บทที่ 42 หอคอยเวทมนตร์(4)
“คุณเป็นมนุษย์ที่แปลกประหลาด คุณใช้เวทมนตร์ เคลื่อนไหวเหมือนนักรบเวทมนตร์และคุณยังรู้วิธีพูดภาษาเอลฟ์อีกด้วย”
“จากมุมมองของฉันเอลฟ์ที่เรียนรู้ที่จะใช้เวทมนตร์ก็ค่อนข้างแปลกเช่นกัน”
“อืม? นั่นคือสิ่งที่คนที่มีหัวคิดโบราณๆจะพูดกันนะ”
ท้ายที่สุดมันเป็นคำพูดที่อนุรักษ์นิยมมาก
เธอนึกไม่ถึงว่าคำพูดเหล่านั้นจะออกมาจากปากของมนุษย์ที่มีอายุน้อยกว่า 100 ปี
เฟรย์เงียบเพราะไม่มีอะไรจะพูด
เขารู้สึกว่าคามิลล์จ้องมองเขาอย่างสงสัย
“เลียมสันจะต้องเป็นผู้นำคนต่อไปของเผ่าของเรา ถ้าคุณไม่รังเกียจทำไมคุณไม่ลองเป็นคู่ฝึกเขาดูละ”
“มันจะเป็นการประลองที่ดี”
เช่นเดียวกับที่เลียมสันเฝ้าสังเกตเฟรย์อยู่ตลอดเวลา เฟรย์เองก็เฝ้าดูการต่อสู้ของเลียมสันสองสามครั้งด้วยกัน ดังนั้นเขาจึงรู้ว่าทักษะของเลียมสันเป็นอย่างมาก
ลำดับของนักรบเวทย์มนต์นั่นมีด้วยกันถึงห้าระดับ
เด็กฝึกงาน ขั้นสาม ขั้นสอง ขั้นหนึ่ง
และในที่สุดสำหรับคนที่มาถึงระดับเดียวกับราชานักรบเวทย์มนต์ ขั้นราชั่น
อย่างน้อยเลียมสันก็เป็นนักรบเวทมนตร์ขั้นสองจากที่เฟรย์เห็น
การได้ฝึกกับนักรบที่แข็งแกร่งเช่นนี้เป็นวิธีที่ดีในการเพิ่มพูนประสบการณ์
นอกจากนี้หลังจากที่เฟรย์ไม่ได้ทำอะไรเลยนอกจากการฝึกฝนเป็นเวลาหนึ่งเดือนเฟรย์ก็รู้สึกเบื่อ
“มาลองดูกันเถอะ”
จากนั้นพวกเขาก็ก้าวไปที่ใจกลางห้องและเผชิญหน้ากัน
ทุกคนที่อยู่ในศูนย์ฝึกหยุดเคลื่อนไหวและหันไปดูการต่อสู้ของพวกเขาแทน
เลียมสันเป็นคนเริ่มก่อน
หวด
ในขณะนั้นร่างของเขาดูเหมือนจะเบลอ
สิ่งแรกที่เฟรย์สังเกตเห็นคือการเคลื่อนไหวอันเป็นเอกลักษณ์ของเขา มันทำให้เขานึกถึงหิ่งห้อยที่แกว่งไปมาในความมืด
ตูม!
เขารู้สึกหนักที่ข้อมือ
มือขวาของเฟรย์เอื้อมไปข้างหลังเขาและสกัดกั้นการโจมตีของเลียมสันได้อย่างแม่นยำ
แววตาประหลาดใจฉายผ่านใบหน้าของเลียมสัน
‘เขาทำได้ง่ายขนาดนี้เลยเหรอ?’
เป็นเวลาหนึ่งเดือนแล้วที่เขาได้เข้ามายังหอคอยเวทมนตร์
ในเวลานั้นเขาได้ต่อสู้กับนักรบเวทมนตร์มากมาย แต่เขารู้สึกว่าพวกเขาทั้งหมดเป็นพวกขยะ
พูดอย่างตรงไปตรงมาพวกเขาไม่สามารถต้านทานการโจมตีครั้งแรกของเลียมสันได้ด้วยซ้ำ
แต่เฟรย์สามารถทำได้
สิ่งที่สำคัญกว่าคือการกระทำนั้นมันดูง่ายเพียงใดสำหรับเขา
เฟรย์ให้ความรู้สึกเดียวกับตอนที่เขาต่อสู้กับอาจารย์ของเขา
"นายรู้ได้อย่างไร?"
