Chapter 33: เจ้าชายได้รับการดูแลจากพระผู้เป็นเจ้า -2
กระสุนซอมบี้อีกลูกชนเข้ากับกำแพงชั้นนอกในตอนที่ฉันกำลังจะไปถึงบนกำแพง พวกซอมบี้ที่ขดตัวเหมือนลูกบอลกระจายไปทั่วทุกที่ มีพวกมันส่วนนึงยืดแขนขาออกมาแล้วขวางทางฉันเอาไว้
“กำจัดพวกมันซะ”
วิญญาณทหารแห่งความตายโค้งทำความเคารพฉันเล็กน้อยก่อนที่จะพุ่งไปข้างหน้า
พวกมันใช้ดาบฟันซอมบี้เป็นลูกเต๋า ในขณะที่พวกที่ถือหอกนั้น, พวกมันได้ขับไล่ซอมบี้ที่เหลือให้ตกกำแพงไป เพื่อที่จะเปิดเส้นทางให้ฉัน
นักโทษที่อยู่บนกำแพงชั้นนอกได้เห็นกลุ่มวิญญาณทหารแห่งความตายแล้วส่งเสียงเรียก
“พ..พาลาดินหรอ?”
“นี่ ท่านพาลาดินทางนี้ครับ!”
เสียงเรียกพวกนี้ได้นำไปสู่ความวุ่นวายบนกำแพงชั้นนอก นักโทษทุกคนและพวกทหารได้หันมามองทางฉัน
ตอนนี้ฉันไม่ได้สนใจพวกเขาแล้วเพ่งความสนใจไปยังกองทัพอันเดทที่อยู่อีกฝั่งนึงของกำแพง
“ชิ มากันเพียบเลยนะ”
ฉันเดาะลิ้นอยู่ใต้หน้ากาก
อย่างที่เห็น สองหมื่นนี่ไม่เรียกว่าจำนวนน้อยๆแล้ว
กองทัพอันเดทได้ปิดล้อมแนวหน้าของป้อมปราการโรเนียอย่างสมบูรณ์ สัตว์ประหลาดที่ถือหอกยาว ดาบ โล่ หน้าไม้ และอาวุธปิดล้อมกำลังเปล่งแสงน่ากลัวออกมาจากดวงตาของพวกมัน
แม้แต่ฉันก็ยังอดรู้สึกเครียดกับการได้เห็นภาพตรงหน้านี้ไม่ได้ ดูเหมือนว่าจังหวะหัวใจของฉันจะผสานเข้ากับจังหวะกลองด้วย
ตอนนี้ฉันรู้สึกอยากจะเอามือขึ้นมาปิดหู เสียงกรีดร้องแห่งความตายดังก้องมาจากทั่วทุกที่
อย่างไรก็ตามต้องขอบคุณไอ้พาสซิฟสกิลบ้านี่ของเนโครแมนเซอร์จริงๆ ไม่เพียงแค่มันจะช่วยทำให้ทนมองร่างเน่าๆของพวกอันเดทได้ แต่มันยังทำให้ฉันทนฟังเสียงกรีดร้องของวิญญาณที่ตายแล้วได้ด้วย
ตูม...! ตูม…! ตูม...!
อันเดทได้นำสะพานมาพาดที่กำแพงชั้นนอกแล้วปีนขึ้นมา ตลอดเวลานั้นกระสุนซอมบี้ก็ถูกยิงขึ้นฟ้า และพวกซอมบี้ที่เดินเตาะแตะอยู่ก็ได้ยิงลูกธนูและหน้าไม้มาทางนี้ด้วย
แน่นอนว่าวิถีลูกธนูนั้นทั้งช้าและไม่แม่นยำ แต่สิ่งที่ชดเชยข้อด้อยนี้ก็คือสัตว์ประหลาดพวกนี้ไม่มีทีท่าว่าจะเหนื่อยเลย พวกมันวิ่งเข้ามาอย่างไม่รู้จักจบจักสิ้น และจนกว่าพลังมารที่อยู่เต็มกระโหลกของพวกมันจะถูกทำลาย พวกมันก็จะโจมตีต่อไปโดยไม่หยุดพัก
ถ้าขืนปล่อยเอาไว้แบบนี้ต่อไป พวกเราก็อาจจะถูกตีแตกในไม่ช้าก็เร็ว
ความทรงจำจากเหตุการณ์แม่มดมอร์กาน่าได้ผุดขึ้นมาในหัวของฉัน ขนของฉันลุกซู่ขึ้นมาอย่างกระทันหันหลังจากที่นึกถึงตอนที่ฝ่าฟันอุปสรรคกับซอมบี้หมี
“โถ่ท่านเทพี แบบนี้มันไม่มากเกินไปหน่อยหรอ?”
