บทที่ 48 อัครสาวก (3)
เขาเป็นชายวัยกลางคน
เขาไม่มีลักษณะที่แตกต่างจากชายวัยกลางคนทั่วไป แต่เขาไม่ใส่เสื้อผ้าที่ครึ่งบนเผยให้เห็นรูปร่างที่ผอมบาง
ร่างกายของเขาไม่ได้รับการฝึกฝน
ด้วยความสัตย์จริงบุคคลนี้ดูไม่เหมือนกับรองหัวหน้าของหอคอยเวทมนตร์เลย
อย่างไรก็ตามเฟรย์และอีกสามคนเริ่มตึงเครียดในทันที
'มันเป็นเวลานานมากแล้ว ความรู้สึกที่สกปรกเช่นนี้ '
พลังศักดิ์สิทธิ์
เมื่อเห็นว่าชายที่อยู่ตรงหน้ามีกลิ่นอายของพลังซึ่งคล้ายกับเดมิก็อดเขาก็มั่นใจได้ว่าเหล่าอัครสาวกสามารถใช้พลังของเดมิก็อดได้เล็กน้อย
“อ่า ออเนอลุคส์ ทำไมคุณถึงอยู่ที่นี่?”
เฟรย์ถอนหายใจเฮือกใหญ่
มิเคลนั้นไม่สามารถวิเคาะห์สถานการณ์ได้ดีพอหรือไม่เขาก็ยังไม่สามารถยอมรับความจริงได้
สถานการณ์นั้นชัดเจนพอสำหรับทุกคนที่พบเห็นสิ่งนี้อยู่แล้ว
ออเนอลุคส์เป็นหนึ่งในผู้ให้ข้อมูลของเดมิก็อด
เขาอาจจะเคยเป็นสมาชิกของเซอร์เคิลก็จริงในอดีต แต่ตอนนี้เขาไม่มีอะไรดีไปกว่าคนรับใช้ของเดมิก็อดเลย
มิเคลเป็นคนเดียวที่นี่ที่ไม่สามารถยอมรับได้
ลุคส์พูดด้วยน้ำเสียงที่ไม่แยแส
“มิเคลเพื่อนยาก ฉันไม่ได้บอกให้นายรอหรอ? ฉันนึกว่านายจะทำตามคำสั่งได้อย่างเดียวเสียอีก”
“มะ - มีบางอย่างผิดปกติที่นี่ บะ - บอกผมหน่อยว่าไม่จริง! ผม…”
“ฮู มันแย่จังเลยนะ นายคงจะยังมีชีวิตอยู่ถ้าหากนายไม่ได้อยากรู้อยากเห็นมากจนเกินไป”
ลุคส์ลูบเอวของเขา
“อืม...แต่ฉันไม่คิดว่าฉันจำเป็นต้องตอบพ่อมดที่กำลังจะต้องตายหรอกนะ”
ไม่มีสัญญาณใดๆ
หลังจากพูดเสร็จลุคส์ก็มองไปที่มิเคล
แต่เฟรย์ซึ่งเคยต่อสู้กับพวกเดมิก็อดมาหลายครั้งก่อนหน้านี้สามารถตอบสนองได้ทันเวลา
แซ่บ!
“….!?”
มิเคลล้มลง
สิ่งที่เขารู้สึกได้ก็คือพลังสายฟ้าแผ่วเบาที่มาจากนิ้วของลุคส์
เขามองไปที่ลุคส์ด้วยสีหน้าหวาดกลัว
มิเคลรู้ดีว่าถ้าเขาโดนการโจมตีนั้นเขาจะต้องตายทันที
ลุคส์หันไปหาเฟรย์ด้วยสีหน้าประหลาดใจ
"ฮะ? นายสามารถป้องกันมันได้! นายเป็นตัวอะไรกันนี้?"
“…”
“อันที่จริง…ไม่ได้แค่มีสมาชิกของแบลคทูฟเท่านั้นที่มา นายมาจากเซอร์เคิลไหน?”
เฟรย์ไม่ตอบและมองไปที่มิเคลที่ลุกขึ้นมาจากพื้นแทน
“…ไร้สาระ ผู้บริหารของเซอร์เคิลได้กลายมาเป็นคนรับใช้ของเดมิก็อด แล้วไอเทมเวทย์ที่นายมีก็...”