“ก็เนื่องจากที่นี่เป็นสถานที่ที่สว่างและเปิดโล่ง มันคงจะยากกว่านี้หลายเท่าถ้าหากเราต่อสู้กันในที่มืด”
“…”
นั่นเป็นเรื่องจริง
การโจมตีใรเงามืดเป็นทักษะที่น่ากลัวอย่างไม่น่าเชื่อหากใช้ในที่มืด
เลียมสันหรี่ตาและมองลงไปที่มือของเขา
ครู่หนึ่งเขานึกถึงข้อมือซึ่งรู้สึกอ่อนแอเล็กน้อย
“คุคุ…ดีละ เราจะได้สนุกกันแน่”
เลียมสันหัวเราะและพุ่งไปข้างหน้าอีกครั้ง คราวนี้เฟรย์เองก็เคลื่อนไหวเช่นกัน
สายตาของเขาจับจ้องไปที่เท้าของเลียมสัน
‘กุญแจสำคัญของการเคลื่อนไหวอยู่ที่เท้าของเขา’
ตราบใดที่เขาไม่พลาดที่จะมองการเคลื่อนไหวของเท้า เฟรย์ก็จะพอเดาได้คร่าวๆว่าเลียมสันจะเคลื่อนไหวแบบไหนต่อ
การต่อสู้รุกกันไปมา
ในขณะการต่อสู้ดำเนินไปเฟรย์ก็รู้สึกว่าเลียมสันยังไม่คุ้นเคยกับการต่อสู้ด้วยมือเปล่า
ดูเหมือนว่าอาวุธหลักของเขาจะไม่ใช่หมัดของเขา แต่เป็นอาวุธบางชนิด
ด้วยเหตุนี้เฟรย์จึงสามารถป้องกันการโจมตีทั้งหมดของเขาได้ก่อนที่มันจะโดนตัวเฟรย์
เลียมสันรู้สึกงงงวยอย่างเห็นได้ชัด
'เขารับมือได้ยากจริงๆ'
โดยปกติการเคลื่อนไหวของดาร์กเอลฟ์จะไม่ส่งเสียงใดๆออกมา แม้แต่ดาร์กเอลฟ์คนอื่นๆก็ยากที่สามารถได้ยินเสียงฝีเท้าของเลียมสัน
นั่นคือเหตุผลที่วิธีการอ่านการเคลื่อนไหวที่ได้ผลที่สุดคือการใช้สายตา
เลียมสันได้ตระหนักถึงบางสิ่งบางอย่าง
สายตาของชายตรงหน้าเขาเฉียบคมพอจนก้าวข้ามสามัญสำนึก
‘เขามีประสบการณ์ในการต่อสู้กับดาร์กเอลฟ์ไหมนะ?’
