Ep.814 - องค์ชายเซียว
⅗
*เปลี่ยนพื้นที่ต้องห้าม = มิติต้องห้าม
Ep.814 - องค์ชายเซียว
“หรือว่าจะเป็นองค์ชายเซียว!”
ฉินเฟิงอุทานชื่อนี้ขึ้นมา
แซดพยักหน้า แล้วกล่าวด้วยรอยยิ้ม “หลี่เซียวแข็งแกร่งมากๆ เพราะท้ายที่สุดแล้วตระกูลของเขาเคยสร้างคนที่เกือบสามารถก้าวขึ้นไปเหยียบบนจุดสูงสุดของผู้ใช้พลัง และจนกระทั่งตอนนี้ ยังไม่มีใครทราบ ว่าคนๆนั้นตายไปแล้วหรือยัง”
ฉินเฟิงมองไปที่แซดด้วยความประหลาดใจ
สำหรับข่าวนี้ ในชีวิตแรก ฉินเฟิงไม่เคยได้ยินมาก่อนเลย
แซดมองฉินเฟิงคล้ายแฝงความในบางอย่าง กล่าวว่า “ฉะนั้นนายต้องรีบแข็งแกร่งให้เร็วที่สุด อา! เพราะตระกูลหลี่คงไม่ยอมปล่อยให้คนที่ไม่ใช่ตระกูลของพวกเขาขึ้นมาแทนที่ กลายเป็นผู้ยืนอยู่บนจุดสูงสุดของมวลมนุษยชาติ!”
สีหน้าของฉินเฟิงยังคงไม่เปลี่ยนแปลง หากแต่ในหัวใจของเขาราวกับถูกพายุกระหน่ำซัด
แม้ยังนั่งนิ่ง แต่สมองกำลังปั่นความคิดเร็วจี๋
นิยามคำว่า มนุษย์ ยามสถานการณ์วิกฤต หลายคนสามารถยกความยุติธรรมขึ้นเหนือความเห็นแก่ตัว ทว่ายามสถานการณ์ปลอดภัย ไม่เกิดเรื่องร้ายแรงใดๆ พวกเขากลับต่อสู้ช่วงชิงกันเอง!
เอาจริงๆแล้วตัวอย่างที่เห็นได้ชัดที่สุด คือสถานชุมชนเฉิงเป่ยที่ฉินเฟิงเกิด ที่นั่นเป็นแค่สถานชุมชนเล็กๆแสนอ่อนแอ แต่เมื่อเกิดกองทัพหนูเข้ารุกราน ทุกคนกลับร่วมมือกัน พยายามอย่างยิ่งยวดที่จะหยุดมัน ต่อต้าน ต่อสู้กับสัตว์ร้าย รวมใจเป็นหนึ่งเดียว จนนำมาซึ่งชัยชนะ
แต่หลังจากการรุกรานของกองทัพหนูสิ้นสุดลง ผู้คนกลับมาใช้ชีวิตอย่างสงบสุขอีกครั้ง ก็เริ่มเกิดความหวาดระแวง สุดท้ายหันคมมีดเข้าทิ่มแทงกันเอง
และจากที่แซดพูด ความหมายก็คือ ตระกูลขององค์ชายเซียว ครั้งหนึ่งเคยปรากฏเลเวล SSS และช่วงยุครอยแยกมิติครั้งใหญ่ในรอบ 200 ปีมานี้ คนๆนั้นยังเป็นคนเดียวที่สามารถเข้าใกล้จุดสูงสุดของมนุษยชาติ
ทันใดนั้น ฉินเฟิงก็เกิดความเข้าใจเรื่องราวของคนที่เรียกว่าองค์ชายเซียวเพิ่มขึ้นหลายส่วน และยังทราบอีกด้วยว่า คำเตือนของแซด ใช่ว่าจะไม่มีมูลซักทีเดียว
ก็ลองคิดดูสิ หากช่วงเวลาหนึ่ง จู่ๆมีมนุษย์กระโดดขึ้นมาเด่นเหนือผู้คน สำแดงความสามารถ และศักยภาพออกมาว่าดีกว่าหลี่เซียว และอาจมีแนวโน้มว่าจะไปแตะต้องตำแหน่งจุดสูงสุดที่ว่านั่น ในฐานะตระกูลที่แข็งแกร่งที่สุด พวกเขาจะยอมรับหรือ?