“ฉันใช้งานมันไม่ได้ แน่นอนว่าฉันไม่สามารถใช้มานาได้อีกต่อไปแต่มันก็ไม่สำคัญอีกแล้ว ตอนนี้ฉันมีรูปแบบของพลังงานที่ทรงพลังกว่ามาก”
มีประกายแห่งความบ้าคลั่งในดวงตาของเขา
เฟรย์มองเขาด้วยสีหน้าไม่พอใจ
ความคลั่งไคล้
อาจจะไม่มีอัครสาวกในอดีตเมื่อ 4,000 ปีก่อน แต่ก็ยังมีคนจำนวนมากพอที่เลือกที่จะยกย่องเหล่าเดมิก็อด
เฟรย์เคยเจอพวกเขา ต่อสู้กับพวกเขา และเคยฆ่าพวกเขา
เฟรย์ตระหนัก
ชายที่อยู่ตรงหน้าพวกเขาไม่ได้ถูกควบคุมสมองหรือกำลังสับสน
เขาเป็นคนที่ได้ให้คำมั่นสัญญาว่าจะจงรักภักดีต่อเดมิก็อดด้วยตัวของเขาเอง
เฟรย์หันไปหามิเคลและพึมพำ
“คุณต้องดึงสติตัวเองกลับมา เป็นที่ชัดเจนว่าเขาไม่ได้ตั้งใจที่จะไว้ชีวิตพวกเรา”
“คุคุ…”
ดวงตาที่สั่นระริกของมิเคลชัดเจนและแน่วแน่
ไม่ว่าจะเป็นอย่างไรเขาก็เป็นหัวหน้าชั้นที่เคยเผชิญกับความยากลำบากเช่นเดียวกับการเป็นสมาชิกของเซอร์เคิล
ยิ่งพ่อมดนั้นแข็งแกร่งมากเท่าไหร่พวกเขาก็ยิ่งควบคุมจิตใจของตัวเองและสงบอารมณ์ได้ดีขึ้นเท่านั้น
มิเคลสามารถฟื้นสติโดยไม่ทำให้ตัวเองต้องอับอายอีกต่อไป
ลุคส์มองด้วยความสนใจ
"ฉันเข้าใจละ นายคือคนที่ทำลายอาร์เรย์และทำลายป่าเพราะนั่นไม่ใช่สิ่งที่มิเคลสามารถทำได้ นายอยู่ระดับ 7 ดาวแล้วสินะ ไม่ว่าฉันจะมองดูนายยังไงนายก็ไม่น่าจะมีอายุเกินสามสิบ หึหึช่างน่าประทับใจ”
“ทำไมนายถึงทรยศต่อเซอร์เคิล?”
“คุคุคุ”
ลุคส์ หัวเราะเบา ๆ
“ฉันตระหนักดีว่าไม่ว่าพวกเราจะต่อสู้หนักแค่ไหนพวกเราก็ไม่สามารถเอาชนะพวกเขาได้…พวกเรามีค่าน้อยกว่าหนอนในสายตาของพวกเขาอีก เป็นแมลงที่ถูกขยีให้ตายได้ทุกเมื่อ”
เปลวไฟดูเหมือนจะกระพือภายในดวงตาของเฟรย์
เคยมีผู้ที่โต้แย้งเช่นเดียวกันกับเฟรย์มาก่อน
ความทรงจำที่ไม่พึงประสงค์ในช่วงเวลานั้นดูเหมือนจะกลับมาหาเขา
“พวกเราไม่ใช่แมลง”
“มนุษย์ไม่ใช่แมลง”
เฟรย์พูดแต่ละคำช้าๆราวกับว่าเขากำลังเคี้ยวมัน ความโกรธในดวงตาของเขานั้นชัดเจน
‘เฟรย์?’
เลียมสันสูดลมหายใจเงียบๆเมื่อเห็นภาพ
ในช่วงเวลาสั้นๆที่เลียมสันรู้จักเขา เลียมสันพึ่งเคยเฟรย์ทำหน้าตาเช่นนี่
เขาดูเหมือนเขาจะสามารถควบคุมอารมณ์ได้ตลอดเวลาและเขาก็ไม่ได้พูดออกมาง่ายๆ รอยยิ้มของเขาจางและเขาก็สงบแม้จะเล่าเรื่องตลก
เลียมสันแทบจะไม่สามารถจินตนาการได้ถึงสายตาของเฟรย์ที่แสดงความรู้สึกรุนแรงเช่นความโกรธหรือความเศร้า
แต่ตอนนี้เฟรย์กำลังแสดงความโกรธอย่างรุนแรงจนเขาได้เห็นมัน
“แกมันขี้แพ้”
“ฉันนี้นะขี้แพ้?”