เลียมสันเคลื่อนไหวเร็วขึ้นและซ่อนความคิดอยู่ในใจ
เขาสามารถรู้ได้หลังจากต่อสู้กับเฟรย์มาสักพักว่า
ชายคนนี้ไม่ใช่นักรบเวทมนตร์
ไม่มีทางที่นักรบเวทมนตร์จะมีร่างกายที่อ่อนแอเช่นนี้
เขามั่นใจว่าเขาต้องการเพียงโอกาสในการโจมตีเพียงครั้งเดียวเพื่อคว้าชัยชนะ
แต่ดูเหมือนว่าโอกาสครั้งเดียวนั้นจะหาได้ยากอย่างไม่น่าเชื่อ
‘ผู้ชายคนนี้มีประสบการณ์ในการต่อสู้มาก แต่จากสิ่งที่ฉันบอกได้มนุษย์คนนี้น่าจะมีอายุประมาณ 20 ปีเท่านั้น ’
เลียมสันมีอายุถึง 74 ปี
เป็นเวลา 30 ปีแล้วที่เขากลายเป็นนักรบและในช่วงเวลานั้นเขาได้ต่อสู้มาแล้วหลายหมื่นครั้ง
เขามั่นใจว่าประสบการณ์ของเขาไม่เป็นสองรองใครและไม่เคยเลยในชีวิตเขาที่เขาได้พบกับคนเช่นนี้ที่สามารถอ่านการเคลื่อนไหวทั้งหมดของเขาได้
เขารู้สึกกระสับกระส่าย
สิ่งนี้กลายเป็นเรื่องสนุกกว่าที่เขาคาดไว้ในตอนแรก
รอยยิ้มปรากฏบนใบหน้าของ เลียมสัน
* * *
“…มันไม่สมเหตุสมผลเลย”
“…”
นิกิตาและคนอื่นๆ ที่ฝึกอยู่ในห้องโถงอดไม่ได้ที่จะอ้าปากค้างเมื่อพวกเขาเห็นการต่อสู้ที่เกิดขึ้นต่อหน้าพวกเขา
แม้ว่าพวกเขาจะอยู่ในระดับที่แตกต่างกัน แต่มันก็ต่างกันมากเกินไป
พวกเขาตระหนักดีว่านี่เป็นการต่อสู้ของจริงระหว่างผู้ที่แข็งแกร่งและพวกเขาเป็นเพียงกบในกะลามาตลอด
‘เขาตอบสนองต่อการเคลื่อนไหวดังกล่าวได้อย่างไร?’
พวกเขาไม่ใช่คนเดียวที่ประหลาดใจ
ดาร์กเอลฟ์ก็ค่อนข้างตกใจเช่นกัน
ไม่..พวกเขาแปลกใจมากกว่าพวกมนุษย์เสียอีก
"มันเป็นไปไม่ได้"
“เขาสามารถต่อสู้กับเลียมสันคนนั้น ซึ่งกำลังถูกขัดเกลาให้เป็นหัวหน้าเผ่าคนต่อไป”
“นอกเหนือจากอาจารย์ของเราแล้ว ไม่มีใครสามารถยื้อเค้าได้เกินหนึ่งนาที…”
“เขาเป็นมนุษย์จริงๆหรือ?”
ในบรรดาดาร์กเอลฟ์ทักษะของเลียมสันนั้นโดดเด่นเป็นพิเศษ
ยกเว้นคามิลล์น้องสาวของหัวหน้าคนปัจจุบันและเหล่าครูฝึก ไม่มีใครสามารถสู้กับเลียมสันได้เกินหนึ่งนาที
นี่เป็นเหตุผลว่าทำไมพวกเขาถึงไม่เชื่อเมื่อมนุษย์ซึ่งเคลื่อนไหวแปลกๆ อยู่ตรงมุมของศูนย์ฝึกเป็นครั้งคราวสามารถต่อสู้กับเขาได้อย่างเท่าเทียมกัน
คามิลล์หรี่ตา
‘ความสามารถทางกายภาพของเขานั้นแย่มาก’
เธอมั่นใจ
ชายคนนี้ร่างกายของเฟรย์ไม่มีกล้ามเนื้อที่เหมาะสมสำหรับการต่อสู้เช่นนี้
ในตอนแรกเขาบอกว่าเขาเป็นพ่อมดไม่ใช่นักรบเวทมนตร์และจากสิ่งที่เธอเห็นคามิลล์ก็รู้ว่าเขาพูดความจริง
แต่ถึงแม้จะเป็นเช่นนั้นเขาก็ยังสามารถต่อสู้ได้อย่างทัดเทียมกับเลียมสัน
"เข้าสามารถกระจายมานาได้แม่นยำอย่างไม่น่าเชื่อ"
แม้ว่าเขาจะทำเช่นนั้นได้เพราะพรสวรรค์และประสาทสัมผัสตามธรรมชาติ แต่ประสบการณ์ล่ะ?
อายุขัยเฉลี่ยของมนุษย์คือ 100 ปีและไม่ว่าจะดูยังไงอายุของเขาก็จะไม่มีทางเกิน 30 ปี
‘เขาเป็นใครกันแน่?’
