บทที่ 67 สุสานแม่ม่าย 3
เมื่อราชินีตัวที่ใหญ่กว่าเริ่มกินราชินีตัวเล็กฉันก็อดไม่ได้ที่จะงงงวยกับสิ่งที่เกิดขึ้นในดันเจี้ยนนี้ ที่นี่มีมากกว่าสิบชั้นโดยมีเหล่ามินเนี่ยนสแนร์เลอร์อาศัยอยู่ทั้งหมดยกเว้นชั้นที่สิบซึ่งเป็นที่ที่ราชินีสแนร์เลอร์อาศัยอยู่ เหตุผลที่ดันเจี้ยนนี้ถือว่าเป็นดันเจี้ยนที่เหมาะสำหรับมือใหม่ก็เพราะว่าราชินีไม่เคยออกจากชั้นที่สิบทำให้เหล่ามือใหม่สามารถฝึกฝนได้อย่างง่ายดายจนก่อนจะถึงในชั้นสุดท้าย
แม้ว่าราชินีนักล่าจะเป็นสัตว์อสูรระดับ B แต่นักผจญภัยระดับ E ที่มาเป็นกลุ่มใหญ่ก็ยังสามารถเอาชนะมันได้
ซึ่งทำให้เกิดคำถามอีกครั้ง: มันเป็นเรื่องปกติหรือไม่ที่จะมีราชินีมากกว่าหนึ่งตัวในดันเจี้ยน? จากสิ่งที่ฉันได้อ่านฉันพบว่าราชินีมักจะหวงอาณาเขตมากและจะขู่ไล่เมือมีต่อคู่ที่มีศักยภาพพอที่คุกคามรังของพวกมัน
ศาสตราจารย์กลอรี่อาจจะไม่ได้คิดอะไรมากแต่ฉันอดไม่ได้ที่จะต้องใส่ใจกับเรื่องนี้ สิ่งนี้นำฉันไปสู่คำถามสุดท้ายของฉัน ราชินีทั้งสองนั้นแข็งแกร่งกว่าที่พวกมันควรจะเป็นได้อย่างไร?
ฉันเข้าใจว่าศาสตราจารย์กลอรี่จะต้องเจอกับความยากลำบากในการต่อสู้กับสัตว์มานาคลาส B ทั้งสองตัวที่ถือว่าเป็นบอสของดันเจี้ยน แต่เธอก็ไม่น่าแพ้ นักผจญภัยระดับ A ควรจะสามารถกำจัดราชินีสแนร์เลอร์ได้อย่างง่ายดาย
“ทำไมมันถึงแข็งแกร่งกว่าอีกตัวมากขนาดนี้?” ศาสตราจารย์กลอรี่ลุกขึ้นขณะที่เธอคร่ำครวญและกวาดมินเนี่ยนสแนร์เลอร์สองสามตัวให้ออกไปจากทางของเธอ
ในขณะที่ฉันต่อสู้กับกองทัพของสแนร์เลอร์ ความสนใจของฉันถูกดึงกลับไปที่ราชินีที่กำลังกินเพื่อนในอดีตของมัน
“ศาสตราจารย์เรื่องแบบนี้เกิดขึ้นบ่อยมั้ย?” ฉันถาม
“ฉันเคยได้ยินมาว่าสัตว์ร้ายมานาบางชนิดเป็นพวกกินเนื้อ แต่ฉันไม่เคยเห็นกรณีนี้มาก่อนจริงๆโดยเฉพาะตอนนี้ฉันไม่รู้อะไรเลย” เธอส่ายหัวเธอหยิบดาบอีกเล่มขึ้นมาและพุ่งเข้าหาคู่ต่อสู้
ในขณะที่ราชินีสแนร์เลอร์บริโภคสหายที่ตายไปแล้วของเธอเสร็จสิ้นการเปลี่ยนแปลงที่แปลกประหลาดก็เกิดขึ้น ขนสีเทาของมันเปลี่ยนเป็นสีดำสนิทและมีเขาเล็กๆอยู่บนหน้าผากที่ฉันไม่ได้สังเกตเห็นในตอนแรกโค้งขึ้นสูงอย่างมาก ดวงตาสีแดงที่เคยนิ่งนั้นดูคมและเป็นอันตราย เกือบจะเหมือนพวกโรคจิตโดยเฉพาะมันเข้ากับปากของมันในตอนนี้มากๆเหมือนกัน