ในความคิดของพวกเขา หากให้เลือกระหว่างความเป็นอยู่ของมนุษย์ทุกคนดีขึ้น กับตระกูลตนยังรั้งตำแหน่งเดิม พวกเขาคงไม่เสียเวลาคิด และสิ่งที่พวกเขาพะวง คงมีเพียงข้อเดียว นั่นคือคนที่มีโอกาสก้าวขึ้นสู่จุดสูงสุด จะพรากทุกสิ่งที่พวกเขาสร้างมาจากไป
ความคิดนี้น่าหวาดกลัวมากจริงๆ!
เพียงเพราะความหวาดระแวงเล็กๆน้อยๆ อาจก่อให้เกิดผลกระทบร้ายแรงแก่มวลมนุษยชาติ
แต่ในตอนนั้นเอง ฉินเฟิงที่สมควรหวาดกลัว กลับเผยรอยยิ้มจาง กล่าวว่า “แซด ถ้าคุณต้องการให้ผมเข้ารับการทดลอง เพื่อแลกเปลี่ยนกับการแข็งแกร่งขึ้นอย่างรวดเร็วแล้วล่ะก็ อาศัยคำขู่แค่นี้ มันยังไม่น่าดึงดูดมากพอ”
ข้อมูลของแซดทำให้ฉินเฟิงตกใจจริงๆ เพราะข่าวพวกนี้ เขาไม่เคยได้รู้มาก่อน
อย่างไรก็ตาม หากได้ตริตรอง ทบทวนอย่างรอบคอบแล้ว จะพบว่าคำพูดพวกนี้ของแซด ใช่ว่าจะเกิดขึ้นกับเขาในทันทีซะหน่อย?
เป็นเรื่องจริงที่ฉินเฟิงปรารถนาจะกลายเป็นผู้ทรงพลังที่สุด ก็เขาอุตส่าห์ได้เกิดใหม่ทั้งที จะให้ปีนป่ายขึ้นไปหยุดยืนถึงแค่ในตำแหน่งเดิม หรือสูงกว่าตำแหน่งเดิมแค่ระดับเดียวรึไง?
วิสัยทัศน์ของฉินเฟิง มิได้คับแคบขนาดนั้น อีกอย่างเขาจะโง่ไม่รู้เลยรึไง ว่าคำขู่ของแซดมีจุดประสงค์แอบแฝง
ฉินเฟิงมองทะลุความคิดของแซดได้ในพริบตา อีกฝ่ายยังไม่ยอมแพ้ที่จะจับเขาไปทดลองเกี่ยวกับจิตวิญญาณนักรบ!
แม้แซดถูกเปิดโปง แต่กลับไม่รู้สึกผิดสักนิด ตรงกันข้าม ยิ่งพยายามโน้มน้าวฉินเฟิง “เชื่อฉันเหอะน่า! ตราบใดที่นายเข้ารับการทดลอง นายอาจแข็งแกร่งยิ่งกว่าฉันด้วยซ้ำ!”
ฉินเฟิงยิ้มหยัน “ถ้าคุณมีเวลาว่างขนาดนี้ ทำไมไม่ไปค้นคว้าเพิ่มเติมเกี่ยวกับพวกสิ่งมีชีวิตในมิติทับซ้อน อะไรแบบนั้นต่างหาก คือกุญแจสำคัญในการปลุกพลังของมนุษยชาติ! ความฝันของคุณ เมื่อก่อนมันอาจเป็นไปได้จริงๆ แต่ตอนนี้ คุณกำลังหลงทาง!”
เรียกว่าหลงทางน่ะถูกแล้ว เพราะในชีวิตก่อนของฉินเฟิง ผลงานวิจัยของแซดไม่ได้ค้นคว้าให้เกิดอะไรดีๆออกมา ตรงกันข้าม กลับปรากฏร่างทดลองมนุษย์กลายพันธุ์ขึ้นมากมาย อำนาจฝั่งพันธมิตรองค์กรมืดยิ่งนานวันยิ่งทวีความแข็งแกร่ง!