การจ้องมองอย่างสงสัยของคามิลล์ไม่ละสายตาห่างจากเฟรย์เลย
* * *
เลียมสันโจมตีอย่างไม่มีที่สิ้นสุดในขณะที่เฟรย์ป้องกันหรือหลบเท่านั้น
ดูเหมือนจะเป็นการต่อสู้ที่เรียบง่ายและน่าเบื่อ แต่ทั้งสองคนต่างก็ชุ่มเหงื่อราวกับว่าทั้งคู่เพิ่งอาบน้ำมา
‘สิ่งนี้ไม่สามารถตัดสินได้ด้วยในการประลอง’
ในแง่ของความสามารถทางกายภาพเลียมสันรู้ว่าเขาได้เปรียบ
บางทีในอีกประมาณ 10 นาทีเฟรย์อาจจะเหนื่อยเกินกว่าที่จะสู้ต่อไปและเขาก็จะชนะโดยธรรมชาติ แต่เลียมสันไม่ต้องการชัยชนะเช่นนี้
เลียมสันหยุดโจมตี
จากนั้นเฟรย์ก็หยุดเคลื่อนไหวเช่นกัน
ครู่หนึ่งพวกเขาไม่พูดอะไรและเพียงแค่สบตา
เลียมสันเป็นคนทำลายความเงียบโดยพูดขึ้นมา
“นายจะอยู่ที่หอคอยอีกนานแค่ไหน?”
“อีกประมาณ 5 เดือน”
“นายจะมาที่ศูนย์ฝึกอีกไหม?”
"ก็อาจจะ"
"ดี"
ด้วยคำพูดเหล่านั้นเลียมสันจึงหันหลังและปีนขึ้นบันได
ในขณะที่ดาร์กเอลฟ์พูดคุยกันคามิลล์ก็เดินเข้ามาหาเฟรย์
“คุณมีทักษะที่ยอดเยี่ยมมาก ฉันไม่รู้ว่าคุณอยู่ในระดับเดียวกับเลียมสัน”
คามิลล์ไม่ได้ดูถูกมนุษย์ แค่มีเพียงไม่กี่คนในหมู่พวกเขาที่สามารถต่อสู้แบบหัวจรดเท้ากับเลียมสันได้
คามิลล์แสดงความชื่นชมชายที่อยู่ตรงหน้าเธออย่างหมดจด
“ในอนาคตคุณจะฝึกกับเขาเป็นครั้งคราวได้ไหม?”
“ได้หมด ฉันเองก็เริ่มเบื่อกับการออกกำลังกายตามปกติแล้ว”
“ขอบคุณ รบกวนคุณแล้วละ”
เฟรย์พยักหน้าและหันกลับมา
ในขณะนั้นต่างหูที่กระพือปีกของเขาก็ดึงดูดสายตาของคามิลล์
"อา…"
ปากของเธอเปิดออก แต่แล้วก็ปิดอย่างรวดเร็ว
เฟรย์กลับไปที่ห้องของเขาและนั่งลงบนเตียงพลางคิด
'มันเป็นการเก็บเกี่ยวประสบการณ์ที่ไม่คาดคิดที่จะได้รับโอกาสในการต่อสู้กับพวกดาร์กเอลฟ์'
โอกาสที่จะเพิ่มพูนประสบการณ์การต่อสู้จริงของเขา เขายินดีต้อนรับเสมอโดยเฉพาะอย่างยิ่งเพราะความสามารถในการต่อสู้ของเลียมสันนั้นยอดเยี่ยมมาก
หากใครสักคนต้องการอ้างว่าเขาเป็นนักรบเวทย์ เขาจะต้องมีทักษะในระดับนั้นเป็นอย่างน้อย
นี่เป็นระดับความสามารถที่เฟรย์หวังว่าจะได้เห็นจากขุนนางในสถาบันเวสต์โร้ด
แน่นอนตอนนี้เขารู้แล้วว่าความคาดหวังของเขาที่มีต่อนักเรียนในสถาบันนั้นสูงเกินไป
นอกจากนั้นยังมีข่าวดีอีก
เฟรย์หลับตาและตรวจสอบห้องมานาของเขา
นั่นคือตอนที่เขาตระหนักได้ว่า
อากาศเยือกแข็งของโฟรเซินริฟเวอะถูกละลายจนหมด
ผมของเขาเริ่มเปลี่ยนเป็นสีเทาอีกครั้งเมื่อประมาณสองสัปดาห์ก่อน มันเป็นสัญญาณที่กำลังบอกเขาอะไรสักอย่าง
ด้วยเหตุนี้ผมของเขาจึงกลายเป็นส่วนผสมที่แปลกประหลาดระหว่างสีเทาและสีขาว
“แล้วตอนนี้…”
เขาต้องย่อยหัวใจของทอร์กุนทา
เฟรย์หยิบขวดแก้วออกมาจากกระเป๋าเสื้อก่อนจะมองไปที่มัน
เขาอ่านหนังสือหลายเล่มในหอคอยด้วยความหวังว่าจะหาทางปรับแต่งให้เป็นยาอายุวัฒนะแต่เค้าไม่มีดวงเลย
แน่นอนว่าความปรารถนาในการที่เขาได้เรียนรู้นั่นเป็นที่น่าพอใจแต่ก็ยังไม่เพียงพอ
เฟรย์ออกจากห้องของเขาและมุ่งหน้าไปที่ห้องสมุดอีกครั้ง
เมื่อเขาไปถึงที่นั่นเขาก็ไปหาบรรณารักษ์ที่รับผิดชอบ
“หนังสือทั้งหมดในหอคอยเวทมนตร์ที่ 3 อยู่ในห้องสมุดนี้หรือเปล่า?”
