Chapter 34: เมอรี่คริสมาสต์ -1
**
ฉันขมวดคิ้วหนักมากหลังจากที่เหลือบตามองระหว่างปืนคาบศิลาและเคานต์แวมไพร์ที่ถูกผลักกระเด็นออกไป
ฉันเล็งไปที่หัวของเจ้าสารเลวนั่น โชคร้ายที่สิ่งกีดขวางและระยะทางมันทำให้กระสุนมันหันเหออกไป
แต่ยังโชคดีที่การอวยพรอย่างขำขันของฉันที่พูดไปก่อนหน้านี้กลับกลายเป็นเรื่องจริง
“สุดท้ายฉันก็ฆ่ามันไม่ได้สินะ หือ?”
เคานต์แวมไพร์อยู่ออกจากระยะห่างของปืนไปแล้ว
อย่างไรก็ตามเมื่อเห็นสภาพของมันแล้ว มันน่าจะยากแล้วที่จะควบคุมกองทัพอันเดท อีกอย่างหนึ่ง ฉันไม่ได้เหลือพลังไว้รวบรวมพลังศักดิ์สิทธิ์อีกแล้ว แม้แต่ขาของฉันยังสั่นอย่างรุนแรงและฉันก็รู้สึกมึนงงด้วยเช่นกัน
“ฉันคิดว่าฉันยื้อเวลาให้ได้อีกสักพักแล้วนะ”
อย่างน้อยพวกเราก็มีเวลาที่จะจัดกลุ่มคนใหม่และคิดเกี่ยวกับวิธีการรับมือ
ฉันยังจำเป็นต้องใช้เวลาในการรวบรวมพลังศักดิ์สิทธิ์และสร้างน้ำศักดิ์สิทธิ์ไว้เป็นเอเนอจี้ดริ้งค์อีก
“ยังไงก็ตาม...”
เมื่อฉันหันกลับไป ฉันพบว่าทุกคนต่างจดจ้องมาที่ฉัน
“...ทำไมทุกคนถึงเงียบกัน?”
ฉันขมวดคิ้ว ในขณะที่รู้สึกได้ถึงสายตาของพวกเขาที่จดจ้องมาที่ฉัน
ทหารและนักโทษ เจ้าเมืองเจนาลที่มาเจอภาพที่เกิดขึ้น รวมทั้งชาร์ลอตต์และฮาร์แมนที่อยู่ห่างไกลออกไป ทุกคนต่างมองมาที่ฉันอย่างเงียบงัน
**
(มุมมองที่ 3)
พระอาทิตย์ได้ตกดินแล้ว มันกลายเป็นช่วงเวลากลางคืน
ฮาร์แมนยืนอยู่บนกำแพงเมืองคนเดียว เขาจ้องไปที่ค่ายของศัตรูอย่างจดจ่อ ซึ่งมันเป็นสถานที่ที่เคานต์แวมไพร์และฝูงซอมบี้อยู่ เขาควรที่จะคิดเกี่ยวกับ เรื่องที่พวกมันจะบุกโจมตีปราสาทของพวกเขาอีกครั้งอย่างไรและมีสิ่งใดบ้างที่เขาไว้ใช้รับมือพวกมัน อย่างไรก็ตามในความคิดของเขากับจมอยู่ในสิ่งอื่นแทน
มันเป็นเวลาหนึ่งวันแล้วที่ได้ผ่านไปหลังจากการต่อสู้และทหารที่ได้รับบาดเจ็บต่างได้รับการรักษาโดยนักบวชและน้ำศักดิ์สิทธิ์ ฮาร์แมนมึนงงกับเรื่องที่เกิดขึ้น นอกจากคนที่ได้รับบาดเจ็บหนักแล้ว ทุกคนต่างฟื้นตัวกลับมาอย่างสมบูรณ์กันทั้งหมด
‘นี่มันไม่ใช่น้ำศักดิ์สิทธิ์ธรรมดาทั่วไปแล้ว’
เขามองไปที่ขวดน้ำศักดิ์สิทธิ์ที่อยู่ในมือของเขา ขวดแก้วเล็กนี้ได้มีน้ำศักดิ์สิทธิ์ระดับสูงสุดอยู่ ซึ่งมันสามารถที่จะถูกสร้างขึ้นมาโดยนักบวชชั้นสูงที่รวบรวมพลังศักดิ์สิทธิ์หลายวันหลายคืนอย่างไม่หยุดหย่อนเท่านั้น
เพียงแค่ขวดเพียงขวดเดียวมันก็มากเพียงพอที่จะรักษาคนหลายสิบคนแล้ว และเขาได้ยินมาว่าเจ้าชายเป็นคนที่มอบพวกมันให้กับพวกนักบวช
‘ไม่ใช่แค่นั้น มันยังเข้มข้นมากด้วยเช่นกัน’
น้ำศักดิ์สิทธิ์ได้ถูกผสมเข้ากับน้ำธรรมดาทั่วไปก่อนที่จะถูกแจกจ่าย ซึ่งมันได้รักษาคนนับร้อยชีวิตจากมัน ซึ่งความดีความชอบทั้งหมดต้องขอบคุณเจ้าชาย
“เจ้าชายกำลังซ่อนอะไรอยู่กันแน่?”