แต่ตอนนี้ ทุกอย่างได้เปลี่ยนไปแล้ว!
เนื่องจากการดำรงอยู่ของฉินเฟิง ทำให้การทดลองของแซดถูกแทรกแซง และคราวนี้ ฉินเฟิงจะแก้ไขสถานการณ์เลวร้ายที่กล่าวมาไม่ให้เกิดขึ้น!
ภายในมิติทับซ้อน บางสิ่งที่อยู่ภายในนั้น เห็นได้ชัดว่าสอดคล้องกับความสนใจของฉินเฟิง
ในส่วนของแซด อีกฝ่ายรักที่จะศึกษาค้นคว้า ฉินเฟิงพูดแค่นี้ก็พอแล้ว คร้านที่จะใส่ใจอีก
อย่างไรก็ตาม อย่าลืมสิว่าแซดเพิ่งเสนอภารกิจ ให้ฉินเฟิงขนย้ายวัตถุดิบทดลองมาให้ ดังนั้นหลังจากออกมาในครั้งนี้ อีกไม่นานฉินเฟิงต้องกลับเข้าไปในมิติทับซ้อนอีกครั้ง
ส่วนตอนนี้ ฉินเฟิงยังมีเรื่องอีกมากต้องจัดการ
เขาเรียกไป๋หลีกลับมา
“เรื่องข้างนอกเป็นยังไงบ้าง?” ฉินเฟิงถาม
“เกือบจะเสร็จแล้ว ชาวเมืองแทบทั้งหมดเลือกติดตามมากับพวกเรา ส่วนคนที่เลือกสร้างเมืองฉงโหลวขึ้นใหม่ ก็ตั้งใจว่าจะมากับพวกเราด้วยเหมือนกัน ฮึ่ม! แต่ฉันไม่ให้มาหรอก! คนที่เลือกตัวเลือกข้อสอง ฉันยอมปล่อยไปเมืองอื่นได้ไม่มีปัญหา แต่พวกเลือกข้อสามนี่ น่าจะจับมัดแล้วทิ้งไว้ให้หลี่หยวนซานดูแลคนเดียว!”
“คนเดียว? หมายความว่าเลเวล B ที่เหลือจะมากับพวกเราด้วยงั้นหรอ” ฉินเฟิงรู้สึกประหลาดใจเล็กน้อย
ไป๋หลีพยักหน้า คิดว่าแบบนี้แหละถึงจะถูกต้อง เพราะท้ายที่สุดแล้ว เธอเป็นสัตว์เทวะเลเวล A ดังนั้นหากมีลูกน้องเลเวล B สักหลายคนอยู่ในมือ ถือเป็นเรื่องปกติ
แต่คนเหล่านั้น ในความเป็นจริงแล้วยินยอมติดตามฉินเฟิงต่างหาก ไม่ใช่เธอ
ฉินเฟิงมองไปยังทั้งสี่ที่ตัดสินใจเลือกเข้าร่วมกับเขา ได้แก่ เจียงเฮ่าหลิน , หนิงซิน , หลงเถา และโจวเจ๋อ
เพียงแค่มอง ฉินเฟิงก็ตัดสินใจได้ในทันที
“เอาล่ะ งั้นฉันจะส่งเจียงเฮ่าหลินไปทำงานในเมืองเฟิงหลี ส่วนที่เหลืออีกสามคน ให้ไปดูแลมิติลาวาเดือด”
“รับทราบ ตามที่คุณต้องการ!” ไป๋หลีไม่สนใจว่าอีกสามคนจะไปอยู่ที่ไหน เพราะเธอรู้แก่ใจ ว่าในสี่คนนี้ ฉินเฟิงจัดแจงว่าจะใช้งานพวกเขาอย่างไรเรียบร้อยแล้ว
เจียงเฮ่าหลินเป็นคนที่เชื่อถือได้ ดังนั้นให้เดินทางมาเมืองเฟิงหลี ส่วนมิติลาวาเดือดมองเผินๆอาจเป็นสมรภูมิที่ต้องต่อสู้ แต่มันเต็มไปด้วยโอกาสในการยกระดับและเม็ดเงินมหาศาล กระนั้นก็ยังสู้เมืองเฟิงหลีซึ่งเป็นฐานหลักของฉินเฟิงไม่ได้อยู่ดี เพราะนอกจากมีทรายธารเวลาแล้ว ยังสามารถใช้พักอาศัยได้ เป็นสถานที่ที่ช่วยให้สามารถยกระดับได้อย่างรวดเร็วเช่นกัน
จากนั้น ฉินเฟิงเอ่ยข้อเสนอ “ฉันมีแผนที่จะแอบส่งคนกลุ่มหนึ่งกลับเข้าไปยังมิติต้องห้าม แต่ต้องไม่มีใครตรวจสอบเจอ เลยว่าจะฝากเธอช่วยเตรียมคนงานขุดอุโมงค์เอาไว้ให้หน่อย!”
