บทที่ 47 อัครสาวก (2)
เลียมสัน ชี้ไปที่หมู่บ้านและพูดว่า
“ฉันลืมบอกไปเลย มีร่างแปลกๆอยู่ตรงกลางหมู่บ้านด้วยละ”
ร่างแปลกๆ?
เลียมสันนำพวกเขาตรงไปยังสถานที่นั้นทันที
ขณะที่เขากล่าวว่ามีศพที่ไหม้เกรียมอยู่ใจกลางหมู่บ้าน
คามิลล์นั่งยองๆและเริ่มตรวจร่างกาย แต่เธอไม่ได้แตะต้องเพื่อมันเป็นกับดัก
สาเหตุการเสียชีวิตเป็นที่ประจักษ์ทันที
“มันไม่ได้ถูกไฟเผาฉันคิดว่าพวกเขาถูกฟ้าผ่า”
“ดูเหมือนว่าอัครสาวกของเดมิก็อดอาจมีพลังแห่งสายฟ้า”
ด้วยคำพูดเหล่านั้นเฟรย์หันไปมองมิเคล
“คุณบอกว่าอัครสาวกสามารถใช้พลังของเดมิก็อดได้ พวกเขาสามารถยืมพลังได้ในระดับใด?”
"อืม....จะว่าไปฉันไม่เคยบอกรายละเอียดเลย”
มิเคลตระหนักถึงภายในว่าเขากำลังปฏิบัติต่อเฟรย์เหมือนในฐานะผู้บังคับบัญชา
เขาพยายามรักษาความสงบโดยพยายามไม่รู้สึกกังวลจากสิ่งที่เกิดขึ้น ดังนั้นจึงเป็นไปไม่ได้ที่มิเคลจะปฏิบัติกับเฟรย์เหมือนมือใหม่
“เป็นเรื่องจริงที่เดมิก็อดมีพลังที่เหนือกว่าธรรมชาติแต่พวกเขาไม่สามารถใช้ประโยชน์จากพวกมันได้อย่างเต็มที่ในทวีปนี้ เรายังไม่ทราบแน่ชัด หากไม่เป็นไปตามเงื่อนไขบางประการหรือไม่ได้อยู่ในบางพื้นที่ อำนาจของพวกเขาก็จะถูกจำกัด”
นั่นคือทั้งหมดที่เขารู้
อย่างไรก็ตามสิ่งที่ควรทราบก็คือพวกเขายังไม่รู้ว่าเงื่อนไขเหล่านั้นคืออะไร
สิ่งนี่เป็นข้อมูลที่น่าสนใจแต่ถึงอย่างนั้นพวกเขาก็ไม่สามารถมั่นใจได้
เฟรย์จดจ่อกับคำพูดของมิเคลโดยไม่แสดงความคิดเห็นใดๆออกมา
“การเป็นอัครสาวกทำให้พวกเขาสามารถข้ามผ่านขีดจำกัดได้และเดมิก็อดทุกคนสามารถสร้างอัครสาวกได้คนหนึ่งเพื่อทำตามความประสงค์ของพวกเขา”
“จำนวนจำกัดที่พวกเขาสร้างได้นั่นคือคนเดียวใช่ไหม?”
“เท่าที่เรารู้ก็ใช่ และอัครสาวกที่ถูกสร้างขึ้นสามารถใช้พลังของเดมิก็อดที่พวกเขารับใช้ได้”
สีหน้าของเฟรย์กลายเป็นจริงจัง
“นั่นไม่ได้หมายความว่าสถานการณ์ของเซอร์เคิลนั้นสิ้นหวังไปแล้วหรือ?”
“ไม่แน่หรอก เดมิก็อดเองก็มีความเสี่ยงของตัวเอง”
การจ้องมองของเฟรย์เฉียบคม
“ความเสี่ยงอะไร?”