ศาสตราจารย์กลอรี่ไม่ได้พูดอะไร แต่ฉันรู้ว่าเธอต้องมีความรู้สึกสงสัยมากขึ้นเรื่อยๆในขณะที่สัตว์มานาได้พุ่งเข้าใส่เธอ จนถึงตอนนี้การได้กลับบ้านอย่างปลอดภัยขึ้นอยู่กับเวลา แต่ถึงอย่างนั้นฉันก็อดไม่ได้ที่จะตัวสั่นโดยไม่ได้ตั้งใจจากจิตสังหารที่หลั่งออกมาจากราชินี
"ศาสตราจารย์ค่ะ! เราไม่สามารถ…ต้านต่อไปได้แล้วค่ะ!” เทสตะโกนเสียงแหบท่ามกลางเสียงคำรามและเสียงขู่ฟ่อของศัตรู
อาการของเธอดูไม่ดีและทำให้ฉันเห็นปัญหาที่ค่อนข้างชัดเจนที่เรากำลังเผชิญอยู่ในขณะนี้
“ทุกคน! ห้ามใช้คาถาไฟ! ทางเข้าถ้ำถูกปิดกั้นดังนั้นออกซิเจนที่นี้จะถูกจำกัด !” ฉันคำรามออกมา
จากกองซากศพที่ถูกเผาไหม้อากาศก็เริ่มหนาขึ้นเมื่อนักเรียนที่มีร่างกายอ่อนแอบางคนเริ่มไออย่างควบคุมไม่ได้
ราชินีและศาสตราจารย์กลอรี่กำลังคุมเชิงกันอยู่โดยศาสตราจารย์ของเราเริ่มที่จะเป็นฝ่ายที่แพ้ ในขณะที่ฉันมุ่งเน้นไปที่การต่อสู้อีกครั้งฉันเห็นได้ว่ารูปแบบการต่อสู้ของราชินีสแนร์เลอร์นั้นเปลี่ยนไปอย่างสิ้นเชิง ไม่มีร่องรอยของความลังเลใจหรือความสำนึกในการป้องกันเลย การโจมตีในแต่ละครั้งที่เล็งไปที่ศาสตราจารย์กลอรี่เต็มไปด้วยเจตนาที่จะฆ่าโดยไม่สนใจร่างกายของตัวมันเองเลย โดยปกติแล้วนั่นควรจะเป็นความหายนะแก่ตัว แต่ขนสีดำของราชินีสแนร์เลอร์ที่เป็นเอกลักษณ์นั้นสามารถดูดซับความเสียหายส่วนใหญ่จากการโจมตีของศาสตราจารย์ของเราได้
“อาเธอร์…ฉันคิดว่า…แกนมานาของฉันเริ่มจะ…” เทสซึ่งอยู่ข้างหลังฉันไม่กี่เมตรคุกเข่าลงขณะที่เธอเริ่มกำหน้าท้อง
ไอ้บ้าเอ่ยทำไมต้องตอนนี้
'ปาป๊าค่ะ! เกิดอะไรขึ้น? ปาป๊าโอเคไหมค่ะ? 'เสียงของซิลวี่ดังขึ้นในหัวของฉัน
'พวกเราเจอปัญหา ซิลวี่เธอมาที่นี่ให้เร็วที่สุดและมุ่งหน้าลงมาทางบันไดเลยนะ' ฉันตอบกลับไปก่อนที่จะกลับไปสนใจกับสิ่งที่เกิดขึ้นที่นี่
ตอนนี้มีปัจจัยหลายอย่างที่ทำให้ฉันหนักใจและฉันก็เริ่มคิดถึงการเดินทางตอนไปที่สุสานไดเออร์ ฉันน่าจะมีพลังพอที่จะระเบิดเศษหินที่ขวางทางเข้าด้านหน้าบันไดได้ และหากฉันทำเช่นนั้นได้ฉันควรจะทิ้งทุกคนและหนีไปกันแค่สองคนดีมั้ย?
ไม่...เทสจะไม่มีวันยกโทษให้ฉันถ้าหากเธอรู้ว่าฉันทิ้งคนอื่นๆ ไว้ที่นี่เพื่อที่ตัวเองจะได้เอาตัวรอด
หลังจากระเบิดทางออกแล้วฉันควรอยู่ข้างหลังและช่วยศาสตราจารย์กลอรี่ฆ่าราชินีที่ที่กลายพันธุ์ใช่มั้ย?