“ไม่แน่นอน หนังสือที่หาได้ในห้องสมุดชั้นนี้คือหนังสือระดับ 3”
“ระดับ 3?”
"ใช่ หนังสือในหอคอยเวทมนตร์จะแยกออกเป็นสามระดับ ระดับ 3 สามารถหาได้ง่ายในตลาดและคนทั่วไปสามารถอ่านได้โดยไม่มีผลกระทบ ระดับ 2 สามารถอ่านได้โดยพ่อมดที่ช่วยบริจากเท่านั้น และระดับ 1 สามารถอ่านได้โดยผู้ที่ได้รับการอนุมัติจากการผ่านการทดสอบในหอคอยเวทมนตร์ที่ 3 เท่านั้น”
จากนั้นเขาก็กล่าวเสริม
“หนังสือระดับ 1 มักเรียกว่ากริมโมส”
“ฉันควรทำอย่างไรหากต้องการอ่านกริมโมส”
“ในหอคอยมีมาสเตอร์หอคอยอยู่และหัวหน้าชั้นอยู่อีก10คน ในการอ่านกริมโมส คุณต้องได้รับการอนุมัติจากหัวหน้าชั้นอย่างน้อยสามคนหรือจากรองหัวหน้าหอคอยหรือไม่ก็มาสเตอร์หอคอยคนใดคนหนึง”
จากนั้นเขาก็ดูปฏิทินก่อนที่จะพูดต่อ
“การทดสอบจะถูกจัดขึ้นทุกๆสองเดือน จะมีหัวหน้าชั้น5คนเป็นผู้ตัดสิน คุณต้องได้รับการอนุมัติจากพวกเขา ... การสอบครั้งต่อไปใกล้เข้ามาแล้วอีกเพียงสามวันเท่านั้น”
เขาหันไปมองตาของเฟรย์
"คุณต้องการที่จะเข้าสอบมั้ย?"
เฟรย์รีบพยักหน้า
* * *
สามวันผ่านไป
การทดสอบถูกกำหนดให้จัดขึ้นที่ชั้นใต้ดินของหอคอย
นี่เป็นครั้งแรกที่เฟรย์รู้ว่าหอคอยมีห้องใต้ดิน
พ่อมดและแม่มดจำนวนไม่น้อยรวมตัวกันอยู่ที่ห้องใต้ดิน แต่ละคนรวมตัวกันเป็นกลุ่มเล็กๆ สองหรือสามคน
ในหอคอยเฟรย์มักจะอยู่คนเดียวโดยไม่มีปฏิสัมพันธ์กับผู้อื่น
นิกจากแผนกต้อนรับเป็นหนึ่งในพ่อมดไม่กี่คนที่เขาเคยคุยด้วย แต่ส่วนใหญ่ไม่ก็แต่เรื่องที่จำเป็น
แน่นอนว่าพ่อมดคนอื่นๆ ไม่ได้สนใจเฟรย์
แต่ตอนนี้เขารู้แล้วว่าพวกเขาจะให้ความสำคัญกับเฟรย์มากขึ้น
“นั่นเขาเหรอ? คนที่สู้มือเปล่ากับดาร์คเอลฟ์?”