“ฉันรู้ว่าเดมิก็อดเป็นสิ่งมีชีวิตที่เหนือมนุษย์ ทุกคนในเซอร์เคิลต่างก็รู้ดี แต่ถึงกระนั้นพวกเราก็ไม่ลังเลที่จะเผชิญหน้ากับพวกเขา แกรู้ไหมว่าทำไม?”
เขาพูดวนไปวนมาแต่ที่จริงแล้วเฟรย์กำลังพูดถึงตัวเองและเพื่อนๆ
“แกคิดว่าพวกเขาไม่กลัวเหรอ? แกคิดว่าเป็นเพราะพวกเขาไม่รู้ถึงพลังที่แท้จริงของเดมิก็อดหรือ? ไม่ใช่เลย พวกเขารู้ทุกอย่างแต่ยังมีความกล้าที่จะเผชิญหน้ากับมันและเอาชนะมันโดยไม่หนีไปไหน!”
“ผู้คนในโลกมองดูพวกเขาและคิดว่าพวกเขานั้นโง่เขลา”
เฟรย์หัวเราะเยือกเย็น
“ฉันยอมเป็นคนโง่ดีกว่าคนขี้ขลาด แกไม่สมควรที่จะพูดไม่ดีเกี่ยวกับพวกเขาเพราะแกมันก็แค่ขยะ”
“หุหุหุ เป็นชายหนุ่มที่รู้จักใช้คำพูดจริงๆแล้วฉันควรจะทำยังไงดีละนี้?”
ควาจิก
สายฟ้าขนาดใหญ่ก่อตัวขึ้นในมือของลุคส์จนเป็นประกายไฟเล็กๆ
ดูเหมือนจะมีความตื่นเต้นในการจ้องมองของเขา
"ดูนี่สิ นี่คือพลังยังไงละ พลังแห่งสายฟ้า สายฟ้าบริสุทธิ์ที่ไม่สามารถสร้างขึ้นด้วยเวทมนตร์ได้ ... นายไม่จำเป็นต้องเรียนรู้วิธีใช้สูตรบ้าบอต่างๆหรือกังวลเกี่ยวกับวิธีการกระจายมานาของนายให้มีประสิทธิภาพ เพียงแค่ยอมรับอำนาจของพวกเขาพลังก็กลายเป็นของฉัน ฉันมีพลังมากกว่าพ่อมดระดับ 7 ดาวเสียอีก”
คุรรุ้ง!
เมฆมืดเริ่มก่อตัวขึ้นบนท้องฟ้า
พวกมันไม่ใช่เมฆธรรมดาๆ แต่เป็นพายุเมฆที่เต็มไปด้วยสายฟ้าที่สามารถทำให้มนุษย์กลายเป็นขี้เถ้าได้ในทันที
กวาง!