ไม่ว่าฉันจะตัดสินใจอะไรสิ่งแรกที่ฉันต้องทำคือเอาเศษหินหรืออิฐพวกนี้ออกก่อน เป็นสิ่งสำคัญที่ฉันจะต้องเคลียร์เส้นทางในการโจมตีครั้งเดียวเพราะเห็นได้ชัดว่าราชินีจะไม่ยอมปล่อยให้พวกเราทุกคนหนีไปได้
“ศาสตราจารย์ครับดึงความสนใจของราชินีให้ผมหน่อย ผมจะพยายามเปิดทางออกให้พวกเรา!” ศาสตราจารย์กลอรี่ต้องทำงานหนักมากขึ้นเพื่อราชินีสนใจเนื่องจากเธอไม่สามารถใช้เทคนิคไฟได้เลย หลังจากพยักหน้ายืนยันแล้วฉันก็เตรียมลงมือทันที เทสไม่ได้อยู่ในสถานะที่จะช่วยใครได้และคนอื่นๆก็ยุ่งอยู่กับการต่อสู้กับกองทัพของเหล่าสแนร์เลอร์ ลูคัสต้องหันไปใช้คาถาความร้อนเพื่อพยายามยับยั้งเหล่าสแนร์เลอร์เนื่องจากระดับออกซิเจนเริ่มจะมีน้อยลงไปเรื่อยๆ
ฉันจะต้องทำสิ่งนี้ด้วยตัวเอง ฉันจะต้องคำนวณมันให้ดี ถ้าหากฉันใช้คาถาไฟและล้มเหลว พวกเราทุกคนจะหายใจไม่ออกทันที น้ำ? น้ำแข็ง? มีอนุภาคมานาของธาตุน้ำน้อยเกินไปในถ้ำนี้ที่จะใช้เจาะรูผ่านหินพวกนี้ไปได้ ถ้ำที่เคยเต็มไปด้วยน้ำแข็งตอนนี้แห้งและเต็มไปด้วยควันหนาทึบที่เกิดจากซากศพของนักฆ่าที่ถูกเผา
นั่นทำให้ฉันเหลือเพียงลมและดินหรือทั้งสองอย่างผสมกัน แต่ฉันก็ไม่มั่นใจว่าจะสามารถสร้างการโจมตีที่ทรงพลังได้มากพอที่จะระเบิดทางออกได้ ฉันคิดว่าอาจจะต้องใช้เฟสสองของเจตจำนง แต่จากสภาพของเทสในตอนนี้ฉันต้องมีสติอย่างน้อยก็จนกว่าเราจะออกจากดันเจี้ยนนี้ไปได้
ไม่มีทางเลือกอื่นแล้วจริงๆหรือ? ในขณะที่จิตใจของฉันเริ่มหมุนวนเพื่อหาแนวทางแก้ไขที่พอจะเป็นไปได้ฉันก็เห็นศาสตราจารย์กลอรี่ได้รับการโจมตีที่แขนขวาของเธอ
' หนูเกือบจะถึงแล้วค่ะปะป๊า! รอก่อนนะ! ' เสียงของซิลวี่ทำให้ฉันเกิดไอเดีย
นั้นไง!
