Ep.813 - ได้รับชื่อเสียง
2/5
Ep.813 - ได้รับชื่อเสียง
“เจ้าเมืองรุ่ยฉงเป็นผู้ใช้วรยุทธโบราณเลเวล A1 เขาแข็งแกร่ง แถมยังเปี่ยมไปด้วยพรสวรรค์ชนิดยากจะหาผู้ใดเทียบ ด้วยจุดเด่นที่กล่าวมานี้เอง ทำให้เขาสามารถฝึกฝนทักษะหมื่นคมดาบได้ แต่เขากลับพ่ายแพ้อย่างกะทันหัน คู่ต่อสู้อีกฝ่ายเป็นใครกัน!”
“นี่นายไม่รู้จักฉินเฟิงหรอ? เขาคือลูกรักของพระเจ้าในปีที่แล้ว!”
“ลูกรักของพระเจ้า? นี่นายล้อฉันเล่น นั่นมีแต่พวกรุ่นเยาว์ทั้งนั้น แถมถ้าเพิ่งได้เป็นลูกรักในปีที่แล้ว เขาจะสามารถเอาชนะท่านผู้ใหญ่รุ่ยได้อย่างไร?”
“งั้นฉันจะบอกข่าวลือที่ได้ยินมาเกี่ยวกับฉินเฟิงคนนี้ให้ฟัง …”
ฝูงชนต่างสนทนา ถกเถียงกันอย่างมีชีวิตชีวา ในครั้งนี้ ฝีมือของฉินเฟิงได้ปรากฏสู่สายตาของทุกคนแล้วอย่างแท้จริง
วิดีโอดังกล่าว ในอนาคต มันจะถูกเปิดดูซ้ำๆโดยผู้ใช้วรยุทธโบราณนับไม่ถ้วน เนื่องจากการดวลระหว่างผู้ใช้พลังระดับสูง มีให้รับชมไม่มากนัก
ขณะเดียวกัน ก็มีคนอีกกลุ่มหนึ่งที่อยากรู้อยากเห็นเกี่ยวกับกระบวนท่าวรยุทธของฉินเฟิง
--กระบวนท่าที่สามารถต่อต้านวรยุทธอันเป็นเอกลักษณ์ของเลเวล A ได้ มันคืออะไรกันแน่?
เหล่าผู้ใช้พลังกดโหมดชะลอภาพ และซูมเข้าไป เริ่มตรวจสอบแต่ละรายละเอียด ในที่สุดก็มีบางคนเอ่ยออกมาอย่างไม่มั่นใจ
“ทำไมกระบวนท่าของเขา … มันดูคล้ายกับทักษะหมื่นวิญญาณสะบั้นจัง?”
ทักษะหมื่นวิญญาณสะบั้น เอาจริงๆกระบวนท่าวรยุทธนี้ เป็นที่รู้จักของคนจำนวนมาก
แม้จะผ่านมาเป็นร้อยปีแล้วก็ตาม แต่เลเวล S ทุกคนในพันธมิตรหัวเซี่ย ตัวตนทรงอำนาจเหล่านี้ล้วนคุ้นเคยกับมันดี เพราะนี่คือเศษเสี้ยวของตำนานที่ถูกทิ้งเอาไว้เบื้องหลัง
“พูดก็พูดเถอะ มันค่อนข้างเหมือนมากจริงๆ เพียงแต่ว่าวิญญาณของฉินเฟิงเป็นสัตว์ร้าย ส่วนหลินว่านจงเป็นวิญญาณมนุษย์!”