สายฟ้าฟาดลงบนพื้นแผดเผาเป็นสีดำ
พลังที่แท้จริงของธรรมชาติทำให้ใบหน้าของเลียมสันแข็งกระด้าง เขาตระหนักว่าถ้าหากเขาโดนมันแม้แต่ครั้งเดียวเขาก็จะกลายเป็นศพเหมือนคนในหมู่บ้านทันที
เฟรย์รีบประเมินความสามารถของทีมของเขาอย่างเร่งด่วน
เลียมสันเป็นนักรบแม้ว่าเขาจะมีพรสวรรค์ด้านเวทมนตร์สูง แต่เขาจะสามารถแสดงความแข็งแกร่งของเขาได้ 100% โดยใช้ร่างกายเท่านั้น
ในทางกลับกันมิเคลเป็นพ่อมดที่ผิดปกติ เลียมสันจะใช้เวลาเพียงสามขั้นตอนก่อนที่เขาจะสามารถเชือดคอของมิเคลได้โดยไม่ให้โอกาสเขาได้ร่ายมนตร์
คามิลล์เป็นคนเดียวที่มีความสามารถรอบด้าน เธอเป็นนักรบที่เก่งกว่าเลียมสันและเป็นพ่อมดที่เก่งกว่ามิเคล
บางทีเธออาจจะเป็นกุญแจสำคัญในการต่อสู้ครั้งนี้
เฟรย์คิดกลยุทธ์ที่มีประสิทธิภาพที่สุดให้กับกลุ่มนี้จากนั้นเขาก็เลือกกลยุทธ์ที่เหมาะสมที่สุดสำหรับสถานการณ์ปัจจุบัน
“เลียมสันนายจะเป็นคนนำหน้า นายต้องใส่ใจการเคลื่อนไหวของผู้ชายคนนั้น ให้คิดว่าชีวิตของอีกสองคนอยู่ในกำมือของนาย”
“เข้าใจแล้ว”
"มิเคลปิดกั้นพลังศักดิ์สิทธิ์ของชายคนนั้นโดยการรบกวนจากด้านหลัง แน่นอนว่าคุณไม่ควรเผชิญหน้าตรงๆกับเขา คุณต้องหยุดก่อนที่จะถึงขีดจำกัด "
พลังเวทย์มนตร์และพลังศักดิ์สิทธิ์เป็นพลังที่ต่อต้านกัน
หากพวกเขาเผชิญหน้ากันฝ่ายที่มีพลังมากกว่าก็จะครอบงำอีกฝ่ายหนึ่ง แต่ขึ้นอยู่กับความสามารถของพ่อมดด้วยมันอาจทำสร้างความรำคาญให้กับคู่ต่อสู้ได้
“อ่า - เข้าใจแล้ว”
มิเคลสงสัยว่าเฟรย์ซึ่งได้เห็นอัครสาวกเป็นครั้งแรกกำลังจะตัดสินได้อย่างถูกต้องเช่นนี้ได้อย่างไร แต่ตอนนี้ก็ไม่ใช่เวลาเหมาะที่จะถาม
ในที่สุดเฟรย์ก็หันไปหาคามิลล์
“คามิลล์คุณมีบทบาทสำคัญที่สุด ฉันต้องการให้คุณช่วยเติมเต็มช่องว่างในส่วนของเลียมสันและมิเคล คุณจะต้องมีมุมมองที่กว้างที่สุดในทีมและทำความเข้าใจสถานการณ์อยู่ตลอดเวลา นั้นเป็นสิ่งสำคัญที่สุดของคุณคุณทำได้มั้ย?”
"ฉันทำได้"
"ดี"
เลียมสันมองไปที่เฟรย์และถาม
"แล้วนายล่ะ?"
“ฉันจะแยกกลุ่มกับพวกนาย”
การใช้สองหน่วยรบจะมีประสิทธิภาพมากกว่าการรวมกันเพื่อโจมตี โดยแต่ละทีมจะต้องมีความลงตัวรอบด้าน
มีเพียงสามคนแต่พวกเขาจะโอเคตราบเท่าที่พวกเขาทำงานร่วมกัน
อีกทีมจะมีเฟรย์เพียงคนเดียว
คามิลล์ถามอย่างกังวล
“…คุณจะโอเคไหม?”
“นี่จะเป็นครั้งสุดท้ายที่คุณจะสามารถกังวลเกี่ยวกับคนอื่นได้ ฉันรับรองคุณเลย”
เมื่อเขาพูดจบเฟรย์ก็เริ่มพุ่งตรงไปหาลุคส์
เลียมสันคามิลล์และมิเคลเริ่มพุ่งไปในทิศทางตรงกันข้าม
"ฮะ…"
ลุคส์หัวเราะสั้นๆ
ในขณะนั้นสายฟ้าที่ไม่เลือกปฏิบัติได้เริ่มฟาดลงมาจากท้องฟ้า
คุงคุง!