ฮาร์แมนมีคำถามมากมายกับเจ้าชาย
แม้ว่าเรื่องวาจาจิตวิญญาณอาจจะอ้างว่ามันเป็นเรื่องบังเอิญก็ตาม เขาจะต้องรู้ให้ได้ว่าเจ้าน้ำศักดิ์สิทธิ์ชั้นสูงสุดนี้เขาได้รับมาจากไหนกัน
หรือว่า...เจ้าชายสร้างมันขึ้นมาด้วยตัวเองกันแน่?
‘มันไม่ใช่เรื่องที่น่าเป็นไปได้เลยที่เจ้าชายจะมีความสามารถเช่นนี้ แต่ว่า...’
เจ้าชายพึ่งจะลอบยิงเคานต์แวมไพร์ไปไม่ใช่เหรอ? นอกจากนั้นแล้ว เขายังได้รับการคุ้มครองจากเทพีไกอาอีก
มันเหมือนกับว่านักบวชคนอื่นยังไม่รู้ความจริงนี้กัน เอาเถอะ เขาคงพยายามที่จะซ่อนตัวตนของเขาไว้ภายใต้หน้ากากนั่น ซึ่งมันเป็นเรื่องที่ช่วยไม่ได้
พูดตามจริงแล้ว แม้แต่ฮาร์แมนยังไม่มั่นใจว่าเขาเป็นใครกัน เขาคิดว่าคนที่ยิงแวมไพร์นั่นอาจจะไม่ใช่เจ้าชาย แต่อาจจะเป็นคนอื่น ซึ่งอาจจะเป็นนักบวชระดับสูงคนอื่น
‘ไม่สิ….มันไม่น่าใช่’
ก่อนหน้านี้เด็กหญิงที่ชื่อชาร์ลอตต์ได้เรียกคนที่ยิงปืนออกไปว่า ‘เจ้าชาย’ ซึ่งเด็กที่คอยปรนนิบัติเจ้าชายคงจะเข้าใจไม่ผิดอย่างแน่นอน
‘นอกจากนี้แล้ว ชาร์ลอตต์ก็ดูไม่เหมือนเด็กธรรมดาทั่วไปด้วยเหมือนกัน’
เธอรู้วิชาดาบของราชวงศ์ เมื่อเขาถามเธอว่าเธอไปเรียนมาจากที่ใด..
เธอกลับตอบเขามาว่า “ฉันเรียนมันมาจากในหนังสือค่ะ”
…นี่คือสิ่งที่เธอตอบเขามา มันเห็นได้ชัดเลยว่าเธอไม่ได้บอกความจริงกับเขา
ฮาร์แมนทำได้เพียงหัวเราะอย่างขมขื่น
เธอเรียนมันมาจากในหนังสือ?