“สมควรเป็นเช่นนั้น เลือกกักเก็บวิญญาณสัตว์ร้ายคือสิ่งที่ถูกต้อง ย้อนกลับไปตอนเจ้าปีศาจร้ายหลินว่านจงเข่นฆ่าผู้คนนับล้าน ถ้าไม่ใช่เพราะเขาโหดเหี้ยมเกินไป ก่อนจะสำเร็จวิชาอย่างสมบูรณ์ คงไม่ถูกเลเวล S มากมายเข้าล้อมจับ”
“ใช่ แต่ไม่นึกเลยว่าฉินเฟิงจะเลือกฝึกฝนทักษะมารเช่นนี้จริงๆ”
“ไม่สำคัญหรอกว่านี่เป็นทักษะมารหรือไม่ แต่สำคัญว่าใครเป็นคนใช้มันต่างหาก ถ้าฉินเฟิงใช้ทักษะนี้ออกไล่ล่าเพียงสัตว์ร้าย มันก็ไม่น่าเป็นปัญหา”
คนอื่นๆเห็นด้วยกับประโยคนี้ ไม่มีใครสนใจว่าฉินเฟิงฝึกฝนกระบวนท่าวรยุทธสายมารหรือไม่ ขอแค่ไม่ล้ำเส้นก็พอ
กระนั้น ก็ยังมีบางคน ที่ให้ความสนใจมันจริงๆจังๆ
…
บนชั้นเก้าของเมืองหลวงมังกร
หลงเยว่กับหลงหยุนอี้มารวมตัวกัน และผู้หญิงที่ดูสง่างามอีกคนหนึ่ง ร่วมรับชมวิดีโอผ่านหน้าจอ
“นี่เพิ่งผ่านมาได้ไม่นาน แต่เขากลับฝึกฝนจนเข้าใจถึงแก่นแท้ของมันแล้วจริงๆ!” หลงหยุนอี้ถอนหายใจ
หลงเยว่ผงกหัวเห็นด้วย แต่ใบหน้าของเขากลับดูค่อนข้างมืดมน
มีเพียงผู้หญิงคนเดียวในที่นี้ ที่ยกยิ้มมุมปากขึ้นเล็กน้อย กล่าวเสียงสดใสว่า “เขาชื่อฉินเฟิงใช่ไหม? น่าสนใจจริงๆ!”
….
ภายในคลับเฮาส์สุดหรูในเมืองหลวงมังกร ผู้นำตระกูลนับสิบคนได้มารวมตัวกัน อย่างไรก็ตาม คนเหล่านั้นได้รับข้อความด่วนบนอุปกรณ์สื่อสาร เลยเปิดหน้าจอดู และพบว่าเป็นการต่อสู้ระหว่างฉินเฟิงกับรุ่ยฉง
การรับประทานอาหารร่วมกันมื้อนี้ รสชาติของมันกลายเป็นจืดชืดทันที สีหน้าของพวกเขา คล้ายตกอยู่ในภวังค์ เหม่อลอยไปเล็กน้อย
“ฉินเฟิงเคยตกลงทำสัญญากับพวกเราไว้สามปีใช่ไหม?” ชายคนหนึ่งเปิดปากถาม
คนอื่นๆก็เหมือนจะจดจำสิ่งนี้ได้เช่นกัน ทั้งหมดต่างสบถประชดประชันในตอนนี้
“สามปีสินะ .. ตอนนั้นฉันก็หลงคิดว่าเขาแค่ต้องการถ่วงเวลาเพราะจนตรอก แต่พอเห็นแบบนี้ ไม่ต้องพูดถึงสามปี แค่เวลาปีเดียว ฉินเฟิงในปัจจุบัน ก็ไม่ใช่ตัวตนที่พวกเราจะล่วงเกินได้แล้ว”
“เกรงว่าหลังจากนี้อีกไม่นาน กลุ่มเฟิงหลีคงเติบโตเป็นยักษ์ใหญ่!”
ในบรรดาฝูงชน ทั้งหมดต่างรู้สึกหงุดหงิดใจ แต่มีหลายคนถอนหายใจโล่งอก รู้สึกว่าตนโชคดีจริงๆที่ยังไม่เคลื่อนไหว ดีใจที่เกิดความลังเล ไม่ได้ลอบโจมตีฉินเฟิงในทันที
และแน่นอน ว่าในตอนนี้ ไม่มีใครต้องการหาเรื่องกับฉินเฟิงอีกแล้ว!