“เคอร์ติส! ฉันอยากให้นายช่วยตอนนี้เลย!” ฉันคำรามไปที่สนามรบ
“อาเธอร์ฉันไม่คิดว่าจะ... -”
"เดี๋ยวนี้!" ฉันตะคอกกลับก่อนที่เขาจะเถียงได้
เคอร์ติสเปื้อนเลือดไปทั้งตัวและดูน่ากลัว แต่จากบาดแผลตื้นๆบนร่างกายของเขาเห็นได้ชัดว่าเลือดที่อยู่บนตัวเขาไม่ใช่ของเขา
"มีอะไร?" เขาหอบหนัก ฉันบอกได้เลยว่าเขาเหนื่อยล้ามากเมื่อเห็นใบหน้าและร่างกายของเขา โล่ของเขามีรอยบุบเต็มไปหมดและดาบของเขาก็เปื้อนเลือดจางๆจากการใช้งานซ้ำๆ
“นายคิดว่าเวิร์ลเฮาของนายจะแข็งแกร่งพอที่จะระเบิดซากปรักหักพังพวกนี้มั้ย?” ฉันหันไปทางเขาเพื่อให้เขากลับมาสนใจ
“อาเธอร์ฉันไม่คิดว่าฉันจะมีมานาพอที่จะใช่เฟสแรกของฉันเลยด้วยซ้ำ” เขาส่ายหัวอย่างสิ้นหวัง
“ตอบคำถามมาก่อนมันจะแรงพอไหม”
“ใช่มันแรงพอ ถ้าฉันมีมานาเพียงพอฉันอาจสร้างแรงระเบิดที่รุนแรงกว่าตอนประลองที่นายได้รับบาดเจ็บอีก” เขาเกาหัวงงว่าฉันจะทำอะไรเกี่ยวกับเรื่องนี้
ฉันคิดในตอนแรกว่าจะให้ระเบิดพลังนั้นใส่ราชินีสแนร์เลอร์ แต่ถึงแม้ว่ามันจะมีพลังพอที่จะฆ่ามันได้แต่ก็เป็นไปไม่ได้ที่เล็งไปที่ราชินีโดยที่ศาสตราจารย์กลอรี่จะไม่โดนลูกหลงไปด้วย ถ้างั้นการใช้แผนที่ปลอดภัยก็คงจะดีกว่า
"โอเค ฉันอยากให้นายเลิกตั้งคำถามว่าฉันกำลังจะทำอะไร มุ่งเน้นไปที่การเข้าสู่เฟสแรกของนายและสร้างแรงระเบิดที่แรงพอที่จะเป่าซากปรักหักพังนั้น เข้าใจแล้วใช่ไหม?” เพราะเป็นเรื่องคอขาดบาดตายเคอร์ติสได้ทำเพียงแค่พยักหน้าและหันกลับมา
ฉันถอดผนึกของฉันและใส่มันลงในแหวนมิติของฉัน ฉันรีบควบคุมความผันผวนของปริมาณมานาให้ลดน้อยลง ตอนนี้ทุกๆคนกำลังยุ่งอยู่กับการจัดการพวกสแนร์เลอร์และถ้าหากฉันไม่ได้ควบคุมการปลดปล่อยของมานาเหมือนที่ศาสตราจารย์กลอรี่ทำหลังจากที่เธอปลดผนึกของเธอ ฉันก็คงจะดึงความสนใจจากราชินีสแนร์เลอร์ไปแล้ว
ฉันรู้สึกได้ถึงมานาที่ยังไม่ได้ใช้มานานนี้และรีบวางมือทั้งสองข้างไว้ที่หลังของเคอร์ติส
ด้วยจำนวนมานาที่ฉันส่งไปยังเคอร์ติส เจ้าชายย่อเข่าลงข้างหนึ่งโดยไม่สมัครใจก่อนที่เขาจะสามารถปรับร่างกายให้เข้ากับการระดมส่งมานาอย่างกะทันหันนั้น
การโอนถ่ายมานาได้รับการศึกษาเป็นเวลาหลายปีจากเหล่าศาสตราจารย์และหนังสือหลายเล่มในห้องสมุดก็จริงแต่มันก็เป็นเรื่องที่สิ้นหวังสำหรับพวกเขา พวกเขาเชื่อว่าหากนักเวทย์มีคุณสมบัติแห่งไฟจะสามารถรับมานาจากนักเวทย์ธาตุไฟคนอื่นๆได้ แต่หลังจากการทดสอบและความล้มเหลวนับครั้งไม่ถ้วนพวกเขาก็รู้ว่ามันเป็นไปไม่ได้ เหตุผลก็คือร่างกายของคนเราไม่ได้มีเพียงแค่องค์ประกอบที่ตัวเองถนัดเท่านั้น หากมีใครที่สามารถปรับแต่งแกนกลางของพวกเขาให้อยู่ในระดับเดี่ยวกันในทุกๆธาตุกับผู้รับได้ พวกเขาก็จะสามารถถ่ายโอนมานาที่มีระดับและองค์ประกอบเดียวกันได้ นอกเหนือจากนั้นคงเป็นไปไม่ได้ ยกเว้นกรณีของฉัน