สายฟ้าแผดเผาพื้นจนเป็นสีดำและได้ส่งเศษชิ้นส่วนบนพื้นบินลอยออกไป
พลังทำลายล้างนี้ทำให้เฟรย์รู้สึกไม่สบายใจแต่อย่างใด
'พลังป้องกันจากต่างหูไต้ฝุ่นจะสามารถต้านการโจมตีได้เพียงสามครั้ง ... ไม่สิฉันควรคิดว่ามันใช้จะใช้ได้เพียงสองครั้งเท่านั้น'
เฟรย์ตัดสินใจว่ามันไม่ใช่เวลาที่จะซ่อนไพ่ใดๆ
อูววว
ไม้เท้าแห่งมหานักปราชญ์ซึ่งอยู่ในสร้อยข้อมือได้เปิดเผยรูปร่างที่แท้จริง
ด้วยเหตุนี้พลังเวทย์มนตร์ของเขาจึงเพิ่มขึ้นหลายเท่า
เขาไม่รู้พลังป้องกันของอัครสาวกแต่เขามั่นใจว่าอย่างน้อยเขาก็สามารถสร้างความเสียหายได้
ขั้นแรกเขาจะตรวจสอบปฏิกิริยาของศัตรู
“เบิร์นนิ่งกาว”
เวทย์มนต์ระดับ 7 ดาว!
10% ของมานาทั้งหมดของเขาหายไปในพริบตา
พลังมานาของเฟรย์นั้นสูงมากอย่างไม่น่าเชื่อแต่คาถาระดับ 7 ดาวเบิร์นนิ่งกาวนั้นต้องการมานามากกว่าคาถาอื่นๆในระดับเดียวกัน
เปลวไฟขนาดใหญ่ปกคลุมไปทั่วบริเวณขณะที่มีไฟหลายสิบจุดพวยพุ่งขึ้นในเวลาเดียวกัน ความร้อนของเปลวไฟเหล่านี้มาบรรจบกันที่ลุคส์
เนื่องจากการเสริมกำลังโดยไม้เท้า พลังเวทย์มนตร์ของคาถาจึงเทียบได้กับเปลวไฟของทอร์กุนทา
อย่างไรก็ตามลุคส์กลับไม่รู้สึกกังวลแต่อย่างใด เขากลับเยาะเย้ยอย่างนุ่มนวล
“ฮึ!”
ชิ้ง
“…!”
การโจมตีไปไม่ถึงตัวเขา เฟรย์ตระหนักได้แม้ว่าการมองเห็นของเขาจะพร่ามัวจากเปลวไฟ
เขาไม่รู้สึกว่าเวทย์ของเขาได้ผลนัก
จิก
เปลวไฟค่อยๆหายไปและร่างของลุคส์ก็เผยให้เห็นอีกครั้ง ร่างของเขาถูกห่อหุ้มด้วยสายฟ้าทรงกลม
‘ช่างเป็นพลังป้องกันที่ทรงพลังอะไรเช่นนี้’
เขาไม่มีแม้แต่รอยขีดข่วน
“ฮ่าฮ่าฮ่า! นายมีทักษะที่ใช้ได้พอสมควรสำหรับพ่อมดระดับ 7 ดาว แต่นายจะไม่สามารถทำลายเกราะสายฟ้าของฉันได้ด้วยทักษะระดับนั้นหรอกนะ”
เฟรย์ไม่สนใจคำพูดของเขาและเหวี่ยงไม้เท้าแห่งมหานักปราชญ์
คุกูกู
มีช่องเก็บเวทย์มนต์ถึง 5 ช่อง ในนั้นเขาเก็บคาถาการโจมตีไว้สามเวทย์หนึ่งเวทย์บลิ้งและหนึ่งเวทย์วาร์ป
เฟรย์ใช้สองเวทย์พร้อมๆกันในทันที
ลูกบอลเพลิงระดับ 5 ดาวหลายสิบลูกปรากฏตัวขึ้นตามด้วยคาถา 6 ดาวฟรอสสครีม
"ไม่มีประโยชน์!"
ตูม!