ถ้าเป็นอาชีพอื่นนอกจากเนโครแมนเซอร์คงแทบเป็นไปไม่ได้เลยที่จะรับมือกับเหตุการณ์นี้ ฉันหมายถึง ต้องใช้ปาฏิหารย์อะไรถึงจะป้องกันศัตรูอันเดทกว่าสองหมื่นได้หล่ะ?
โถ่ ท่านเทพีแห่งความรักและความเมตตา ฉันรู้ว่าท่านมีอคติกับฉัน แต่รอบนี้ท่านเข้าขั้นบ้าจริงๆนะ ว่างั้นไหม?
พวกเราจะรับมือกับกระแสนี้ได้จริงๆหรอ?
ฉันส่ายหัว
ไม่อะ แทบจะเป็นไปไม่ได้เลย
ไม่นานนัก ค่ำคืนก็มาถึง เมื่อแสงอาทิตย์เลือนหายไป อันเดทก็จะแข็งแกร่งขึ้น
และที่แย่หนักขึ้นไปอีก วันที่ 25 นั้นอยู่ห่างออกไปอีกแค่สองวัน มันคือวันที่ราชาเนโครแมนเซอร์เอม่อนถูกฆ่า คนที่ถูกเรียก ‘ด้วยความรัก’ ในฐานะราชาของอันเดททั้งมวล
พูดอีกนัยนึงก็คือมันเป็นวันที่พลังมารที่พบได้ในทวีปนี้จะหนาแน่นยิ่งขึ้นและเริ่มชจะคลุ้มคลั่ง
มันจะเป็นจุดจบสำหรับพวกเราในตอนที่วันนั้นมาถึง
อันเดทจะแข็งแกร่งยิ่งขึ้น และโรเนียก็จะแตกพ่าย และหลังจากนั้น พวกอันเดททั้งหลายก็จะค่อยๆกระจายไปยั่งส่วนที่เหลือของทวีป
“นี่มันเกมส์ไร้สาระอะไรกัน”
ศัตรูของฉันเป็นกองทัพอมตะ
ทหารฝั่งนั้นมีเรี่ยวแรงที่ไม่มีวันหมดแถมยังไม่กลัวอะไรเลย และนี่ยังไม่พูดถึงเรื่องที่พวกมันจะแพร่กระจายโรคในตอนที่พวกมันตายอีก นอกจากนี้พวกมันยังมีพิษที่จะเปลี่ยนคนที่พวกมันฆ่าให้เป็นซอมบี้เพิ่มขึ้นด้วย
การใช้อาวุธธรรมดาฆ่าพวกมันนั้นเป็นเรื่องที่ยากลำบาก และเนื่องจากการเจรจากับพวกมันเป็นสิ่งที่เป็นไปได้ ดังนั้นลืมเรื่องการต่อรองไปได้เลย
พูดอีกนัยนึงก็คือ นักโทษที่มีประสบการณ์ต่อสู้จริงเท่ากับศูนย์นั้นเป็นไปไม่ได้เลยที่จะหยุดกองทัพนี้
“แบบนี้ก็แสดงว่า... มีแค่วิธีเดียวที่จะชนะศึกนี้สินะ?”
อย่างไรก็ตาม ต่อให้เจอกับศัตรูแบบนี้ มันก็มักจะมีหนทางชนะเสมอ แม้กระทั่งคนโง่ก็น่าจะรู้จักวิธีนี้
และนั่นก็คือ....