“เขาดูไม่ค่อยเหมือนในตอนแรก…”
“พูดอะไรกัน เขาเคลื่อนไหวเร็วมากจนดูไม่เหมือนมนุษย์เลยด้วยซ้ำ”
“แล้วทำไมนักรบเวทมนตร์ถึงมาเข้ารับการทดสอบละ?”
ดูเหมือนว่าพวกเขาเข้าใจผิดว่าเฟรย์เป็นนักรบเวทมนตร์
แต่เฟรย์ไม่มีเหตุผลที่จะเคลียร์ความเข้าใจผิดเขาจึงยืนเงียบๆอยู่ที่มุมๆหนึ่ง
จากนั้นก็มีคนเดินเข้ามาหาเขา
เขามองขึ้นไปและพบว่านั่นคือคามิลล์และเลียมสัน
“พวกคุณมาที่นี่เพื่อทำการทดสอบเหรอ?”
“มีกริมโมสที่ฉันอยากจะอ่านนะ”
“แล้วชายข้างๆคุณล่ะ?”
คามิลล์หัวเราะแล้วแหย่เลียมสันที่อยู่ข้างๆ
“ฉันพาเขามาเพราะเบื่อที่จะมาคนเดียว”
จากนั้นกลุ่มคนที่มาเข้าสอบก็เข้าไปในห้องใต้ดิน
เฟรย์เหลือบมองพวกเขา
ทุกคนสวมเสื้อคลุมสีขาวสะอาดและดูเหมือนจะผ่านวัยกลางคนมาแล้ว
เฟรย์ตระหนักว่าพวกเขาเป็นหัวหน้าชั้นของหอคอยที่บรรณารักษ์บอกเขาเมื่อไม่กี่วันก่อน
“มีคนเข้าสอบมากกว่าที่ฉันคาดไว้”
“มันไม่สำคัญหรอกเพราะคนที่เข้าสอบจะถูกจำนวนลงไปอย่างรวดเร็ว”
"ใช่ ฉันไม่จำเป็นต้องอธิบายมากดังนั้นเรามาเริ่มการทดสอบกันเลยดีกว่า ก่อนอื่นเราต้องกำหนดคุณสมบัติขั้นต่ำ ทุกคนร่ายลูกบอลพลังงาน”
ขณะที่เขาพูดคำเหล่านั้นลูกบอลพลังงานก็เริ่มปรากฏขึ้นที่นี่และที่นั่น
เฟรย์สร้างลูกบอลพลังงาน
สายตาของเหล่าพ่อมดหันไปหาหัวหน้าชั้นอีกครั้ง หนึ่งในนั้นพูดด้วยน้ำเสียงสงบ
“เอาละบีบอัดมันซะ”
จู่ๆใครบางคนก็ส่งเสียงดังออกมาอย่างหยาบคาย
เป็นไปได้ไหมว่าการทดสอบจะง่ายขนาดนี้?
อาจเป็นเพราะมันเหมือนกับการทดสอบในครั้งแรก ทุกๆคนจึงค่อนข้างผ่อนคลาย นี่เป็นความคิดที่พ่อมดแม่มดส่วนใหญ่มี
จากนั้นหนึ่งในหัวหน้าชั้นก็หยิบลูกปัดเล็กๆ ออกมาจากกระเป๋า ลูกปัดมีขนาดเล็กกว่าข้อนิ้ว
คนในกลุ่มอดไม่ได้ที่จะมองไปที่ลูกปัดด้วยสีหน้าสับสน แต่ผู้ที่มีไหวพริบเริ่มรู้สึกได้แทนที่จะสงสัย
“ข้อกำหนดขั้นต่ำคือทำให้มันเล็กกว่าลูกปัดนี้ ใครที่ไม่ประสบความสำเร็จโปรดกลับขึ้นไปข้างบน”
ใบหน้าของเหล่าพ่อมดแข็งกระด้าง
มันเหมือนพวกเขากำลังแบ่งปันความคิดเดียวกัน
ความยากของการทดสอบนั้นสูงมากจนไม่น่าเชื่อ