บทที่ 41 หอคอยเวทมนตร์(3)
"อา! คุณเป็นลูกตระกูลเบลคนี้เอง แถมคุณยังเป็นนักเรียนจากสถาบันเวสต์โร้ดถึงสองปีด้วย”
“ฉันลาออกจากโรงเรียนแล้วละ”
“ลาออก? แต่สถาบันเวสต์โร้ดเป็นสถาบันที่มีชื่อเสียงมากนะ แถมยังมีชื่อเสียงในด้านหลักสูตรและระบบอีกด้วย”
โดยปกติแล้วมีเพียงพ่อมดที่อายุมากกว่า 30 ปีที่สามารถดูแลตัวเองได้เท่านั้นที่จะเข้าไปในหอคอยเพราะการปฏิบัติต่อพวกเขามักจะถูกละเลย
นิกสงสัยว่าทำไมเขาถึงมาที่หอคอยเวทมนตร์ แต่เขาไม่มีความกล้าพอที่จะสอดรู้สอดเห็นมากเกินความจำเป็น
“อืม…ผมเข้าใจแล้ว คุณตั้งใจจะอยู่ที่หอนานแค่ไหน?”
“ฉันคิดว่าจะใช้เวลาประมาณครึ่งปี”
ครึ่งปี
เป็นช่วงเวลาที่ไม่ยาวเกินไปหรือสั้นเกินไป
“ค่าใช้จ่ายคือ 1 เหรียญทองสำหรับ 6 เดือน จะมีบริการอาหารสองครั้ง ในตอนเช้าและตอนเย็น และสิ่งอำนวยความสะดวกเช่นห้องสมุดหรือศูนย์ฝึกอบรมจะเปิดให้บริการฟรียกเว้นสถานที่พิเศษ”
“ราคานั้นถูกมาก!”
เป็นเรื่องปกติอยู่แล้วที่ต้องจ่ายเงินมากถึง 1 เหรียญทองเพื่อที่อยู่ในโรงแรมแค่เพียงเดือนเดียว
นั่นหมายความว่าการอยู่ที่หอคอยนั้นจะมีค่าใช้จ่ายอยู่ประมาณ 20 เหรียญเงินต่อเดือนซึ่งรวมถึงค่าใช้จ่ายในการใช้ห้องสมุดและศูนย์ฝึกอบรมด้วย
“นั่นเป็นเพราะที่นี่เป็นสถานที่แห่งการเรียนรู้ เรายินดีต้อนรับทุกคนตราบเท่าที่พวกเขามีคุณสมบัติตรงตามข้อกำหนดและมีความทุ่มเท”
“นี่เป็นสถานที่ที่ยอดเยี่ยม”
“ฮ่าฮ่า ขอบคุณ และนี่ ... คือบัตรผ่านเข้าออกสู่หอคอยเวทมนตร์”
นิกยื่นแหวนให้เฟรย์
มันเป็นแหวนเงินธรรมดาๆที่มีตัวเลขจารึกอยู่บนวง
“คุณไม่จำเป็นต้องใส่มันตลอดเวลา แต่มีค่าใช้จ่ายถึง 1 เหรียญเงินเพื่อที่รับอันใหม่ในกรณีที่คุณทำมันหาย”
"ฉันเข้าใจละ"
เฟรย์ใส่แหวนที่นิ้วของเขา