ความจริงที่ว่าฉันสามารถจัดการกับองค์ประกอบทั้งสี่ได้ทำให้ฉันสามารถปรับเปลี่ยนเลียนแบบและป้อนประเภทของมานาและอัตราส่วนของแต่ละองค์ประกอบของบุคคลที่ฉันกำลังถ่ายโอนไปได้ มันเป็นสิ่งเดียวกับที่ฉันทำกับน้องสาวของฉันและลิเลียตอนที่สอนการจัดการมานาในร่างกายของพวกเขา แต่มันเป็นระดับที่มากกว่ามาก แน่นอนว่าฉันไม่ได้เชี่ยวชาญเรื่องนี้อย่างสมบูรณ์แบบดังนั้นจึงหลีกเลี่ยงไม่ได้ที่ฉันจะต้องเสียมานาไปจำนวนมาก แต่นี่เป็นทางออกที่ดีที่สุดของเรา
ในขณะที่ฉันเริ่มควบคุมและจำกัดปริมาณของอนุภาคมานาแต่ละธาตุที่ฉันส่งไปยังเคอร์ติสอย่างช้าๆฉันก็อดไม่ได้ที่จะกัดฟันและตำหนิตัวเองในช่วงเหตุการณ์ที่ไม่คาดฝัน
มีสัญญาณเล็กๆมากมายก่อนหน้าแต่ฉันเลือกที่จะเพิกเฉยคิดว่ามันจะโอเคและยิ่งไปกว่านั้นคือฉันคิดว่าจะสามารถจัดการกับมันได้ ฉันกำลังใช้ชีวิตนี้ที่ฉันมีอยู่ตอนนี้เหมือนของตายโดยไม่เห็นคุณค่าของมันเลยหรอ? การที่ฉันโชคดีพอที่มีพลังมากขนาดนี้ทำให้ฉันสูญเสียความรู้สึกที่จะใช้เหตุผลต่างจากในอดีตไปในระดับหนึ่ง
เมื่อไม่ได้เป็นกษัตริย์อีกต่อไป ไม่ได้ผูกติดอยู่กับกฎระเบียบและการเมืองรวมทั้งความสามารถทางกายภาพของตัวเองฉันเลยประมาท ในโลกนี้ขีดจำกัดของศักยภาพของฉันไม่มีที่สิ้นสุด การก้าวไปสู่ระดับสีขาวหรือไกลกว่านั้นไม่ใช่ความฝันแต่เป็นเพียงเรื่องของเวลาและความพยายาม
สิ่งที่ทำให้ฉันตกใจมากที่สุดและสิ่งที่ฉันเกลียดที่จะยอมรับก็คือในแง่หนึ่งฉันเหมือนกับลูคัส ฉันไม่ได้ต่างจากเขามากนัก ฉันมีคนที่ฉันห่วงใยนอกจากตัวฉันเอง แต่ฉันกลับหยิ่งผยอง หยิ่งผยองจนประมาท
“ฉันไม่รู้ว่านายเพิ่งทำอะไรไปอาเธอร์ แต่ฉันรู้สึกดีมาก ฉันคิดว่าฉันสามารถเข้าสู่เฟสแรกของฉันได้แล้ว!” เจ้าชายอุทานและพาฉันกลับสู่โลกแห่งความเป็นจริง ฉันรู้สึกได้ถึงการเปลี่ยนแปลงของร่างกายของเขาในขณะที่เขาเริ่มเข้าสู่เฟสแรกของเขา
มานาเปลี่ยนแปลงไปอย่างผิดปกติรอบตัวเขาขณะที่เขาปล่อยเจตจำนงของเขา ฉันกระตุกมือไปมาด้วยความเจ็บปวดขณะที่เคอร์ติสปล่อยเฟสแรกของเขา ฉันพยายามถ่ายโอนมานาให้เขาอีกครั้งแต่การปฏิเสธจากร่างกายของเขากลับรุนแรงยิ่งกว่าครั้งแรกจนทำให้ฉันสับสน
มานาจากสัตว์มานาปฏิเสธมานาของฉันหรือ?