“ถ้าเราฆ่าอัครสาวกมันจะมีเรืองส่งผลต่อเหล่าเดมิก็อด”
มิเคลพูดต่อด้วยสีหน้าจริงจังเช่นกัน
“เซอร์เคิลมีข้อมูลบางอย่างเกี่ยวกับเดมิก็อดสองสามคนที่ซ่อนตัวอยู่ในจักรวรรดิคัสต์เคา เป็นข้อมูลที่มีค่าซึ่งใช้เวลาหลายสิบปีที่ปรกติแล้วต้องใช้เวลาสองสามศตวรรษในการรวบรวม”
นี่เป็นข่าวดี
หากเดมิก็อดต้องการหายตัวไปอย่างแท้จริงก็ไม่มีทางเลยที่เซอร์เคิลจะสามารถค้นหาร่องรอยใดๆได้ แต่พวกเขาก็ไม่ได้ทำเช่นนั้น
อย่างไรก็ตามเฟรย์ได้รับรู้ถึงความเย่อหยิ่งของเหล่าเดมิก็อดจากข้อมูลนี้
เกือบจะมั่นใจได้ว่าพวกเขารู้ว่ามนุษย์กำลังเฝ้ามองพวกเขาอยู่ แต่พวกเขาเลือกที่จะไม่ตอบสนองต่อมัน
เห็นได้ชัดว่านี่เป็นสัญญาณ
พวกเขาเชื่อมั่นว่าไม่ว่าจะทำอะไรมนุษย์ก็จะไม่สามารถหยุดยั้งพวกเขาได้
“ครั้งหนึ่งเราเคยเอาชนะอัครสาวกของเดมิก็อดในจักรวรรดิคัสต์เคาแล้วมีบางอย่างแปลกๆเกิดขึ้น”
“มีอะไรแปลกๆงั้นหรือ ?”
“เดมิก็อดคนนั่นหายตัวไป”
“…!”
ดวงตาของมิเคลคมขึ้น
“ในตอนนั้นเองเราก็แน่ใจแล้วว่าการฆ่าอัครสาวกนั้นจะส่งผลต่อเดมิก็อด”
เฟรย์ไม่เคยได้ยินข่าวลือเช่นนี้มาก่อน
เพราะเขาเคยผ่านประสบการณ์มาแล้วเขาจึงรู้ว่ามันเป็นไปไม่ได้ที่จะเผชิญหน้ากับเดมิก็อดแบบซึ่งๆหน้า
เขาคิดว่าคงจะดีถ้าพวกเขาพบวิธีสร้างความเสียหายให้กับเหล่าเดมิก็อดและตอนนี้เขาก็ได้เรียนรู้ถึงการมีอยู่ของอัครสาวก
‘แต่ทำไมพวกเขาถึงสร้างตัวตนแบบนี้ขึ้นมาละ?’
ไม่เคยมีอัครสาวกเมื่อ 4,000 ปีก่อน
พวกเขาเรียนรู้วิธีสร้างอัครสาวกในช่วงหลายปีที่ผ่านมาหรือ?
หรือพวกเขาสามารถทำได้ตั้งแต่เริ่มแรกแต่มีเหตุผลอื่นที่ทำให้พวกเขาต้องตัดสินใจใช้มันในตอนนี้?
‘…’
อย่างไรก็ตามตอนนี้มีเหตุผลมากพอที่พวกเขาไม่สามารถถอยกลับหลังได้ในตอนนี้
หากพวกเขาสามารถสร้างความเสียหายให้กับเดมิก็อดได้จริงๆ มันก็คุ้มค่าที่จะเสี่ยงในการฆ่าอัครสาวก
"นั่นคือทั้งหมดที่ฉันรู้"
"แค่นั้นก็เพียงพอแล้ว"
เมื่อเลียมสันมองไปรอบๆ สายตาของเขาถูกดึงไปที่เนินเขาหลังหมู่บ้านในไม่ช้า
“หากเราพูดคุยกันเสร็จแล้วเราก็ควรเริ่มตามหาอัครสาวกได้เลย อาจารย์ของฉันและฉันจะขึ้นไปบนเนินนั้น เราจะสามารถมองเห็นพื้นที่โดยรอบได้จากที่นั่น”
“ถ้างั้นมิเคลกับฉันจะไปดูรอบๆหมู่บ้านอีกครั้ง”
“ได้เลย”
จากนั้นเลียมสันและคามิลล์ก็จากไป
มิเคลซึ่งตอนนี้อยู่ตามลำพังกับเฟรย์หันมาถามเขา
“…ปีนี้นายอายุเท่าไหร่แล้ว?”
“ผมอายุยี่สิบ”
ร่างกายของมิเคลสั่นไปชั่วขณะ
"ยี่สิบ…! ในวัยนี่นายสามารถไปถึงระดับ 7 ดาวได้จริงๆหรือ…ฉันไม่อยากจะเชื่อเลย”
ความประหลาดใจของเขาเป็นเรื่องธรรมชาติ
ไม่เคยมีพ่อมด 7 ดาวคนไหนในประวัติศาสตร์ที่อายุน้อยเท่าเขา
คำว่า "อัจฉริยะ" จะเพียงพอที่อธิบายความสามารถของเขาได้หรือไม่?