เสียงดังก็จริงแต่ก็ยังไม่ได้สร้างความเสียหายมากนัก
อย่างไรก็ตามเฟรย์เข้าใจเกี่ยวกับเกราะสายฟ้าแล้ว
‘ไม่ใช่ว่ามันไม่ได้สร้างความเสียหาย แต่มันฟื้นตัวได้เร็วกว่าความเสียหายที่เกิดขึ้นต่างหาก’
และสิ่งที่ให้พลังงานที่จำเป็นในการฟื้นตัวก็ไม่มีใครอื่นนอกจากเมฆฝนฟ้าคะนองบนท้องฟ้า
สถานที่ว่างของป่ามรณะที่เคยยืนอยู่ได้กลายเป็นสนามรบที่ทำลายล้างซึ่งจะไม่มีวันฟื้นคืนมาได้
สายฟ้าที่ลุคส์ใช้และสายฟ้าที่ตกลงมาจากท้องฟ้าอย่างต่อเนื่องพร้อมแสงวาบรวมกับเสียงที่ดังนั้นสามารถทำให้จิตใจว้าวุ่นได้
แม้แต่พ่อมดที่ต้องเผชิญกับความยากลำบากมากมายอาจจะไม่สามารถร่ายมนตร์ได้เพราะถูกรบกวน
ในขณะที่เขาพยายามคิดแผนเฟรย์หลบการโจมตีตามอำเภอใจของลูคส์ด้วยการผสมผสานระหว่างเวทย์มนต์เฮสและบลิ้ง
ถึงกระนั้นเขาก็ไม่ลืมที่จะโต้กลับเป็นครั้งคราว
เฟรย์เชี่ยวชาญในการใช้คาถาธาตุไฟและน้ำเป็นส่วนใหญ่
แม้ว่าเขาจะไม่ได้ร่ายมนตร์ที่ใช้เวลานาน แต่เขาก็ยังสามารถนำเสนอเวทย์ที่น่ากลัวได้
อย่างไรก็ตามคุณลักษณะทั้งสองนี้ยังไม่เพียงพอ
แม้ว่าพวกเขาจะสามารถเข้าถึงเกราะสายฟ้าได้แต่พลังของพวกเขาก็จะลดลงไปครึ่งหนึ่ง
เวทย์ธาตุลม
เวทมนตร์แห่งลมซึ่งแสดงให้เห็นถึงความแข็งแกร่งในการทำลายภูมิประเทศและสิ่งกีดขวางเป็นตัวเลือกที่ดีที่สุดของเขาในการกำจัดพายุฝนฟ้าคะนอง
และแน่นอนว่าช่วงเวลาในการร่ายนั่นค่อนข้างนาน
อย่างไรก็ตามมันเป็นเรื่องยากสำหรับเฟรย์ที่จะทำด้วยตัวเอง ไม่เพียงเพราะมันจะขาดพลังเมื่อเทียบกับคุณสมบัติไฟและน้ำของเขาแต่เพราะเขามีเวลาไม่พอที่จะร่ายให้จบได้
"เป็นไปไม่ได้ที่จะลดระยะเวลาในการร่ายให้สั้นลงอย่างเห็นได้ชัดเหมือนกับเวทย์มนตร์ไฟหรือน้ำ"
เพื่อให้สามารถสะสมพลังได้เพียงพอที่จะพัดเมฆฟ้าคะนองออกไปเขาจำเป็นต้องชาร์จพลังเวทย์เป็นเวลาอย่างน้อย 1 นาที
" ลุคส์ไม่มีทางพลาดจังหว่ะนั้นแน่"
และตอนนี้สุคส์ก็ให้ความสนใจไปกับเฟรย์เกือบทั้งหมด
การร่ายเวทย์โดยการอยู่นิ่งๆเป็นเวลาหนึ่งนาทีในสถานการณ์แบบนี้ก็เทียบเท่ากับการฆ่าตัวตายชัดๆ
มันไม่จำเป็นต้องเป็นเวทมนตร์ระดับ 7 ดาว
เขาแสร้งทำเป็นไม่สังเกตเห็นจุดอ่อนของเกราะสายฟ้าและตั้งใจที่จะมอบภารกิจให้กับอีกกลุ่มแทน
เฟรย์โทรจิตติดต่อกับคามิลล์เมื่อเขามีพื้นที่ให้หายใจเล็กน้อย
[คามิลล์เราต้องกำจัดเมฆฝน คุณทำได้มั้ย?]
สิ่งที่สำคัญที่สุดอย่างหนึ่งในการร่ายเวทย์คือผู้ร่ายนั่นต้องสงบและมั่นคง
คาถาระดับ 7 ดาวที่ร่ายอย่างไม่คงที่จะแพ้ให้กับคาถาระดับ 6 ดาวที่คนสามคนร่ายผสานเข้าด้วยกันอย่างแน่นอน
[ฉันทำได้ถ้าหากมิเคลช่วยฉัน แต่…]
[มันจะดึงดูดความสนใจของลุคส์อย่างแน่นอน]
เฟรย์ยิ้มเล็กน้อยโดยไม่รู้ตัว
[ถ้าเป็นเรื่องนั้นปล่อยให้เป็นหน้าที่ของฉันเอง!]