ก่อนที่ฉันจะมีโอกาสลองอีกครั้งเคอร์ติสก็ได่รวบรวมมานาสำหรับเทคนิคเวิร์ลเฮาของเขาแล้ว
เขาหมอบลงลดจุดศูนย์กลางลงเพื่อต้านทานแรงดีดของคาถา มานาจากทั้งร่างกายและชั้นบรรยากาศรวมตัวกันที่กรามที่อ้ากอยู่ของเขา
ในช่วงเวลานี้ฉันรีบวิ่งไปที่เทสที่ขดตัวอยู่หลังแนวหน้าและอุ้มเธอขึ้น การให้เทสออกไปจากที่นี่เป็นสิ่งสำคัญอันดับแรก ฉันเป็นส่วนหนึ่งที่ต้องถูกตำหนิสำหรับเรื่องในครั้งนี้ ฉันควรจะทำได้ดีกว่านี้ในการป้องกันไม่ให้สิ่งนี้เกิดขึ้นตั้งแต่แรก
ด้วยเสียงคำรามของสัตว์มานาเคอร์ติสปลดปล่อยการโจมตีด้วยลมปราณอันทรงพลังของเขา แต่ราชินีที่กลายพันธุ์จะต้องรู้สึกได้ว่ามีอะไรบางอย่างผิดปกติเพราะมันเปลี่ยนเป้าหมายจากศาสตราจารย์กลอรี่ที่ได้รับบาดเจ็บเป็นเคอร์ติสในทันที
“โอ้แม่สาวน้อย แกไม่ต้องคิดเลย!” ศาสตราจารย์กลอรี่ส่งเสียงร้องเต็มปอดของเธอ เธอกระโดดขึ้นและต่อสู้กับราชินีกลายพันธุ์กลางอากาศโดยหวังว่าจะยับยั้งไม่ให้มันไปถึงตัวเคอร์ติส
ด้วยการระเบิดที่รุนแรงคาถาของเคอร์ติสได้ระเบิดรูขนาดใหญ่ผ่านเศษหินและสร้างเส้นทางไปยังทางเข้าบันไดที่จะพาเรากลับสู่พื้นผิวได้ในขณะนี้
“ทุกคนมุ่งหน้าไปที่บันได!” ฉันคำรามผ่านเสียงหินที่ตกลงมาและเสียงคำรามของเหล่าสแนร์เลอร์
"ไปเดี๋ยวนี้!" ศาสตราจารย์กลอรี่ตะโกนขณะที่เธอพยายามดิ้นรนและต่อต้านราชินีสแนร์เลอร์
นักเรียนที่เหนื่อยล้าได้ผลักดันเป็นครั้งสุดท้ายไปยังทางออกในขณะที่ศาสตราจารย์กลอรี่ตรึงราชินีไว้ที่กำแพงของซากศพของเหล่าสแนร์เลอร์และขวางกั้นตัวที่ยังมีชีวิตอยู่ชั่วครู่
“แคลร์ฝากดูแลเทสด้วย” ฉันส่งเทสให้กับแคลร์ซึ่งเธอมีสภาพที่ดีที่สุดในบรรดานักเรียนทั้งหมดในตอนนี้
“นายไม่ได้วางแผนที่จะอยู่ต่อใช่ไหม? เอาจริงดิ ในฐานะหัวหน้าผู้บังคับบัญชาของนายฉันสั่งห้าม... -”
“ไปซะ…” ด้วยเวลาอันจำกัดที่เรามีฉันจึงปล่อยจิตสังหารที่เฉียบคมเพื่อให้เธอสะดุ้งถอยหลังด้วยความประหลาดใจและทำสิ่งที่ฉันขอ
ฉันช่วยเคอร์ติสที่หมดแรงยื่นขึ้นและผลักเพื่อนร่วมทีมคณะกรรมการวินัยทั้งสองคนไปที่ทางเข้าด้านหน้าของถ้ำก่อนที่จะหันกลับไปยังจุดที่ศาสตราจารย์กลอรี่กำลังต่อสู้อยู่
“ทำไมนายถึงกลับมาล่ะอาเธอร์?!” ฉันแทบจะรู้สึกได้ถึงความไม่พอใจในน้ำเสียงของศาสตราจารย์ขณะที่เธอตะคอกใส่ฉันด้วยการกัดฟัน
“ก็ต้องใช้แรงถึงสองคนถึงจะฆ่าเจ้านี้ได้” ฉันหยิบดอนบัลลาดออกมาจากวงแหวนมิติของฉันและปลดปอกดาบออก