“...ฆ่าไอ้ผู้บัญชาการเวรนั่นซะ”
สายตาของฉันย้ายไปยังอันเดทนับร้อยที่ไปรวมตัวกันด้วยเหตุผลบางอย่าง ที่ใจกลางของมันนั้นมีฝูงพิเศษอยู่ ซึ่งทั่งฝูงเป็นซอมบี้เปลือยที่กำลังแบกเกี้ยวอย่างไม่มั่นคง ฉันมองเห็นสัตว์ประหลาดที่มีแต่ความอ้วนล้วนๆกำลังนั่งอยู่บนนั้น ฉันเปิดใช้ ‘เนตรจิต’ เพื่อเพ่งดูค่าสถานะของมัน
[ชื่อ: แวมไพร์เคานต์
อายุ: ???
ลักษณะเฉพาะ: กัด ปลดปล่อยพลังมาร เวทย์เนโครแมนเซอร์ เย่อหยิ่ง ตอนนี้กำลังอยู่ในสภาพตื่นเต้นอย่างมาก
+ฉันคือกองทัพ และฉันคือตัวตนที่จะกลายเป็นราชาแวมไพร์!]
“...ดูเหมือนจะมีบางอย่างเปลี่ยนไป”
ข้อมูลที่รวบรวมจากเนตรจิตดูเหมือนจะมีความเปลี่ยนแปลงเล็กน้อย ตอนนี้ ‘ความสามารถพิเศษ’ ได้เปลี่ยนเป็น ‘ลักษณะเฉพาะ’ และข้อมูลที่ดูเหมือนจะมีประโยชน์อื่นๆก็ได้เพิ่มเข้ามาในช่วงท้ายๆด้วย
“ฆ่าไอ้สัตว์ประหลาดหมูนั่นซะ!”
ฉันเหลือบมองด้านข้าง นักโทษคนนึงกำลังเล็งเครื่องยิงธนูไปที่แวมไพร์เคานต์
“ฉันจะเป่าฉันไขมันนั่นให้แกเอง!”
ลูกศรขนาดใหญ่ถูกยิงออกไปแล้วพุ่งไปหาแวมไพร์ แต่ในตอนนั้นเอง...
“หืม!?”
ลูกศรชนเข้ากับบาเรียสีม่วงกลางอากาศและแตกเป็นเสี่ยงๆ จากผลของมันนั้น ดูเหมือนว่าบาเรียที่สร้างขึ้นจากพลังมารนี้กำลังปกป้องแวมไพร์อ้วนอยู่
“อา ว่าแล้วเชียว...”
ไอ้เวรนั่นมันเป็นผู้บัญชาการ
มันถึงกับร่ายบาเรียที่ปิดกั้นการโจมตีระยะไกลทั้งหมดเอาไว้ด้วย อย่างไรก็ตาม ถ้าเข้าไปโจมตีระยะประชิด พวกอันเดทนับร้อยที่ล้อมแวมไพร์เคานต์อยู่ก็จะเข้ามาหยุด และผลลัพธ์ในท้ายที่สุดก็คงไม่พ้นความตาย
แสดงว่านี่คือหัวหน้าแกงค์แวมไพร์กว่าสองหมื่นนี่สินะ แวมไพร์เคานต์!
ฉันเอาปืนคาบศิลาออกมาจากหน้าต่างไอเท็ม
“ไม่แน่จะนะว่าจะทำได้รึเปล่า แต่ว่า...”
ระหว่างฉันกับแวมไพร์มีระยะห่างประมาณ 400 เมตร ไม่ใช่แค่นั้น มันยังมีบาเรียที่สามารถกันกระสุนเครื่องยิงธนูได้อยู่ด้วย
“อย่างน้อยก็ควรจะลองซักตั้งสินะ”
วิธีเดียวที่สงครามนี้จะจบลงด้วยชัยชนะของเราก็คือการฆ่าผู้บัญชาการแวมไพร์
ฉันใช้มือซ้ายยกหน้ากากจะงอยขึ้นเล็กน้อย ส่วนมือขวา ฉันได้เอารังเพลิงของปืนเข้าไปใกล้ปาก จากนั้น ฉันก็หายใจเข้าไปในนั้นอย่างเงียบๆ
[กระสุนได้ถูกสร้างขึ้นผ่านการใช้พลังศักดิ์สิทธิ์...]