โกหก
การเคลื่อนไหวแบบนั้นมันไม่ใช่สิ่งที่สามารถลอกเรียนจากหนังสือได้
วิชาดาบนั้นเต็มไปด้วยเทคนิคชั้นสูงมากมาย ซึ่งคนที่ใช้มันจำเป็นต้องมีสมดุล ความแข็งแกร่งทางร่างกายและปฏิกิริยาที่ดีในการเคลื่อนไหวเช่นนั้น
คนหนึ่งคนที่จะใช้มันได้ มันจำเป็นต้องใช้เวลาหลายปีในการที่จะมาถึงจุดที่เธอยืนอยู่
ฮาร์แมนมั่นใจว่าเด็กสาวได้ฝึกวิชาดาบนี้มาสักพักหนึ่งแล้ว และมันไม่น่าใช่เรื่องบังเอิญที่เด็กสาวเช่นนั้นจะดูแลเจ้าชาย
‘พวกเธอรู้จักกันมานานแล้วหรือเปล่ากันนะ?’
เขาสงสัยว่าผู้ติดตามที่ภักดีของเจ้าชายองค์ที่เจ็ดได้ส่งเธอมาเพื่อคอยดูแลเจ้าชาย
‘ถ้ามันเป็นเรื่องจริงแล้ว… ถ้างั้น พ่อของเด็กหญิงคนนั้น ‘กริล’ ก็ไม่ใช่คนธรรมดาด้วยเช่นกัน’
หรือว่ากริลคืออัศวินที่ได้รับภารกิจสายลับอยู่กัน?
ยังไงก็ตาม เมื่อเขาสืบค้นเบาะแสก่อนหน้านี้ ฮาร์แมนได้พบว่า ‘ชาวนา’ คนนี้ได้อาศัยอยู่ในดินแดนวิญญาณแห่งความตายมาแล้วหลายสิบปี ชาร์ลอตต์ก็สูญเสียพ่อแม่ไปจากโรคระบาด ซึ่งมันทำให้กริลได้รับเธอมาเป็นลูกบุญธรรม
มันเป็นเรื่องยากที่จะเชื่อมต่อเรื่องราวเข้าด้วยกันจากการฟังคำบอกเล่าของชาวบ้านคนอื่น
หัวของฮาร์แมนเต็มไปด้วยเรื่องซับซ้อนเต็มไปหมด ทุกสิ่งทุกอย่างดูลึกลับกันมาก
‘และอีกอย่างหนึ่ง…. วิธีที่เจ้าชายเปลี่ยนไปมันก็แปลกด้วยเช่นกัน’
แน่นอนว่าเจ้าชายได้เปลี่ยนจากหน้ามือเป็นหลังมือ หลังจากที่เขาโดนขับไล่และได้รับประสบการณ์การโดนลอบสังหารมาก่อนหน้านี้
เขาเปลี่ยนไปหลังจากที่เขา ‘สูญเสีย’ ความทรงจำ
‘บางทีมันอาจจะเป็นเรื่องที่เป็นไปได้ที่เขาลืมบาดแผลทางจิตใจของเขาที่เกิดขึ้นเมื่อห้าปีก่อน’
แม่ของเจ้าชายองค์แรกและองค์ที่เจ็ด ยูริเซีย เธอเป็นคนธรรมดาทั่วไปที่มาจากหมู่บ้านที่ห่างไกลออกไปและไม่เพียงแค่นั้น เธอยังเป็นคนที่มีเลือดผสมที่มาจากอาณาจักรอาสแลนจากทิศใต้ด้วยเช่นกัน
ตั้งแต่ที่เธอมีสายเลือดมาจากอาณาจักรแบบนั้น มันจึงเป็นเรื่องที่ไม่น่าประหลาดใจเลยที่สายตาของคนทั้งหมดจากราชวงศ์จะจดจ้องมาที่เธออย่างไม่อบอุ่น
อาสแลนนั้นขัดแย้งกับจักรวรรดิทีโอเครติคมานานแล้ว ทั้งสองประเทศต่างทำสงครามกันมาหลายต่อหลายครั้ง ตลอดระยะเวลาหลายร้อยปีที่ผ่านมา