“ส่วนหมายเลขที่สลักบนวงแหวนเป็นหมายเลขห้องที่คุณจะเข้าพัก”
“มันสลักไว้ 6-13”
“นั่นหมายถึงห้องที่ 13 บนชั้น 6 คุณจะสามารถใช้งานห้องนั้นได้ในทันที เพียงแค่ใส่แหวนลงในร่องที่ประตูแล้วมันจะเปิดออก การล็อคห้องก็ทำแบบเดียวกัน”
เฟรย์ขอบคุณนิกก่อนจะเดินไปที่ห้องของเขาทันที
มันเป็นห้องเล็กๆแต่มีทุกอย่างที่เขาต้องการ
เตียงเดี่ยวโต๊ะเก้าอี้และโต๊ะสำหรับรับประทานอาหาร
เฟรย์รู้สึกว่าพวกเขาใช้พื้นที่แคบๆ นี้ได้อย่างคุ้มค่า เหนือสิ่งอื่นใดเขาชอบความจริงที่ว่ามันมีหน้าต่าง
เขาอยู่ในระดับความสูงที่พอดีเพื่อให้มองเห็นวิวภายนอกได้ชัดเจนและวิวจุดนี่ก็ช่างสวยงามมาก
เฟรย์แขวนเสื้อคลุมไว้ที่เก้าอี้อย่างลวกๆ จากนั้นเขาก็นั่งบนเตียงและเริ่มครุ่นคิดถึงแผนการในอนาคตของเขา
‘วัตถุประสงค์แรกคือการย่อยโฟรเซินริฟเวอะให้หมด ในการทำเช่นนั้นเค้าจะต้องเปลียนให้หัวใจของทอร์กุนทากลายเป็นยาอายุวัฒนะเสียก่อน '
เฟรย์หยิบขวดแก้วจากกระเป๋าของเขา
ภายในขวดนี้มีหัวใจที่ถูกบีบอัดของราชาเดรกทอร์กุนทาซึ่งส่องแสงสีแดงสดคล้ายกับแมกม่า
'จริงๆแล้วมันจะได้ผลถ้าฉันหากจะดื่มมันเข้าไปในตอนนี่ แต่ ... '
เฟรย์ต้องการให้ได้รับผลสูงสุด
หัวใจของทอร์กุนทาจะช่วยเพิ่มพลังมากขึ้นหากสามารถย่อยมันได้อย่างสมบูรณ์แบบ
'เมื่อพูดถึงเวทย์มนตร์ไฟและน้ำพลังของมันก็เทียบเท่าได้กับสิ่งมีชิวิตเหนือมนุษย์'
และนั่นจะเป็นตัวช่วยที่ดีสำหรับเขาในการต่อสู้กับเหล่าเดมิก็อด
ในการทำยาอายุวัฒนะให้ดีที่สุดเขาต้องมีส่วนผสมที่ดีที่สุดสูตรที่ดีที่สุดและผู้ผลิตที่ดีที่สุด
เฟรย์ไม่ใช่คนที่ไม่มีความรู้ในการทำอายุวัฒนะ
แม้ว่าเขาจะมีความรู้ในระดับสูง แต่เขาก็ยังคิดว่ามันไม่เพียงพอ
“ฉันต้องไปหาอ่านหนังสือในห้องสมุด”
ห้องสมุดของหอคอยเวทย์มนต์ที่ 3!