…
ภายในประเทศหัวเซี่ย ไม่ว่าจะองค์กรมืดหรือกลุ่มอิทธิพลต่างๆ เมื่อรับชมวิดีโอนี้ ยังเกิดความคิดแตกต่างกันไป
แต่คนเหล่านี้จะคิดยังไง ไม่เกี่ยวข้องกับฉินเฟิง!
หลังรุ่ยฉงจากไป ในที่สุดฉินเฟิงก็ได้ผ่อนคลายลงเสียที เขากลับไปยังเรือเหาะ
ทว่าเพียงก้าวเข้ามา ทุกรูขุมขนพลันลุกชัน สัมผัสได้ถึงอันตราย พลังสมาธิของฉินเฟิง ล็อคลงบนตัวคนๆหนึ่งอย่างรวดเร็ว
แต่คนๆนั้นดูเหมือนไม่มีความคิดเก็บซ่อนกลิ่นอายเลย เขาเดินอาดๆเข้ามาพร้อมรอยยิ้มกว้าง สีหน้าของฉินเฟิงหมองลงทันที
“ทำไมคุณถึงได้มาอยู่บนเรือเหาะผม!”
เห็นได้ชัดว่าแซดไม่สนใจสีหน้าของฉินเฟิง เขามองไปยังเลือดที่ติดตามตัวคนตรงหน้าด้วยความสนใจ
มุมปากของฉินเฟิงกระตุก กล่าวอย่างอารมณ์เสียว่า “คุณคิดว่าสัตว์ร้ายพวกนั้นสามารถสู้กับผมได้หรือ? เลือดทั้งหมดนี้ไม่ใช่ของผม แต่เป็นของพวกมัน!”
ได้ยินแบบนี้ ความรู้สึกเสียดายปรากฏขึ้นบนใบหน้าของแซด มันชัดเจนมากๆ อีกฝ่ายไม่ได้ปกปิดใดๆเลย
ฉินเฟิงไม่ต้องการคุยกับเขา แต่เมื่อคิดถึงภารกิจที่ได้รับ เลยยอมกล่าวว่า “คุณรอก่อน เดี๋ยวผมจะกลับมารายงานภารกิจ”
“โอ๊ะโอ? อย่าบอกนะว่านายไม่ได้นำสัตว์ร้ายจอมเขมือบกลับมาด้วย!”
“เกิดอุบัติเหตุนิดหน่อย!” ฉินเฟิงกล่าว แยกตัวตรงกลับเข้าไปในห้องส่วนตัวบนเรือเหาะ ชะล้างร่างกาย สวมชุดรบใหม่
แม้ถูกชะล้างด้วยอบิลิตี้น้ำจนสะอาดแล้วก็ตาม แต่ดูเหมือนว่ากลิ่นอายของสัตว์ร้าย จะไม่สามารถล้างออกจนหมดได้ในเวลานี้ หากมีเด็กน้อยโผล่มาข้างกายฉินเฟิง อีกฝ่ายคงหวาดกลัว กรีดร้องจนล้มพับ เป็นลมไปแน่นอน
แต่โชคดีก็คือ บนเรือเหาะลำนี้ ไม่มีทางที่เด็กๆจะปรากฏตัวขึ้น
ฉินเฟิงกลับมายังห้องโถงเรือเหาะ ไป๋หลียังไม่กลับมา เธอวุ่นอยู่กับการช่วยเหลือผู้ลี้ภัย
ฉินเฟิงนั่งลงบนโซฟาในห้องโถง แซดนั่งลงตามในฝั่งตรงข้าม
ทั้งสองติดต่อกันมาสักพักแล้วก็จริง แต่ความสัมพันธ์ไม่มีทีท่าว่าจะดีขึ้นเลย
ฉินเฟิงไม่อ้อมค้อม บอกเล่าเรื่องของชูฟ่านไป
“เด็กคนนี้ ดูเหมือนว่าจะถูกบังคับให้ไปทำงานแก่คุณ และเขาคุ้นเคยกับมิติทับซ้อนเป็นอย่างดี ถ้าปล่อยทิ้งไว้ต่อไป เกรงว่าในอนาคต เขาจะเติมพลังจนอ้วนพลี แล้วกลับมาแก้แค้นคุณ”
“ชูฟ่านงั้นหรอ ..? ฉันจำไม่ได้แฮะว่าเป็นใคร แต่เขาเหมาะเป็นตัวอย่างทดลองมากๆ ถ้ามีโอกาส ฉันจะไปจับตัวเขาแน่นอน เว้นแต่อีกฝ่ายจะไม่ยอมออกมาตลอดชีวิต!” แซดกล่าว
ฉินเฟิงขมวดคิ้ว กล่าวเสียงหนักแน่น “อย่างน้อยนี่ก็เป็นเรื่องระหว่างเจ้านายกับลูกน้อง คุณไม่คิดดูแลผู้ใต้บังคับบัญชาหน่อยหรือ?”