ผู้หญิงแบบนั้นกับตกหลุมรักกับลูกชายของจักรพรรดิศักดิ์สิทธิ์และเธอก็ได้คลอดองค์ชายองค์แรกออกมา
มันเป็นเรื่องธรรมชาติที่ฝ่ายต่อต้าน ซึ่งมาจากพวกเหล่าขุนนางและพวกนักบวชจะทะเลาะกันอย่างดุเดือด – เหตุผลหลักที่ทะเลาะกันนั้นมาจากการที่องค์รัชทายาทไปเลือกคนธรรมดาทั่วไป แทนที่จะเลือกคนที่มาจากตระกูลชนชั้นสูงตระกูลอื่น มันยังมีความจริงที่ว่าเธอมีสายเลือดของอาณาจักรอาสแลนไหลเวียนอยู่ในร่างกายของเธอ ถึงแม้ว่ามันจะเป็นเพียงแค่ครึ่งเดียวก็ตามที
สิ่งที่สำคัญที่สุดคือจักรพรรดิศักดิ์สิทธิ์กับเห็นด้วยกับข้อโต้แย้งของพวกเขา
สุดท้ายแล้ว องค์รัชทายาทก็ไม่มีทางเลือกอื่น นอกจากการรับข้อตกลงในการรับหญิงสาวจากชนชั้นสูงมาเป็นนางสนม เขาทำมันแบบนั้นไปเพื่อทำให้ฝ่ายที่ต่อต้านบิดาของเขาพึงพอใจ ไม่ว่าจะเป็นขุนนางหรือเหล่านักบวช
สุดท้ายแล้ว ‘ภรรยา’ ทั้งสองคนของเขาได้ให้กำเนิดเจ้าชายและเจ้าหญิงมาอีกหลายต่อหลายคน ภรรยาคนแรกของเขาอย่างท่านหญิงยูริเซียก็ยังให้กำเนิดเจ้าชายองค์ที่เจ็ดออกมาด้วยเช่นกัน
ในปีที่เด็กชายคนนี้มีอายุสิบขวบ
ในค่ำคืนที่หิมะตกหนัก มารดาของเจ้าชายองค์แรกและองค์ที่เจ็ด ยูริเซียได้กลายเป็นเหยื่อของ ‘การลอบโจมตีจากแวมไพร์’ ภายในสวนพระราชวัง
เจ้าชายองค์แรกเอาชีวิตรอดมาได้อย่างเฉียดตาย แต่เขายังคงได้รับคำสาปจากพลังมารที่ฝังอยู่ในหัวใจของเขา ในเวลาเดียวกัน ยูริเซียพยายามที่จะเอาชีวิตตัวเองไปปกป้องเจ้าชายองค์ที่เจ็ด ก่อนที่จะถูกฉีกกระชากเป็นชิ้นๆ ต่อหน้าต่อตาของเด็กหนุ่ม
มารดาอันเป็นที่รักของเขาได้ตายลงในอ้อมแขนของเขาและพี่ชายคนโตของเขาก็ได้ป่วยหนัก องค์ชายองค์ที่เจ็ดได้เกิดบาดแผลทางจิตใจอย่างหนักหน่วงในวันนั้นและได้สูญเสียสติสัมปชัญญะไป
เด็กชายอายุสิบขวบที่เป็นรู้จักกันดีว่าเป็นคนที่มีนิสัยอ่อนโยน เริ่มเติบโตเป็นคนที่ขี้กลัวและกลายเป็นเด็กชายที่น่ารังเกียจ ซึ่งกลายเป็นคนที่ก่อกวนคนรอบข้างเขาแทน
‘มันอาจจะเป็นเพราะเหตุการณ์ที่เกี่ยวข้องกับแม่มดมอร์กาน่านั่น ทำให้เขากลับกลายเป็นคนที่มีนิสัยแบบเดิมกัน?’