[ออร่าศักดิ์สิทธิ์ถูกเปิดใช้ อุปกรณ์ได้รับการเสริมพลังเป็นการชั่วคราว]
[เข้าสู่สภาพควบคุมพลังศักดิ์สิทธิ์]
หยุดรายงานทุกอย่างกับฉันจะได้ไหม? มันทำลายสมาธินะ
กระสุนศักดิ์สิทธิ์อันซับซ้อนที่ถูกอัดพลังศักดิ์สิทธิ์เข้าไปอย่างหนาแน่นได้ถูกสร้างขึ้น อย่างไรก็ตาม แค่นี้มันยังไม่พอ ฉันต้องเพ่งสมาธิมากกว่านี้ มากขึ้น มากขึ้นไปอีก
ฉันจำเป็นต้องแม่นยำขึ้น... และทำให้มั่นใจว่าแรงถีบจะไม่ส่งผลกับการเล็งของฉัน...
[ออร่าศักดิ์สิทธิ์กำลังแข็งแกร่งขึ้น]
[สกิล ‘นักแม่นปืน’ ได้ถูกมอบให้ท่านเป็นการชั่วคราวเนื่องจากการพัฒนาของอุปกรณ์ ความแม่นยำของท่านจะเพิ่มขึ้น]
[สกิล ‘เจาะทะลวง’ จะถูกมอบให้อุปกรณ์เป็นการชั่วคราว]
ไม่ นี่มันยังไม่พอ แบบนี้ไม่ได้ผลแน่ ฉันไม่น่าจะสามารถทะลวงบาเรียของแวมไพร์ได้ด้วยการโจมตีแค่เท่านี้
ด้วยเหตุนี้เอง...
“โอ ท่านเทพีแห่งความรักและความเมตตา ไกอา”
หนึ่งในหนังสือที่ฉันเจอในห้องสมุดของโบสถ์ได้ระบุวิธีการรวบรวมพลังศักดิ์สิทธิ์เอาไว้ ในบรรดานั้นมีทฤษฎีนึงที่ค่อนข้างน่าสนใจเกี่ยวกับการควบคุมพลังศักดิ์สิทธิ์สำหรับนักบวชในโลกนี้
มันมีเนื้อหาที่ค่อนข้างกวนโทสะ
คุณต้องสวดภาวนาด้วยหัวใจทั้งหมด ภาวนาจนกว่าหัวใจที่ซื่อสัตย์ของคุณจะไปถึงทวยเทพ ถ้าคุณทำเช่นนั้น เทพก็จะตอบสนองต่อความหวังของคุณและมอบการคุ้มกันศักดิ์สิทธิ์ที่น่าอัศจรรย์ให้ เทพที่สูงส่งของคุณจะกลายเป็นพลังของคุณ
นักเวทย์ใช้เวทมนตร์ด้วยการร่ายมนต์และมานา นักบวชใช้การสวดภาวนาและพลังศักดิ์สิทธิ์ ในขณะที่เนโครแมนเซอร์ใช้พลังชีวิตและพลังมารเป็นฐานในการใช้เวทมนตร์
ฉันเป็นทั้งเนโครแมนเซอร์และนักบวช ฉันไม่จำเป็นต้องใช้พลังชีวิตเพื่อที่จะใช้สกิลของฉัน แต่ฉันก็ไม่จำเป็นต้องสวดภาวนาเพื่อใช้เวทมนตร์ด้วย
แต่ถ้าเกิดฉันสวดภาวนาหล่ะ? ผลมันจะเป็นยังไงกัน?