แต่แซดไม่รับฟังเลย เขาน่ะหยิ่งผยองและโอหัง ในสายตามีแต่การทดลองทั้งสิ้น ไม่มีที่ว่างสำหรับสิ่งอื่นใดอีก
เขาน่ะเป็นอัจฉริยะ พระเจ้าเปิดประตูให้เขา เขาก็พร้อมก้าวเข้าไป และปิดประตูลง ไม่รับฟังใครอีก ทุกคำพูดของฉินเฟิงเข้าหูซ้ายทะลุหูขวา
แซดน่ะอาศัยอยู่แค่ในโลกของตัวเองเท่านั้น
“ในเมื่อไม่ได้สัตว์ร้ายจอมเขมือบมาก็ช่างมัน ตรงกันข้าม ฉันกลับคิดว่าไอ้มิติทับซ้อนแห่งนี้ มันทรงพลังยิ่งกว่าสัตว์ร้ายจอมเขมือบซะอีก ขอเปลี่ยนแปลงภารกิจก่อนหน้านี้แล้วกัน ให้นายไปนำวัตถุดิบทดลองมาให้ฉันสักชุดหนึ่ง แล้วเราสองคนเป็นอันเลิกรากันไป แน่นอน นายดันไปยุ่งกับคนของหลี่เซียว บางทีอีกฝ่ายอาจมาเอาคืน ถึงตอนนั้นนายสามารถมาหาฉันได้ตลอดเวลา!”
ฉินเฟิงได้ยินแซดพูดแบบนั้นก็ชะงักไป นิ่งคิดสักพักค่อยตอบสนอง หน้าผากกลายเป็นยับย่น
“หลี่เซียวงั้นหรอ? หรือว่าคนๆนั้นจะเป็นเลเวล S ที่รุ่ยฉงคอยติดตาม?”
แซดพยักหน้าว่าใช่ พร้อมกล่าว “คนๆนั้นเป็นพ่อมดแห่งกระบวนท่าวรยุทธอย่างแท้จริง คือสุดยอดความภาคภูมิใจของสวรรค์ แต่เขาก็เหมือนกับฉัน สิ่งสุดท้ายที่ต้องการคือเฟ้นหาอัจฉริยะที่อาจปรากฏตัวขึ้น คนที่มีโอกาสเข้ามาแทนที่ตำแหน่งของตัวเอง นายต้องระวังตัวให้ดี”
สีหน้าของฉินเฟิงกลายเป็นมืดมน ไม่แน่ใจว่าสิ่งที่แซดพูดเป็นความจริงหรือไม่ อย่างไรก็ตาม ในความทรงจำของเขา ไม่รู้อะไรเกี่ยวกับหลี่เซียวเลย
อีกฝ่ายเป็นเลเวล S ไม่ใช่หรอ ทำไมเขาถึงไม่เคยได้ยินเรื่องราวมาก่อน?
หรืออาจเป็ฯเพราะ อีกฝ่ายไม่ได้มีชื่อเรียกแบบนี้?
หลี่เซียว , เลเวล S , สุดยอดอัจฉริยะ …
วินาทีนั้นเอง ในใจของฉินเฟิง ชื่อๆหนึ่งวาบผ่านเข้ามา!