ไม่สิ...แม้จะเป็นแบบนั้น มันยังคงมีจุดแปลกประหลาดอีกหลายอย่าง
เด็กหนุ่มที่เสียความทรงจำไปกับการที่มีพลังศักดิ์สิทธิ์ที่ทรงพลังแบบนั้นได้ ทั้งสองเรื่องมันไม่ได้เกี่ยวข้องกันเลย
‘ฉันได้ยินมาว่าขุนนางที่ชื่อไฮส์ได้ทำการคุกคามชาร์ลอตต์และมันทำให้เจ้าชายได้ทำร้ายเขาไปเพราะความโกรธ’เจ้าชายคงไม่ได้ทำตัวแบบนั้น เพียงเพราะเด็กสาวที่คอยรับใช้เขาโดนคุกคามหรอก
อย่างไรก็ตาม คำว่า ‘คนธรรมดาชั้นต่ำ’ และ ‘การนอนตายบนพื้นที่หนาวเหน็บ’ – ทั้งสองประโยคมันต่างสื่อถึงแม่ขององค์ชาย ท่านหญิงยูริเซีย
หรือว่าเจ้าชายโกรธแค้นจากคำพูดเหล่านั้นและทำร้ายไฮส์จนเละเทะ?
เมื่อฮาร์แมนถามเขา เด็กหนุ่มก็เพียงแค่ยิ้มและตอบกลับ ‘มันเป็นเพราะว่า’ แต่มันเป็นเรื่องแปลกที่ว่าเขาไม่ได้สูญเสียความทรงจำไปอย่างงั้นเหรอ? หรือว่าเขาทำมันไปเพราะสัญชาตญาณกัน?
มันอาจจะเป็นเรื่องที่เป็นไปได้ด้วยเช่นกันที่การสูญเสียความทรงจำของเขา มันเป็นการแสร้งทำเพื่อทำให้ความสนใจจากราชวงศ์ออกไปจากเขา
ถ้ามันเป็นเรื่องจริงแล้ว ทำไมเขาถึงได้ทำแบบนั้นกันละ?
ฮาร์แมนลูบคางอย่างช้าๆ
“มันก็เป็นคำตอบที่แสนง่ายดายไม่ใช่เหรอ?”
เขาสามารถพอที่จะเดาคำตอบได้
‘...เพื่อล้างแค้นยังไงละ’
เพื่อสังหารแวมไพร์ที่ทำให้แม่ของเขาเสียชีวิตลงและล้างแค้นคำเหยียดหยามทั้งหมดที่เธอได้รับมาจากเงื้อมมือของพวกขุนนาง เจ้าชายเลยตั้งใจที่จะโดนขับไล่ด้วยตัวของเขาเอง
‘มันเป็นทฤษฏีที่เป็นไปได้’
มันมีสายตามากมายที่คอยจับจ้องอยู่ในราชวัง การถูกขับไล่ออกมาจากที่แบบนั้นมายังโบสถ์ที่อยู่ห่างไกลออกไปคงจะดีกว่า ในการเพิ่มพลังของตัวเองอย่างเงียบๆ
เจ้าชายคอยพูดอยู่ตลอดว่าแม่มดมอร์กาน่าถูกล่าโดยชาวบ้าน แต่ในทางกลับกัน สิ่งที่ชาวบ้านพูดกลับไปเป็นอีกแบบหนึ่งเลย
‘ถ้าฉันคิดแบบนี้แล้ว ทุกสิ่งทุกอย่างก็สมเหตุสมผล นี่คือเหตุผลที่ว่าทำไมเขาถึงทำตัวหยาบคายต่อหน้าฉัน มันเป็นเพราะแบบนี้นี่เอง!’
