฉันยึดดินแดนนี้ได้ ฉันก็จะได้จับต้องพลังที่ยิ่งใหญ่มากขึ้นไปอีก
ในตอนที่แวมไพร์พิชิตศึกที่แสนขี้ขลาดนี้ได้สำเร็จ การฟื้นฟูสิ่งที่สูญเสียไปก็น่าจะง่ายขึ้นมาก
แวมไพร์ไม่ได้วางแผนจะหนีจากการต่อสู้
สายตาของมันมองขึ้นไปบนฟ้า ที่แสงจันทร์สีแดงฉานที่กำลังส่องลงมาจากด้านบน
จากนั้น มันก็มองกลับลงมาที่ฟื้น
หมอกหนาที่เต็มไปด้วยพลังมารกำลังสร้างความปั่นป่วนให้ดินแดนนี้อยู่ อันเดทที่เอาขาของพวกมันจุ่มเข้าไปในหมอกนี้มีอาการตัวสั่นอย่างเห็นได้ชัด และจากนั้น ศพของซอมบี้มากมายก็เริ่มขยายตัวขึ้น ร่างกายที่เคยผอมแห้งของพวกมันได้ถูกห่อหุ้มด้วยกล้ามเนื้อที่เติบโตขึ้นมาใหม่ ริ้วพลังงานหนาได้ไหลเวียนระหว่างกระดูกของโครงกระดูก
เมื่อได้เห็นภาพนี้ แวมไพร์เคาต์ก็เผยรอยยิ้มน่าขนลุกออกมา
ดูพลังมารที่แข็งแกร่งนี่สิ!
นี่คือ ‘คลื่นแห่งความตาย’ ที่แท้จริง!
ในที่สุดมันก็ถึงวันที่ 25 ธันวาคม! วันที่ราชาเนโครแมนเซอร์เอม่อนตาย! นี่คือช่วงเวลาของพวกมัน
ในที่สุดเวลาของพวกเราก็มาถึง!
แวมไพร์เคาต์จับที่วางแขนของเกี้ยวแล้วดันตัวขึ้นมา ร่างกายที่ใหญ่โตของมันนั้นได้ก้าวเข้าไปในหมอกที่เต็มไปด้วยพลังมาร
ขาของสิ่งมีชีวิตที่เคยดิ้นรนกับการรับน้ำหนักที่มากล้นของมันนั้นตอนนี้กำลังยืนอย่างมั่นคง ในขณะเดียวกันนั้นเอง พลังมารที่อยู่ข้างในหมอกก็ถูกดูดซึมเข้าไปในร่างกายของมันอย่างรวดเร็ว
ร่างที่อ้วนฉุก่อนหน้านี้ได้ถูกแปรสภาพใหม่เป็นร่างที่กำยำ
เหล่าศพเดินได้ที่รักของฉัน! ในที่สุดเวลาของพวกเจ้าก็มาถึงแล้ว!
อันเดททั้งหมดได้ตอบสนองต่อคำพูดของเคานต์แล้วส่งเสียงโหยหวนออกมาดังลั่น
ไปซะจงกลืนกินเหล่าคนเป็น และวิวัฒนาการ!
แวมไพร์เคาต์ขยับร่างที่ใหญ่โตของมันไปข้างหน้า มันค่อยๆเดินหน้าไปหาเป้าหมายของมันที่ละก้าว
จงกลายเป็นแวมไพร์ด้วยตัวเอง และศิโรราบต่อฉัน คนที่นำพาพวกเจ้าไปสู่รูปลักษณ์ที่พวกเจ้าพึงพอใจ ในฐานะราชาคนใหม่ของพวกเจ้า!
เคาต์กำหมัดของมันในขณะที่พลังมารสีแดงฉานกำลังหมุนวนอยู่รอบมือของมันอย่างบ้าคลั่ง พื้นดินสั่นสะเทือนในขณะที่ส่งเสียงดังพอที่จะทำลายแก้วหูได้เลย
ฉันคือผู้สืบทอดของเทพแห่งความตาย ยูได! และฉันจะกลายเป็นราชาแวมไพร์คนใหม่!
จากนั้นเคาต์ก็ยกมือขวาที่ถูกห่อหุ้มด้วยแสงสีแดงขึ้น ก่อนที่จะฟันมันลงมา
พลังมารที่หมุนวนอยู่รอบมันได้ทะลวงผ่านอันเดทที่อยู่เบื้องหน้าแวมไพร์ จากนั้นเส้นแสงขนาดยักษ์สีแดงเข้มก็ได้ตัดผ่านสายลมและไปถึงกำแพงชั้นนอกของโรเนีย แล้วฟันพวกมันอย่างแนบเนียน
จากนั้น...ระเบิดครั้งใหญ่ก็ปะทุขึ้น
กำแพงชั้นนอกที่ทำมาจากไม้และหินไม่สามารถทนรับแรงกระแทกได้แล้วระเบิดขึ้นไปเป็นเกลียว
จากนั้นส่วนของกำแพงสูง 12 เมตรก็พังครืนลงมาอย่างไร้กำลัง
เดินหน้าได้! ฉันจะเข้าสู่สนามรบด้วยตัวเอง!
แวมไพร์เคาต์ขยับขาของมัน
ในช่วงคลื่นแห่งความตายนี้ไม่มีอะไรต้องกลัวแล้ว ตราบใดที่พลังมารนี้ยังคงสนับสนุนมันอยู่ เคาต์ก็สามารถเดินด้วยตัวเองและเพลิดเพลินกับการไล่ล่าคนเป็นได้
นี่คือก้าวแรกของฉันในการพิชิตทวีปนี้ ก้าวแรกสู่การเป็นผู้สืบทอดตำแหน่งราชาอย่างชอบธรรม!
แคว้กกก!
อันเดทส่งเสียงโหยหวนออกมาดังลั่น
พวกมันโน้มตัวไปข้างหน้าแล้ววิ่งออกไปอย่างรวดเร็ว อันเดทที่ความเร็วสูงสุดของมันไม่ได้ดีไปกว่าการเดิน ตอนนี้กำลังวิ่งไปทางกำแพงชั้นนอกอย่างแท้จริงแล้ว
ยังคงมีกองทัพอันเดทดั้งเดิมเหลืออยู่ประมาณครึ่งนึง ซึ่งนี่ก็หมายความว่า พวกมันประมาณหนึ่งหมื่นกำลังบุกเข้าไปที่โรเนียเหมือนกับฝูงแมลงที่ตะกละตะกลาม