“พ่อมดระดับ 7 ดาวนั่นมีอยู่ทั่วไปในเซอร์เคิลไม่ใช่เหรอ?”
“ไม่จริงเลย หากนายอยู่ในระดับ 7 ดาวนายจะได้รับตำแหน่งฟอร์สออเนอในเซอร์เคิลใดก็ได้”
เชพเพิร์ดและพ่อมดชื่อลุคส์นั้นเป็นฟอร์สออเนอ
เขายังได้เรียนรู้เกี่ยวกับตำแหน่งที่สูงขึ้นเช่นเซอร์เคิลราวเดอร์และเซอร์เคิลมาสเตอร์
เฟรย์ค่อยๆแสร้งทำเป็นไม่รู้แล้วพูด
“ผมสนใจไพลส์ฟาวเดอร์อาร์เมลท์อยู่นิดหน่อย”
“หืม? นายสนใจในเซอร์เคิลของเราหรือ?”
“หากคนๆนั้นไม่สนใจเวทย์มนต์ดำการทำสัญญาและการอัญเชิญปีศาจของไอริสไพลส์ฟาวเดอร์แล้วละก็ คนๆนั้นก็ไม่ควรอ้างตัวเองว่าเป็นพ่อมดนะ”
“โฮโฮ! ถูกตัอง”
มิเคลยิ้มอย่างภาคภูมิใจกับคำพูดเหล่านั้น
จากการสนทนากับเชพเพิร์ดเฟรย์ได้เรียนรู้ว่าสมาชิกในเซอร์เคิลแต่ละคนมีความภาคภูมิใจในองค์กรของตนอย่างมาก
อย่างไรก็ตามมิเคลหัวเราะเบาๆโดยไม่รู้ว่าเฟรย์คิดอะไรอยู่
‘ถ้าเฟรย์เข้าร่วมเซอร์เคิลของเรามันจะเป็นการเพิ่มความแข็งแกร่งขึ้นอย่างมาก’
บางทีพวกเขาอาจจะแซงหน้าลูซิดซอร์ดหรือสโตรว์เน็คลิซก็เป็นได้
หากความสามารถของชายหนุ่มที่กำลังมาแรงคนนี้ถูกเปิดเผยมันจะทำให้เกิดความปั่นป่วนอย่างมากภายในเซอร์เคิล
พวกเขาทั้งหมดจะต้องแย่งชิงตัวเฟรย์
นี่เป็นโอกาสของเขาที่จะพูดสองสามคำก่อนที่สงครามการแย่งตัวครั้งใหญ่จะเริ่มขึ้น มันเป็นข้อได้เปรียบอย่างมาก
มิเคลอ้าปากค้างในขณะเดียวกับที่เขาได้ข้อสรุปนั้น
“ไพลส์ฟาวเดอร์อาร์เมลท์ ลูซิดซอร์ด และ สโตรว์เน็คลิซ เซอร์เคิลทั้งสามนี้ปกติแล้วจะถูกเรียกว่าบิ๊กทรี นี่เป็นเพราะพวกเขามีความแข็งแกร่งจำนวนคนและอิทธิพลมากที่สุดจากเซอร์เคิลทั้งหมด”
"เข้าใจละ"
“ไพลส์ฟาวเดอร์อาร์เมลท์ของเรามีขนาดเล็กกว่าเล็กน้อยเมื่อเทียบกับอีกสองเซอร์เคิล อย่างไรก็ตามเรามีพ่อมดที่เป็นผู้อัญเชิญจำนวนมาก แน่นอนจำนวนพ่อมดบริสุทธิ์อย่างฉันก็มีไม่น้อยเช่นกัน”
ผู้อัญเชิญคือผู้ที่ทำสัญญากับปีศาจจากโลกปีศาจที่สามารถเรียกปีศาจเพื่อช่วยทำกิจเล็กๆได้
มิเคลอธิบายว่าการเป็นผู้อัญเชิญนั้นต้องอาศัยความสามารถมากกว่าการเป็นพ่อมดบริสุทธิ์
นั่นหมายความว่าเพียงแค่ความพยายามจะไม่สามารถช่วยพวกเขาได้มากนัก
“มาสเตอร์อัลทันผู้นำของเราได้เซ็นสัญญากับบาร์บาโตสหนึ่งในแกรนด์ดยุกแห่งโลกปีศาจ”
“ปีศาจแห่งความโลภบาร์บาโตส?”