ฮาร์แมนไม่มั่นใจว่าเจ้าชายทำยังไงถึงได้รับความรักจากเทพีไกอาและมีพลังศักดิ์สิทธิ์ในระดับที่ไม่น่าเชื่อแบบนั้น ยังไงก็ตาม เขาก็มั่นใจว่าเด็กหนุ่มปรารถนาที่จะได้รับ ‘พลัง’ ที่มากขึ้น เพื่อทำความฝันในการล้างแค้นของเขาให้สำเร็จ
มันคงมีตระกูลชนชั้นสูงที่ไม่เป็นที่รู้จักอยู่คงกำลังสนับสนุนเจ้าชายมาจากในเงามือ ชาร์ลอตต์เป็นข้อยืนยันเรื่องนี้ได้ดี
ความลับทุกอย่างมันดูจะคลี่คลายลงแล้ว
‘ท่านหญิงยูริเซีย’
เมื่อห้าปีก่อน ฮาร์แมนก็ได้อยู่ในสวนแห่งนั้นด้วยเช่นกัน เขาได้รับหน้าที่ในการเฝ้าป้องกันพวกเขาควบคู่ไปกับภาคีอัศวินไม้กางเขนศักดิ์สิทธิ์คนอื่น แต่ในเวลานั้นเขาได้ล้มเหลวในการป้องท่านหญิงยูริเซียและองค์ชาย เมื่อพวกเขาออกไปเดินเล่น
แม้ว่าเจ้าชายจะสั่งให้เขาไปขอความช่วยเหลือ มันก็ยังเป็นเรื่องที่ปฏิเสธไม่ได้ว่าเขาได้ละทิ้งหน้าที่ในการเป็นผู้คุ้มกันอยู่ดี
ฮาร์แมนกัดฟันแน่น
เขานึกถึงสภาพที่น่าอนาถของตัวเขาเองเมื่อยามนั้นและจมอยู่ในความอับอายของตัวเอง
‘ฉันเกือบจะลืมมันไปแล้วนะ แต่ว่า…’
เจ้าชายกำลังพยายามที่จะแข็งแกร่งมากยิ่งขึ้น เพียงเพื่อที่จะล้างแค้นตั้งแต่ยังมีวัยแค่เพียงสิบขวบ?
สำหรับเด็กอายุแบบนั้นแล้ว เขายังต้องอดทนต่อการโดนเหยียดหยามและถูกขับไล่ออกมาอีก…!
ฮาร์แมนนวดหน้าของตัวเอง
ท่านหญิงยูริเซียเป็นหญิงสาวที่งดงามทั้งด้านนอกและด้านใน
เธอปฏิบัติกับทุกคนอย่างเท่าเทียมกันและหัวใจของเธอนั้นคอยห่วงใยอยู่ตลอด เธออาจะดูธรรมดาทั่วไป แต่ในเวลาเดียวกันก็ยังดูพิเศษกว่าคนทั่วไป
‘นี่อาจจะเป็นผลที่ว่าทำไม’
….นี่อาจจะเป็นเหตุผลที่ว่าทำไมองค์ชายองค์แรกถึงได้ปฏิบัติกับองค์ที่เจ็ด อัลเลน ออโฟเซ่ได้เย็นชาจนถึงตอนนี้
ไม่สำคัญว่าเขาจะกักเก็บอารมณ์ของตัวเองได้ดีแค่ไหน ฮาร์แมนก็ไม่สามารถที่จะทนต่อพฤติกรรมที่เหยียดหยามต่อความทรงจำท่านหญิงยูริเซียได้ แต่ความจริงมันแตกต่างออกไป
ถ้าเจ้าชายองค์ที่เจ็ดต้องการที่จะล้างแค้นให้ท่านหญิงยูริเซียจริงๆแล้วละก็ ถ้าอย่างงั้นแล้ว...
‘ถ้างั้น ฉันก็จะคอยรับใช้เขาในการทำภารกิจนี้ด้วยเช่นกัน!’