“หวังว่าเจ้านี้จะฆ่าฉันได้ นายจะได้เสียใจที่ไม่ทำตามคำสั่งของฉัน” เธอตอบพร้อมกับปัดป้องการโจมตีจากกรงเล็บอันแหลมคมของราชินี
“เฮ้ผมเองก็เป็นศาสตราจารย์ด้วยจำได้ไหม?” ฉันยิ้มให้เธอที่ดูเหนื่อยล้าก่อนจะเหวี่ยงดาบของฉัน
“คุณนะฉลาดแต่เรื่องที่ทำให้ตัวเองต้องลำบากตลอดเลยนะอาเธอร์” เธอยิ้มกลับขณะที่ส่ายหัว สถานการณ์ดูเหมือนจะไม่ค่อยดีนักเนื่องจากการถ่ายโอนมานาทำให้ฉันใช้มานาส่วนใหญ่ไปแล้ว ถ้าหากฉันไม่ได้เรียนรู้การหมุนเวียนของมานาฉันก็คงได้สลบไปแล้ว
ในขณะที่ต่อสู้กับราชินีและทำให้เธอยุ่งมากพอเพื่อให้คนอื่นๆในชั้นเรียนได้ออกไปอย่างปลอดภัยฉันสังเกตเห็นว่าคนสุดท้ายคือลูคัส สายตาของเราล็อคอยู่ชั่วครู่ก่อนที่เขาจะหันหลังกลับและหายไปที่ทางออก
ฉันสาบานได้เลยว่าฉันเห็นเขาทำท่าไม่พอใจก่อนที่เขาจะหันไป
ในขณะที่การต่อสู้ดำเนินต่อไปฉันสามารถตัดปีกข้างหนึ่งของราชินีออกได้ดังนั้นมันจึงไม่สามารถบินได้อีกต่อไป แต่ขนที่หนาของมันทำให้เราไม่สามารถทำอะไรได้มากไปกว่าสร้างบาดแผลตื้นๆ ราชินีกลายพันธุ์ตัวนี้ยืนสูงเกือบสิบฟุตและเต็มไปด้วยบาดแผลจากทั้งศาสตราจารย์กลอรี่และฉัน แต่เรื่องนี้ไม่ได้รบกวนจิตใจของมันเลย
“ผมไม่คิดว่าเราจะฆ่าเจ้านี้ได้!” ฉันตะโกนเรียกศาสตราจารย์กลอรี่ซึ่งอยู่อีกด้านหนึ่งของราชินีสแนร์เลอร์
“อย่างน้อยเราก็ต้องตรึงมันไว้เพื่อที่เราจะได้หนีออกไป ฉันไม่คิดว่าราชินีจะตามเราออกไปนอกดันเจี้ยน!” เธอตอบในขณะที่ราชินีร้องโหยหวนด้วยความโกรธ
“ผมต้องการให้คุณล่อมันเป็นเวลาห้าวินาทีครับศาสตราจารย์” ฉันเปลี่ยนตำแหน่งตัวเองเพื่อให้ศาสตราจารย์กลอรี่อยู่ในสายตา
"ตกลง" เธอไม่ได้ตั้งคำถามว่าฉันกำลังจะทำอะไรในขณะที่เธอปลดปล่อยมานาอีกก้อนหนึ่งออกมาจากแกนกลางของเธอ
ในขณะที่ศาสตราจารย์กลอรี่กระโจนเข้าหาราชินีที่กลายพันธุ์ฉันก็ใส่ฝักกลับเข้าไปในวงแหวนมิติของฉันและจับดาบด้วยมือทั้งสองข้าง เมื่อผนึกของฉันหายไปฉันใช้มานาสุดท้ายของฉันและเสริมสายฟ้าเข้าไปในดอนบัลลาด
โดยไม่มีมานาในการเสริมให้กับร่างกายที่กำลังเคลื่อนไหวของฉัน การพุ่งเข้าหาราชินีสแนร์เลอร์นั้นช้ามากจนรู้สึกเหมือนตัวเองกำลังคลานอยู่
"หลบไป!" เมื่อส่งสัญญาณ ศาสตราจารย์กลอรี่ก็กระโจนออกไปในขณะที่ฉันแทงดาบของฉันเข้าไปในบาดแผลที่มีอยู่แล้วซึ่งฉันได้สร้างรอยแผลนี้ก่อนหน้านี้ระหว่างที่หัวไหล่ของมัน
เสียงครืดคราดของกระแสไฟฟ้าที่สอดเข้าไปในร่างของมันทำให้ราชินีร้องเสียงแหลมสูงขณะที่เธอเริ่มมีอาการกระตุก