เฟรย์อดไม่ได้ที่จะประหลาดใจกับข้อมูลเล็กน้อยนั้น
แกรนด์ดยุกแห่งโลกปีศาจมีไหวพริบและอันตรายอย่างไม่น่าเชื่อ
มันเป็นความจริงที่ทราบกันดีว่าการเซ็นสัญญากับปีศาจระดับแกรนด์ดยุกนั้นยากอย่างไม่น่าเชื่อเพราะพวกเขาทั้งหมดมองว่ามนุษย์เป็นเพียงแมลง
ใบหน้าของมิเคลเปล่งประกายด้วยความภาคภูมิใจ
“ฉันเดาว่านายคงรู้เรื่องปีศาจของโลกปีศาจอยู่บ้าง ทุกสิ่งที่ฉันพูดเป็นความจริง”
“นั่นมัน…น่าทึ่งมาก”
ไอริสเป็นคนเดียวที่เฟรย์รู้ว่าสามารถเซ็นสัญญากับแกรนด์ดยุกได้
แม้ว่าเธอจะเซ็นสัญญากับแกรนด์ดยุกทั้งสามคน แต่เขาก็ไม่รู้ว่ามาสเตอร์อัลทันได้เซ็นสัญญากับแกรนด์ดยุกคนอื่นๆ ด้วยหรือไม่
“ดูเหมือนว่าไพลส์ฟาวเดอร์อาร์เมลท์จะมุ่งเน้นไปแค่ที่วิชาของแม่มดเท่านั้น”
"ฉันบอกนายแล้วว่ามีพ่อมดที่บริสุทธิ์เช่นฉันและมันก็เหมือนกันในทุกๆเซอร์เคิล มีนักรบเวทย์มนต์ในสโตรว์เน็คลิซและพ่อมดในลูซิดซอร์ด เพียงแต่ตัวเลขที่จะต่ำกว่าเล็กน้อยและความแข็งแกร่งของพวกเขาอ่อนแอกว่าเล็กน้อย”
เมื่อมิเคลพูดแบบนี้เขาก็หันไปมองเนินเขาที่เลียมสันไป
“จริงๆแล้วนั่นไม่ใช่เรื่องใหญ่อะไรการพูดแบบนี้อาจดูตลกแต่เซอร์เคิลเป็นองค์กรอสิระแม้ว่าจะมีเพียงไม่กี่คนที่ยอมรับมันจริงๆ”
อันที่จริงเขาไม่เคยคาดหวังว่าจะได้ต่อสู้เคียงบ่าเคียงไหล่กับเหล่าดาร์กเอลฟ์เลยสักครั้ง
“ฉันเล่าให้นายโดยเฉพาะเลยนะ ในบรรดาฟอร์สออเนอในเซอร์เคิลของเรามีลูกครึ่งปีศาจด้วยละ”
“…”
หลังจากนั้นมิเคลยังคงเล่าข้อดีของไพลส์ฟาวเดอร์อาร์เมลท์ไปเรือยๆ
เฟรย์พยักหน้าอย่างร่วมมือแสร้งทำเป็นสนใจ แต่ความคิดในหัวของเขาแตกต่างไปจากเดิมอย่างสิ้นเชิง
"เขายังไม่ได้บอกข้อมูลสำคัญใดๆกับฉันเลย"
ไม่มีคำพูดใดๆเกี่ยวกับตัวตนของเซอร์เคิลมาสเตอร์หรือเซอร์เคิลราวเดอร์ที่เฟรย์สนใจมากที่สุด
แม้ว่าเขาจะรู้ว่าชื่อของเซอร์เคิลมาสเตอร์ว่าอัลทันและเขาได้ทำสัญญากับแกรนดยุกของปีศาจแต่ดูเหมือนว่าเขาจะไม่มีข้อมูลที่เป็นประโยชน์อื่นๆอีก
บางทีการที่อัลทันทำสัญญากับแกรนดยุกอาจเป็นสิ่งที่สมาชิกในเซอร์เคิลส่วนใหญ่รู้ดีกันอยู่แล้ว
ด้วยความสำเร็จแบบนั้นพวกเขาจะไม่อายและภาคภูมิใจในการเป็นหนึงในสามผู้นำเลย
‘หรือบางทีมิเคลไม่ได้รู้อะไรมากไปกว่านั้น’
มิเคลแข็งแกร่งพอที่จะกลายเป็นหัวหน้าชั้นในหอคอยเวทย์มนต์ที่ 3 แต่ในเซอร์เคิลนี้เขายังไม่แข็งแกร่งพอที่จะเป็นผู้บริหาร
ดูเหมือนว่าถ้าหากเขาต้องการข้อมูลเพิ่มเติมเขาก็ควรคุยกับผู้บริหารอย่างเชพเพิร์ดแทน
เมื่อการสนทนาของพวกเขาสิ้นสุดลงเลียมสันและคามิลล์ก็กลับมา
คามิลล์พูดด้วยใบหน้าที่สงบที่เป็นเอกลักษณ์ของเธอ
“มีป่าอยู่เหนือเนินเขาที่ดูน่าสงสัย”
“น่าสงสัย?”