ฮาร์แมนกำหมัดแน่น เขาหายใจเข้าลึกๆและทำให้ตัวเองใจเย็นลง
ล้างแค้น
เพื่อที่จะทำให้เป้าหมายนี้ให้สำเร็จแล้วละก็ สิ่งแรกที่เขาต้องทำคือการแก้ไขปัญหาตรงหน้าก่อน
“แน่นอนว่าฉันจะต้องโฟกัสกับสถานการณ์ปัจจุบันก่อนเป็นอย่างแรก”
เขาถอนหายใจยาวเหยียดออกมาก่อนที่จะเหลือบตากลับไปมองการเฝ้ารักษาการณ์ของปราสาท
ในระยะที่ห่างไกลออกไป ฝูงอันเดทได้ตั้งค่ายขึ้น ภูตผีนับร้อยนับพันตัวต่างจ้องมาที่โรเนีย
เป็นเพราะพวกมัน มันทำให้ความรู้สึกพร้อมต่อสู้มันยังไม่ได้จางหายและมันทำให้ความเหนื่อยล้าของทหารมันเพิ่มสูงขึ้นและในเวลาเดียวกันกำลังใจของพวกเขาก็ลดต่ำลง
และในคืนต่อไป มันเป็นคืนของวันที่ 25 ธันวาคม มันเป็นช่วงเวลาที่เคานต์แวมไพร์จะเริ่มเคลื่อนไหวอีกครั้งหนึ่ง
ฮาร์แมนหยุดจ้องไปที่ค่ายของศัตรูและกลับไปยังด้านในของปราสาท
เขาเห็นทหารที่คอยรักษาการณ์อยู่ต่างถือคบเพลิงที่สว่างสไว มันมีหลุมมากมายที่อยู่ภายในเมือง ตั้งแต่ที่อันเดทมันได้บุกรุกมาที่ด้านในนี้ มันจึงเป็นเรื่องที่เป็นไปได้ที่มันจะใช้วิธีนี้อีก เพื่อการป้องกันแบบนั้นแล้ว จำนวนของคนเฝ้ายามจึงเพิ่มขึ้นและทั่วทุกบ้านต่างเสาะหาหลุมเหล่านี้
กลุ่มค้นหาถูกจัดตั้งขึ้นมาโดยมีทหารอย่างน้อยสิบคนต่อกลุ่มและได้ถูกจัดตั้งออกมาถึงสามสิบกลุ่ม จำนวนคนที่ทำภารกิจนี้คือ 300 คน ในอีกความหมายหนึ่ง เมื่อฮาร์แมนคอยสังเกตจากด้านบนกำแพง มันเหมือนกับว่ามีคนไม่กี่คนเท่านั้นที่กำลังคอยเดินเฝ้ายามอยู่
ปราสาทน่าจะขาดแคลนกำลังคนนี้นา ทำไมกัน...?
เขาสามารถที่จะมองเห็นทหารส่วนใหญ่ที่เดินไปมาพร้อมกับคบเพลิง แต่มันมีพวกเขาส่วนหนึ่งที่ไม่ได้ถือคบเพลิงอยู่
ทำไมพวกเขาถึงเดินตรวจตราในความมืดโดยไม่มีคบเพลิงกัน? โดยเฉพาะอย่างยิ่งเมื่อแสงจากพระจันทร์ถูกลืนกินโดยเมฆหมอกดำนั้น?
มันเป็นเรื่องที่น่าสงสัยมาก
ฮาร์แมนปีนลงมาจากบนกำแพง เขาหยิบคบเพลิงและเดินไปบอกอัศวินที่อยู่ใกล้เคียงว่าเขาจะเดินออกตรวจตรา ก่อนที่จะเดินลงไปหาทหารเหล่านั้น
ทหารีท่ไม่ได้ถือคบเพลิงต่างเลือกที่จะอยู่ในบริเวณที่มืดมิดที่ไม่มีคนอยู่ ฮาร์แมนขมวดคิ้ว ในขณะที่มองทหารเหล่านี้เดินเข้าไปภายในซอยมืด ก่อนที่จะเดินตามพวกเขาไป
“เห้ย พวกเจ้า! ทหาร!”
การตะโกนเรียกของเขาถูกเมินเฉย
เขาขมวดคิ้ว เขารีบก้าวตามพวกเขาไป เขาจับไปที่ไหล่ของชายคนหนึ่งและลากเขากลับมาทางตัวเอง
“เห้ย ทหาร! เจ้าทำบ้าอะไร…”
แค่ตอนนั้นเองที่สีหน้าของฮาร์แมนแข็งทื่อ
ทหารคนนี้สวมหมวกและหน้ากากที่ปิดบังใบหน้า เมื่อออกล่าพวกเหล่าอันเดทที่แพร่กระจายพิษและเชื้อโรค มันจึงเป็นเรื่องปกติที่จะสวมหน้ากาก แต่ว่าเจ้าคนนี้มันไม่ได้ปิดบังแค่จมูก แต่มันปิดทั้งใบหน้าของมันแทน
มันอาจจะเป็นเพราะว่า...