ฉันยังไม่รู้วิธีสละพลังชีวิต แต่เรื่องอย่างพวกสวดภาวนาหน่ะหรอ? แน่นอนว่าฉันทำได้อยู่แล้ว
การสวดภาวนาถึงเทพีนี้เป็นวิธีการควบคุมพลังศักดิ์สิทธิ์ที่มีประสิทธิภาพสูงสำหรับนักบวชซึ่งช่วยให้พวกเขารวบรวมพลังศักดิ์สิทธิ์ได้เร็วขึ้น และยังใช้ปริมาณน้อยกว่าปกติด้วย
มันคือเรื่องที่อธิบายได้ง่ายมาก แต่หนังสือก็ยังก็ยังมีประโยคที่เหมือนกับลัทธิหลอกลวงมากเกินไปในความรู้สึกของฉัน ซึ่งมันทำให้ฉันรู้สึกอึดอัดใจ
อย่างไรก็ตาม ฉันคิดว่าการสวดภาวนาคงไม่ทำอันตรายฉันอยู่แล้ว ถ้าฉันสามารถใช้พลังศักดิ์สิทธิ์ได้อย่างมีประสิทธิภาพมากขึ้นด้วยการสวดภาวนาง่ายๆ ทำมันซะก็ดีกว่าใช่ไหมหล่ะ?
“ฉันขอวิงวอนให้พระองค์มอบพรศักดิ์สิทธิ์ให้แก่ลูกแกะตัวนี้ด้วย...”
[พลังศักดิ์สิทธิ์กำลังหนาแน่นขึ้น]
“ผ่านความศักดิ์สิทธิ์ของพระองค์ ฉันจะทำการกำจัดอันเดทตัวนั้นให้เอง...”
[กระสุนกำลังแม่นยำขึ้นเรื่อยๆ]
“...มอบพลังให้ฉันเพื่อทะลวงอันเดทตัวนั้นด้วยความกรุณาอันศักดิ์สิทธิ์ของพระองค์”
ทันใดนั้นเอง พลังศักดิ์สิทธิ์อันทรงพลังก็แผ่ซ่านออกมารอบตัวฉัน แต่ถึงอย่างนั้นมันกลับให้ความรู้สึกสงบและผ่อนคลาย จนแทบจะเหมือนกับมีร่างของหญิงสาวผู้อ่อนโยนกำลังโอบกอดฉันจากด้านหลัง
เอาหล่ะ นี่คงมากพอแล้ว
ฉันไม่จำเป็นต้องภาวนาถึงเทพีอีกต่อไป ถ้าไกอามอบพลังของเธอให้ฉันจริงๆ ตอนนี้มันก็ถึงเวลาใช้แล้ว
ด้วยเหตุนี้เอง ฉันจึงเล็งไปที่แวมไพร์เคานต์
สัตว์ประหลาดร่างโตตัวนี้กำลังอ้าแขนกว้างในขณะที่หัวเราะออกมาดังลั่น มันคงไม่รู้ด้วยซ้ำว่ากำลังเกิดอะไรขึ้นที่นี่
ที่มุมปากของฉันโค้งขึ้นมาเป็นรอยยิ้ม “หวังว่าลูกป๋องแป๋งของแกจะได้รับความกรุณาจากไกอานะ ไอ้แวมไพร์เหม็นโฉ่”
และจากนั้นเอง ฉันก็ลั่นไก
**
(บรรยายแบบบุคคลที่ 3)
ฮาร์แมนหยุดมองชาร์ลอตต์ในตอนที่เขาได้ยินเสียงความวุ่นวายดังขึ้น แล้วหันกลับไปดู มีนักบวชคนนึงที่สวมหน้ากากจะงอยกำลังปีนขึ้นไปบนกำแพงชั้นนอก
มีทหารคอยคุ้มกันเขาอยู่ตลอดเวลาในขณะที่ทำการสังหารหมู่อันเดทที่ขวางเส้นทางของเขา
“พวกนั้นเป็นใครกันนะ?”
พวกเขาดูแตกต่างจากนักโทษหรือทหารทั่วๆไป แม้ว่าจะเบาบาง แต่เขาสัมผัสได้ถึงร่องรอยของออร่าศักดิ์สิทธิ์จากทหารพวกนั้น
พวกเขาเป็นพาลาดินฝึกหัดหรอ? อย่างไรก็ตาม ทำไมนักบวชถึงมีกลุ่มแบบนั้นคอยคุ้มกันได้หล่ะ...?