“มีกลิ่นเลือดแต่ไม่มีร่องรอยอะไรเลยในป่ามันทำให้ฉันรู้สึกแย่”
“ป่ามรณะ...มันกลายเป็นป่ามรณะ”
เลียมสันมีสีหน้าที่ไม่พอใจ
โดยไม่คำนึงถึงพฤติกรรมของพวกเขา ดาร์กเอลฟ์เป็นเผ่าพันธุ์แห่งป่าเช่นกัน การเห็นต้นไม้ที่เน่าตายทำให้พวกเขาอารมณ์เสีย
อันดับแรกพวกเขาต้องมุ่งหน้าไปยังป่า
เฟรย์รู้สึกถึงอากาศที่ไม่เป็นใจอย่างประหลาดและในที่สุดก็เข้าใจความหมายของเลียมสันกับคำว่าป่ามรณะ
ไม่มีแม้แต่เสียงของแมลงตัวเล็กๆหรือกลิ่นหญ้าสดเลย
ราวกับว่า ‘ชีวิต’ ทั้งหมดได้ตายหายไปจากป่า
คามิลล์เดาะลิ้นของเธอ
“ป่านี่เป็นแค่เปลือก ต้นไม้ทั้งหมดตายไปแล้ว”
“มันถูกดูดซับไปหมดแล้ว”
"ใช่"
คามิลล์พยักหน้ารับคำพูดของเฟรย์ก่อนที่จะคุกเข่าเข่าข้างหนึ่งแล้ววางฝ่ามือลงบนพื้น
“…ทั้งป่านี้น่าจะเป็นกับดัก เป็นไปไม่ได้ที่จะรับรู้ถึงสิ่งที่เกิดขึ้นภายในเนื่องจากมีคนวางอาร์เรย์บางประเภทไว้”
สายตาของทุกคนหันไปที่เฟรย์พร้อมกัน
“แล้วเราจะทำอย่างไรดี?”
“…”
เฟรย์คิดสักครู่ก่อนที่จะเปิดปากของเขา
“คุณบอกว่าป่าแห่งนี้ตายไปแล้ว คุณคงไม่รังเกียจถ้าหากฉันจะทำลายมันใช่ไหม?”
“นั้นไม่สำคัญแต่ทำไมละ? การเผาป่าโดยมีอาร์เรย์ขวางทางนั้นไม่ใช่เรื่องง่าย”
“ฉันไม่ได้ตั้งใจจะเผามัน”
การจุดไฟเผาป่าเป็นเรื่องอันตราย
เฟรย์เข้าใกล้ป่ามากขึ้นและมองไปรอบๆ
'นี่ไงละเวทย์มนต์อาร์เรย์”
อย่างที่คามิลล์พูดเขารู้สึกได้ถึงบางสิ่งที่ปกคลุมป่า
เฟรย์ยืนอยู่ตรงนั้นสักพัก
เลียมสันมองไปที่คามิลล์และถาม
“เฟรย์กำลังทำอะไร?”
“…ฉันคิดว่าเขากำลังตรวจดูอาร์เรย์”
“ตรวจดูอาร์เรย์?”