“อันเดท?”
มันเป็นทหารอันเดทที่ไม่มีแสงในดวงตาของมันเลย
ฮาร์แมนชักดาบออกมาและก้าวถอยหลังกลับไป แม้ว่าจะเป็นแบบนั้นเขาก็สงสัยในสายตาของตัวเอง
“แต่ว่ามันเป็นไปได้ยังไงกัน...พลังศักดิ์สิทธิ์...?”
ถึงแม้ว่ามันจะเจือจาง เขาก็สัมผัสได้ถึงพลังศักดิ์สิทธิ์ที่ออกมาจากอันเดทตัวนี้
‘นี่มันเกิดบ้าอะไรกันขึ้น? ทำไมเจ้าพวกสัตว์ประหลาดเหล่านี้...!’
ฮาร์แมนตกอยู่ในความคิดที่ว่าเขาอาจจะตกอยู่ในมนต์สะกดของเหล่าปีศาจเข้าให้ สุดท้ายแล้ว พวกแวมไพร์บางตัวก็มีความสามารถในการใช้เวทย์มนต์ภาพลวงตา
‘ยังไงก็ตาม มันเป็นเรื่องที่เป็นไปไม่ได้เลยที่จะหลอกสัมผัสของฉัน…’
ทหารอันเดทที่มีพลังศักดิ์สิทธิ์ได้เมินฮาร์แมนและเริ่มต้นเดินออกไปอีกครั้งหนึ่ง มันทำให้ฮาร์แมนกัดฟันและพุ่งเข้าใส่มัน
มันไม่ใช่เวลาที่จะลังเลอีกต่อไปแล้ว
เขาไม่รู้ว่าทำไมเจ้าพวกนี้ถึงไม่ได้สนใจในตัวเขา แต่การปล่อยพวกมันไว้มันจะกลายเป็นเรื่องที่อันตรายอย่างมาก
ฮาร์แมนเหวี่ยงดาบที่แฝงพลังศักดิ์สิทธิ์ไว้
อันเดททั่วไปก็คงจะกลายเป็นเถ้าถ่าน ทันทีที่มันถูกคมดาบนี้ตัดไป
อย่างไรก็ตาม....
แคร้ง!
...การโจมตีของเขาถูกบล็อคเอาไว้ได้
ตาของฮาร์แมนโตขึ้น
เจ้าซอมบี้นั่นใช้ดาบที่แฝงไว้ด้วยพลังศักดิ์สิทธิ์เหมือนกับเขาปัดป้อง ตาของอันเดทขยับไปมา ตาของมันบ่งบองให้ถึงวิญญาณที่กำลังลุกไหม้อยู่ภายในความมืด
หลังจากนั้น มันก็ปัดป้องดาบของเขาไป
มันก้าวถอยออกไปก่อนที่จะลดตัวลงต่ำ
ในเวลาเดียวกัน หอกดาบก็พุ่งออกมาจากในความมืดด้านหลัง
ทหารอันเดทตัวอื่นต่างปีนขึ้นไปบนกำแพงของซอยนี้ ก่อนที่จะลุมร้อมฮาร์แมนจากทั้งสองฝั่ง ในขณะที่ต่างสะบัดดาบไปมา
“..อะไรวะเนี่ย?”
การโจมตีที่ดุเดือดและไม่มีความลังเลต่างถาโถมมาจากหลายทิศทาง ไม่ว่าจะทั้งด้านหน้า ด้านซ้ายและด้านขวา
สีหน้าของฮาร์แมนตึงเครียดขึ้นทันที
....เนื่องจากว่าพวกอันเดทเหล่านี้ต่างโจมตีออกมาพร้อมกัน เหมือนกับว่าพวกมันเป็นอัศวินที่ได้รับการฝึกฝนมาแล้วยังไงยังงั้น