นี่คงจะเป็นครั้งแรกที่ฮาร์แมนได้รับรู้ถึงตัวตนของพวกเขาในป้อมแห่งนี้ อย่างไรก็ตามชาร์ลอตต์ที่อยู่ถัดจากเขาถลึงตากว้างมากแล้วพึมพำออกมาเบาๆ
“เจ้าชาย?”
ฮาร์แมนตกตะลึงหลังจากที่ได้ยินคำนี้แล้วรีบหันควับไปมองเด็กสาว
นั่นเจ้าชายหรอ?
สายตาที่เต็มไปด้วยความสงสัยของฮาร์แมนมองกลับไปยังนักบวชที่สวมหน้ากากจะงอย สายตาของทั้งเขาและชาลอตต์ยิ่งเบิ่งกว้างขึ้นจากความตกใจ อย่างไรก็ตามครั้งนี้ไม่ได้มีแค่พวกเขา
นักโทษ ทหาร และชาวเมืองทุกคนที่อยู่ใกล้ๆได้เห็นมันด้วยกันในเวลาเดียวกัน
ที่บนสุดของกำแพง อณูแสงศักดิ์สิทธิ์เริ่มไปรวมตัวกันรอบตัวเจ้าชาย หลังจากนั้นไม่นาน อณูแสงก็ควบแน่นเป็นจุดๆเดียวแล้วเกิดเป็นร่างของหญิงสาวที่กำลังโอบกอดเขาจากด้านหลังอย่างอ่อนโยน
ฮาร์แมนถึงกับขนลุกซู่ไปทั่วทั้งตัว เขาปริปากออกมาโดยไม่ได้ตั้งใจ เขารู้จักปรากฎการณ์นี้
‘การคุ้มกันศักดิ์สิทธิ์ของเทพีไกอา!’
พรที่เทพประทานให้ผู้ศรัทธาด้วยตัวเอง; ปาฏิหารย์ที่แม้แต่นักบวชระดับสูงอาจจะไม่ได้พบเจอในช่วงชีวิตของพวกเขาด้วยซ้ำ!
และปรากฎการณ์ที่ว่านี้กำลังเกิดขึ้นกับเจ้าชายในตอนนี้
‘นี่มัน...นี่มันไม่สมเหตุสมผลเอาซะเลย...!’
เจ้าชายที่ดูหมิ่นไกอากำลังได้รับพรจากเธอเนี่ยนะ? นี่มันเหตุการณ์ย้อนแย้งอะไรกัน?
นี่หมายความว่าเจ้าชายเป็นที่รักของเทพีไกอาใช่ไหม!?
และในตอนนั้นเอง
หลังจากที่เจ้าชายสวดภาวนาถึงเทพีจบ เขาก็เล็งปืนคาบศิลาไปที่แวมไพร์เคานต์ แล้วพูดประโยคนี้ออกมา
“หวังว่าลูกป๋องแป๋งของแกจะได้รับความกรุณาจากไกอานะ ไอ้แวมไพร์เหม็นโฉ่”
“...”
ฮาร์แมนตัวแข็งทื่อในขณะที่กำลังรู้สึกไม่เชื่อหูตัวเอง แต่ในตอนนั้นเอง เสียงที่รุนแรงอย่างเหลือเชื่อก็ได้ทำลายการได้ยินของเขาในขณะที่แสงวาบแสบตาระเบิดออกจนเขามองอะไรไม่เห็นเลย
และจากนั้น...
ตูม!
บาเรียของแวมไพร์ถูกโจมตีและกำลังบิดเบี้ยวอย่างเห็นได้ชัดก่อนที่จะแตกเป็นเสี่ยงๆ กระสุนที่รุนแรงเพียงนัดเดียวสามารถสั่นคลอนออร่าแห่งความตายได้
กรี๊ซซซ!!
พลังศักดิ์สิทธิ์กระจายไปทั่วพื้นที่รอบๆทำให้ซอมบี้และโครงกระดูกส่วนนึงสลายกลายเป็นขี้เถ้า
**
ซู้ดดด!!