"ไปกันเถอะ!" โดยที่ยังไม่ได้ดึงดาบของฉันกลับออกมาจากราชินีสแนร์เลอร์ ศาสตราจารย์กลอรี่ก็คว้าตัวฉันไว้ที่เอวของฉันและพาฉันไปที่ทางออกด้านหน้า
ขณะที่เหล่ามินเนี่ยนสแนร์เลอร์เข้ามาขวางทางของเราศาสตราจารย์กลอรี่ได้สับผ่านพวกมันจนมาถึงทางออกด้านหน้า
ทันใดนั้นเงาดำทะมึนก็เคลื่อนผ่านเราไป “ดะ..ได้ยังไง?” ศาสตราจารย์กลอรี่ทำได้เพียงอ้าปากค้างขณะที่เราทั้งคู่เงยหน้าขึ้นมอง ราชินีพร้อมกับดาบของฉันที่ยังคงฝังอยู่ในกระดูกสันหลังของมันกลับมีพลังมากพอที่จะกระโดดอย่างสิ้นหวังเพื่อป้องกันไม่ให้เราหนีออกไปได้
“ไปเร็วเข้า!” ตอนนี้ฉันห้อยอยู่บนไหล่ของศาสตราจารย์ขณะที่ฉันพยายามทำให้เธอหายตกใจ เมื่อราชินีกลายพันธุ์เข้ามาใกล้พวกเรา พวกเราก็เกือบจะไม่สามารถหลบกรงเล็บอันแหลมคมของมันได้ก่อนที่จะร่วงลงสู่พื้นอย่างหนัก
ไม่แม้แต่ที่จะมองย้อนกลับไปเราได้ผ่านฝูงมินเนี่ยนสแนร์เลอร์และเข้าไปในห้องโถงเมื่อฉันเห็นราชินีกลายพันธุ์กำลังคลานเข้ามาหาเรา ฉันเดาว่าการโจมตีครั้งสุดท้ายของฉันได้สร้างความเสียหายบางอย่างเพราะมันไม่ได้เคลื่อนที่ได้อย่างอิสระ แต่มันจะเดินกะเผลกเข้าหาเราอย่างเชื่องช้าโดยใช้กรงเล็บลากร่างของมัน
เมื่อถึงปลายสุดของห้องโถงที่บันได ฉันสังเกตเห็นบางอย่างแปลกๆเกี่ยวกับราชินีสแนร์เลอร์ที่อยู่ห่างจากเราเพียงสองสามเมตร
ทุกๆอย่างเกี่ยวกับราชินีกลายพันธุ์ตัวนั้นแปลกมาก เมื่อมันเข้ามาใกล้บันไดขั้นบนสุดที่เราอยู่มากขึ้นเรื่อยๆ ใบหน้าและลำตัวของมันก็เริ่มเต้นรั่ว เนื้องอกเริ่มเติบโตขึ้นเป็นระยะๆในส่วนต่างๆของร่างกายและที่ใบหน้าแบบสุ่ม
อย่าบอกนะว่า…
ก่อนที่ฉันจะสามารถจบความคิดของฉันได้ราชินีก็แตกออกจากกันด้วยการระเบิดของเลือดเนื้อและชิ้นส่วนต่างๆของโครงกระดูกภายนอก
ก่อนที่ศาสตราจารย์กลอรี่จะหันกลับมา แรงระเบิดได้ผลักเธอออกและเธอก็สูญเสียการยึดตัวฉันไว้
ราวกับว่ามันยังไม่เลวร้ายพอ การระเบิดที่เกิดจากราชินีได้เปิดรูขนาดใหญ่ที่อยู่ข้างใต้พื้น
“อาเธอร์!” ฉันได้ยินเสียงร้องอย่างหมดหวังของศาสตราจารย์ขณะที่เธอยื่นมือมาหาฉัน แต่มันก็สายไปแล้วฉันรู้สึกได้ว่าตัวเองเริ่มหมดแรงลงเรื่อยๆจากแรงระเบิดแห่งความพยายามครั้งสุดท้ายของราชินีนั้น
“ฝากดูแลเทสด้วย!” ฉันตะโกนออกไปอย่างอ่อนแรงก่อนที่จะใช้มานาเพียงเล็กน้อยที่ฉันรวบรวมมาในช่วงเวลาสั้นๆเสริมสร้างร่างกายของฉัน