"ถูกตัอง"
คามิลล์กำลังมองไปที่เฟรย์ด้วยสีหน้าสงสัย
การวิเคาะห์อาร์เรย์ที่เปิดใช้งานไปแล้วนั้นซับซ้อนและใช้เวลานานมาก
มิเคลก็ตระหนักเช่นกัน
‘ต้องใช้เวลาอย่างน้อย 2 วันในการวิเคาะห์อาร์เรย์ประเภทนี้…’
ในการทำลายอาร์เรย์นั้นไม่เพียงแต่ระดับของพ่อมดจะต้องสูงแต่การประมวลในสมองของพวกเขาต้องไม่ธรรมดาด้วย
นี่เป็นเพราะเราต้องหาคำตอบสำหรับสมการที่พันกันหลายสิบหรือหลายร้อยสมการโดยการแก้มันภายในใจเท่านั้น
หากทำผิดแม้แต่นิดเดียวก็มีโอกาสที่จะทำให้อาร์เรย์ยุ่งเหยิงมากขึ้นหรืออาจมีผลกระทบต่อพวกเขาโดยตรง
จากนั้นเฟรย์ก็ดูเหมือนจะหลุดออกมาจากความงุนงงและเดินกลับไปที่กลุ่ม
คามิลล์มองไปที่เขาและพูดว่า
“ถ้าคุณตั้งใจจะทำลายอาร์เรย์พวกเราก็จะอยู่ที่นี่และยืนคุ้มกันให้”
“ไม่จำเป็นหรอก”
เฟรย์จ้องมองไปที่คามิลล์อย่างประหลาด
“หือ?”
“อาร์เรย์ได้ถูกทำลายไปหมดแล้ว สิ่งที่ฉันต้องทำในตอนนี้คือการทำลายป่า”
“อะ...อะไรนะ?”
“พวกคุณควรถอยห่างออกมา”
คามิลล์เลียมสันและมิเคลต่างก็ถอยหลังกลับพร้อมกับสีหน้าสับสน
เฟรย์มองไปที่ป่าอีกครั้งและร่ายมนตร์
"วินสตอม"
ฮูววว
จู่ๆก็มีลมรุนแรงพัดเข้ามาในพื้นที่
มิเคลรีบร่ายคาถาป้องกัน
นี่เป็นเพราะลมนั้นแรงมากจนเขารู้สึกว่าร่างกายของเขาแทบจะปลิวไป
เลียมสันและคามิลล์ก็รีบเข้าไปในคาถาป้องกันนั้น
ครุ่ๆๆ
เสื้อคลุมของเฟรย์กระพืออย่างรุนแรง
พายุขนาดใหญ่ที่เกิดขึ้นตรงหน้าเขาถือว่าเป็นระดับที่อาจเรียกได้ว่าเป็นภัยธรรมชาติ
มิเคลอ้าปากกว้างเมื่อได้เห็นการแสดงพลังเวทย์อันน่าทึ่งนี้
‘ไม่ - ไม่น่าเชื่อ!’
มานาที่ผันผวนนั้น!
และก็พายุ!
มิเคลเคยคิดว่าเฟรย์เป็นเพียงพ่อมดที่เพิ่งไปถึงระดับ 7 ดาว แต่พลังเวทย์ที่เขาแสดงอยู่นั้นเหนือจินตนาการ
มันไม่เพียงพอที่จะบอกว่าเขาประสบความสำเร็จอย่างมากแล้ว
ครึก
พายุถล่มป่าจนหมด
ต้นไม้ถูกถอนออกและก้อนหินขนาดใหญ่ถูกโยนขึ้นไปบนท้องฟ้าราวกับว่าพวกมันเป็นก้อนกรวดขนาดเล็ก
แม้แต่คามิลล์ที่มักจะไม่แสดงออกยังอึ้งเมื่อเธอเห็นสิ่งที่เกิดขึ้นจากสายตาที่เห็นสิ่งที่เหนือจินตนาการนั้น เธอไม่สามารถเก็บอาการนั่นได้เลย
และเมื่อพายุหยุด
“…”
ในป่าที่เสื่อมโทรมอย่างสมบูรณ์นั้นปรากฏให้เห็นชายคนหนึ่งกำลังเดินเข้ามา
เฟรย์ตระหนักว่าชายคนนั้นน่าจะเป็นอัครสาวกอย่างแน่นอน
ตอนนั้นเอง
ใบหน้าของมิเคลเต็มไปด้วยความเศร้าโศกเมื่อสังเกตเห็นชายคนนี้
“ฉันฉันไม่เชื่อเลย สิ่งนี้…เป็นไปไม่ได้”
“คุณรู้หรือว่านั่นคือใคร?”
“อานั่น…คือ ออเนอลุคส์ …!”
"อะไรนะ?"
ใบหน้าของเลียมสันบิดเบี้ยวและมิเคลยังคงพูดด้วยเสียงสั่นเครือ
“นั่นคือออเนอลุคส์รองหัวหน้าหอคอยเวทย์มนต์ที่ 3”