แวมไพร์เคานต์สูดลมหายใจเข้าไปให้กับความรู้สึกสับสนนี้
เนื่องจากมันเป็นอันเดท โดยพื้นฐานแล้วก็คือศพเดินได้ ปอดของมันไม่ได้ทำงานแล้ว อย่างไรก็ตาม หัวใจที่เดิมทีเต้นอ่อนๆของมันจู่ๆก็เต้นรัวขึ้นและทำให้มันได้ลิ้มลองความรู้สึกที่เรียกว่าความกลัว
ดวงตาของสัตว์ประหลาดเบิกกว้างแล้วจ้องไปยังแสงที่ชนเข้ากับบาเรีย หลังจากนั้นไม่นาน หางตาของมันก็เริ่มกระตุก
‘นั่นมันอะไรกัน? นั่นมันเหี้ยอะไรเนี่ย!?’
เคานต์ตกใจมากจนพยายามที่จะลุกขึ้นมา แต่เมื่อเห็นว่ามันไม่สามารถรับน้ำหนักของตัวเองได้ มันจึงกลับไปนั่งบนเกี้ยวอีกครั้ง
นี่มันแปลกแล้ว
ตอนนี้ กองทัพของมันควรจะกลืนกินป้อมแห่งนั้นได้แล้ว มันควรเป็นการต่อสู้ที่มีการสูญเสียเป็นจำนวนมากในขณะที่ไล่ขยี้เป้าหมาย
ตอนนี้ทหารมนุษย์ที่เน้นการป้องกันกำแพงชั้นนอกควรจะตกอยู่ในความสับสนวุ่นวายเนื่องจากฝูงอันเดทได้แทรกแซงเข้าไปในป้อมชั้นในแล้ว
อย่างไรก็ตาม มันเงียบเกินไป
เคานต์ตรวจจับออร่าแห่งความตายที่มันส่งเข้าไปในป้อมไม่ได้ด้วยซ้ำ หรือว่าสัตว์ประหลาดพวกนั้นจะถูกกำจัดไปแล้ว?
แต่ได้ยังไงกัน...? มนุษย์หารูที่ซ่อนอยู่ซึ่งกระจายไปทั่วทุกพื้นที่อย่างเท่าๆกันได้ยังไง!?
‘ไม่สิ ตอนนี้มันไม่ใช่เวลามากังวลเรื่องนั้น’
บางทีอาจเป็นเพราะสมองของมันเน่าไปแล้วและตอนนี้ความคิดของมันเกิดขึ้นผ่านการทำงานของพลังมาร ความสนใจของเจ้าสิ่งมีชีวิตนี้จึงย้ายไปที่อื่นอย่างต่อเนื่อง
เคานต์นึกถึงกระสุนที่พุ่งมาทางมันขึ้นมาได้ มันเต็มไปด้วยออร่าที่น่ารังเกียจอย่างแท้จริง
พลังที่ขัดแย้งกับความตายโดยสิ้นเชิงได้ทำลายบาเรียของมันไปแล้ว
นึกไม่ถึงเลยว่าโล่อันทนทานที่สร้างขึ้นจากพลังมารโดยใช้กระโหลกของราชาเนโครแมนเซอร์จะสลายไป ขนาดลูกศรจากเครื่องยิงธนูยังทำลายมันไม่ได้ด้วยซ้ำ
แวมไพร์เคานต์รีบกวาดสายตามองไปรอบๆอย่างรวดเร็ว
สายตาที่พร่ามัวของมันจ้องไปที่บนสุดของกำแพงชั้นนอกของป้อมที่อยู่ห่างออกไปประมาณ 400 เมตร ดวงตาของมันไม่สามารถมองมนุษย์นับไม่ถ้วนที่อยู่บนนั้นอย่างละเอียดได้ แต่มันสามารถสัมผัสออร่าของพวกเขาแทนได้
ออร่าศักดิ์สิทธิ์ที่ขับไล่ความตาย
ออร่าที่น่ากลัวอย่างเหลือเชื่อที่ชวนให้สั่นวาบไปถึงหลัง!
มันกำลังก่อตัวขึ้นอีกแล้ว!
นี่มัน นี่มัน...!