พอได้ยินคำพูดของฉินเฟิง ไป๋หลีก็เข้าใจทันทีว่าอีกฝ่ายคิดทำอะไร เอ่ยปากว่า “ไม่ต้องลำบากถึงขนาดนั้น การเชื่อมประตูมิติภายในมิติทับซ้อนค่อนข้างสับสนวุ่นวายก็จริง แต่ฉันสามารถเปิดช่องว่างในมิติต้องห้ามจากโลกภายนอกได้ เพียงแต่ว่า ตอนนี้ยังทำได้แค่เปิดเข้าไป ตราบใดที่ฉันสามารถศึกษามันจนเชี่ยวชาญ ถึงเวลานั้น ฉันสามารถบังคับเปิดช่องว่างมิติจากตรงไหนก็ได้ ให้ทุกคนสามารถออกมาได้ทุกเมื่อ!”
“หรือให้สรุปสั้นๆก็คือ เธอสามารถเปิดประตูมิติให้ฉันสามารถเข้าไปยังมิติต้องห้ามได้เลยโดยตรงใช่ไหม?”
เหตุผลที่ฉินเฟิงต้องขุดอุโมงค์ลงไปใต้ดิน เพราะกลัวว่าจะมีเห็นการกระทำของพวกเขาจากบนฟ้า แต่เมื่อลองคิดเกี่ยวกับมันอย่างรอบคอบ คุณสมบัติของมิตินี้ไม่ได้ครอบคลุมแค่เมืองฉงโหลวสักหน่อย เลยออกไปนอกเมืองยังมีมิติต้องห้ามที่ขยับขยายออกมาจากในตอนแรกอยู่อีก
*มิติทับซ้อน = มิติโลกมนุษย์กับมิติต้องห้ามทับกัน /// ส่วนมิติต้องห้าม คืออาณาเขตที่ขยับขยายออกมาจากเมืองฉงโหลว ที่ผมเข้าใจคือแบบนี้นะ
“ใช่ ฉันศึกษามิตินี้มาได้ระยะหนึ่งแล้ว วิธีที่พูดมา น่าจะเป็นไปได้”
“งั้นตกลง!”
ฉินเฟิงกำหนดแผนการ และคนแรกที่เขาติดต่อหาคือวังเฉิน
ในฐานะผู้ใต้บังคับบัญชาคนแรกๆที่ติดตามฉินเฟิงมาถึงสามปี แม้หนึ่งในนั้นจะทรยศไปแล้วก็ตาม แต่ฉินเฟิงทราบดี ว่าเขาเชื่อใจวังเฉินได้
“ผมต้องการกลุ่มคนธรรมดา ที่อายุเกิน 16 ปีไปแล้ว แต่ยังปรารถนาที่จะกกลายเป็นผู้ใช้พลัง เงื่อนไขคือต้องเข้าร่วมโดยสมัครใจ ส่วนจำนวน ยิ่งมากยิ่งดี เอาตามที่คุณเห็นสมควร!”
“‘ยังปรารถนาที่จะกลายเป็นผู้ใช้พลัง?’” วังเฉินทวนคำ ไตร่ตรองถึงความหมายของฉินเฟิง และพลันฉุกคิดได้อย่างรวดเร็ว นึกไปถึงเรื่องห้องทดลองที่ฉินเฟิงเคยสร้างเอาไว้ …