สีหน้าของเคานต์ซีดยิ่งกว่าเดิม
มันก่อตัวขึ้นอีกแล้วหรอ? การโจมตีพึ่งจบไปเมื่อซักครู่นี้ไม่ใช่รึไง?
ฉันต้องหยุดมัน!!
แวมไพร์เคานต์สะบัดมือของมัน บาเรียก่อตัวขึ้นอีกครั้งในขณะที่มีซอมบี้โอเกอร์มายืนอยู่เบื้องหน้ามันด้วย
และจากนั้น...
แสงวาบที่ยังคงน่ากลัวได้พุ่งออกมาจากกำแพงชั้นนอกอีกรอบนึง บาเรียซึ่งอยู่ในสภาพเต็มที่ได้แตกสลายอีกครั้ง ร่างกายที่ใหญ่โตของซอมบี้โอเกอร์เองก็ถูกยิงทะลุอย่างแนบเนียนเช่นกัน
วิถีของแสงสีขาวได้ถูกเบี่ยงทิศทางเนื่องจากบาเรียและซอมบี้โอเกอร์ ซึ่งเป็นสาเหตุที่ทำไม แทนที่จะโดนหัว ตอนนี้กระสุนกลับโดนที่บริเวณด้านล่างของเคานต์แทน
–
แวมไพร์มองลงไปที่ร่างกายครึ่งร่างของมัน
มงกุฎเพชรอันล้ำค่าของมันกำลังลุกไหม้และสลายเป็นเถ้าถ่าน ออร่าที่ทั้งร้อนและรุนแรงกำลังกระจายไปทั่วร่างของมัน จนให้ความรู้สึกเหมือนกับว่ากำลังโดนไฟคลอกอยู่
อ้ากกกก!!
เจ็บ! เจ็บชะมัดเลย! แต่ว่า.. แต่แวมไพร์รู้สึกเจ็บปวดได้ยังไงกัน...?
แวมไพร์เคานต์ได้รับรู้ถึงความเจ็บปวดเป็นครั้งแรกในรอบ 50 ปี ต้องขอบคุณเรื่องนี้ ซอมบี้ที่อยู่ข้างใต้เกี้ยวนั้นไม่สามารถรักษาสมดุลย์ได้อีกต่อไปและล้มลงก่อนที่จะถูกขยี้เป็นชิ้นเนื้อที่ค่อนข้างแบนเรียบจากน้ำหนักของแวมไพร์
อ้ากกกก...! เวรเอ้ย! ไอ้พวกนักบวชน่าสะอิดสะเอียน...!
แวมไพร์เคานต์คลานอยู่บนพื้นอย่างไม่น่ามอง หรือว่าป้อมนั้นจะมีกลุ่มนักบวชระดับสูงอยู่ด้วย!? พวกมันใช้อาวุธที่สามารถยิงพลังศักดิ์สิทธิ์ที่พวกมันรวบรวมออกมาได้ใช่ไหม!?
แวมไพร์เคานต์ส่งเสียงร้องออกมาดังลั่น
ถ ถอย...ถอยทัพ...!!
แวมไพร์เคานต์ตัวสั่นและคลานบนพื้นต่อ ซอมบี้ ซอมบี้โอเกอร์ และโครงกระดูกทำตามคำสั่งผู้นำของพวกมัน และหลังจากที่ประคองร่างของเคานต์ได้แล้ว พวกมันก็เริ่มลากสัตว์ประหลาดอ้วนฉุนี้ออกไป
เนื่องจากน้ำหนักของมัน เนื้อหนักๆของมันจึงครูดไปกับพื้นด้วย
ด..เดี๋ยว เดี๋ยวก่อน! ยกฉันขึ้นซะ....!
แวมไพร์เคานต์ตะโกนสั่ง แต่น่าเสียดาย อันเดทพวกนี้ไม่ได้เก่งพอที่จะทำตามคำสั่งอย่างละเอียดได้
และด้วยประการฉะนี้เอง แวมไพร์ที่เคยภาคภูมิใจในชัยชนะก็ถูกลากไปจากโรเนียอย่างไม่น่ามองด้วยฝีมือของซอมบี้
33. เจ้าชายได้รับการดูแลจากพระผู้เป็นเจ้า -2 จบ