นี่เป็นเหตุผลที่เขามาที่นี่
เฟรย์ออกจากห้องทันทีเพื่อค้นหาห้องสมุด
…
ดังที่เชพเพิร์ดได้บอกเขาห้องสมุดในหอคอยเวทมนตร์ที่ 3 นั้นมีขนาดใหญ่มาก
เขาได้รับแจ้งว่ามีหนังสือหลายล้านเล่มถูกเก็บไว้ในสถานที่แห่งนี้
นอกจากนี้ยังถูกจัดเรียงตามหมวดหมู่ได้ดีดังนั้นจึงไม่ยากที่จะหาหนังสือที่เขาต้องการ
หลังจากมองไปรอบๆห้องสมุดแล้ว เฟรย์ก็กลับไปที่ห้องของเขาและคิดว่าจะใช้ชีวิตต่อยังไงดี
ในตอนเช้าเขามุ่งเน้นไปที่การย่อยพลังของโฟรเซินริฟเวอะ การทำสมาธิยังเป็นรูปแบบหนึ่งของการฝึกของพ่อมดที่สำคัญที่สุด
เฟรย์ตระหนักว่าหอคอยเวทมนตร์ถูกสร้างขึ้นด้วยเส้นเลือดมานา
แต่นั่นไม่ใช่ทั้งหมด
อิฐทุกก้อนในหอคอยถูกแกะสลักโดยช่างฝีมือชั้นหนึ่งเพื่อให้สมาธิของคนๆหนึ่งเพิ่มขึ้นอย่างเห็นได้ชัด ขอเพียงแค่อยู่ในหอคอย
ห้องที่ได้รับมอบหมายนั้นติดตั้งฉนวนป้องกันเสียงรบกวนอย่างสมบูรณ์และผ้าม่านสามารถปิดกั้นแสงทั้งหมดซึ่งทำให้เป็นสถานที่ที่เหมาะสำหรับการนั่งทำสมาธิ
ตอนบ่ายก็ออกกำลังกาย
หลังจากรับประทานอาหารกลางวันแล้วคนเรามักจะเหนื่อยง่ายเนื่องจากความอิ่มจึงเป็นช่วงเวลาที่ไม่สามารถโฟกัสได้
ดังนั้นสำหรับผู้ที่ให้ความสำคัญกับประสิทธิภาพอย่างเฟรย์ ช่วงบ่ายจึงเป็นเวลาที่ดีที่สุดในการออกกำลังกาย
ร่างกายของเขาที่ได้รับความเสียหายจากการโดนตะลุมบอนในเทือกเขาอิสปาเนียจะกลับคืนสู่สภาพเดิม ไม่สิเขาจะทำให้มันดีขึ้นกว่าเดิมด้วยซ้ำ
จิตใจที่มีสุขภาพดีย่อมอยู่ใจร่างกายที่มีสุขภาพแข็งแรง
เฟรย์รู้ดีว่าวลีนี้เป็นที่ใช้กันอย่างแพร่หลายแต่มันก็เป็นความจริง
การดำเนินชีวิตตามปกติ การรับประทานอาหารที่สมดุลและการออกกำลังกายอย่างสม่ำเสมอ
ตราบเท่าที่สามสิ่งนี้รวมเข้าด้วยกันอย่างเหมาะสมสภาพร่างกายของเขาก็จะดีขึ้นอย่างรวดเร็ว
หอคอยแห่งนี้ยังมีศูนย์ฝึกที่เหล่านักรบเวทย์มนตร์ฝึกฝนร่างกายและฝึกฝนศิลปะการต่อสู้
จากนั้นเขาก็ขังตัวเองในห้องสมุดในช่วงเย็นเพราะมันเปิดตลอด 24 ชั่วโมง
ด้วยเหตุนี้เฟรย์จึงสามารถมีสมาธิในการอ่านหนังสือจนกระทั่งร่างกายของเขาบังคับให้เขาเข้านอน
เฟรย์ตระหนักว่าเขาค่อนข้างชอบชีวิตของเขาในหอคอยเวทมนตร์
พฤติกรรมที่เป็นอิสระในปัจจุบันของเขาเหมาะกับรสนิยมของเขามากกว่าสมัยที่เขาอยู่ในสถาบันการศึกษาที่เขาถูกตารางเวลาล๊อกเอาไว้
และเช่นนั้น
เวลาก็ได้ผ่านไป
“ฉันแพ้แล้ว”
“ฮึ่ม…”
เลียมสันตะคอกและหดกำปั้นของเขา
ผู้ชายที่อยู่ตรงหน้าเขานิกิตาก้มหน้าลงพร้อมกับสีหน้าเศร้าๆ
‘เขาเป็นสัตว์ประหลาดชัดๆ’
นิกิตาเป็นนักรบเวทย์มนต์และเขาก็มีความภาคภูมิใจในทักษะที่ไม่ได้เลวร้ายเกินไปเลย
แม้ว่าเขาจะไม่สามารถเข้าไปในหอคอยเวทย์มนตร์ที่ 4 ซึ่งถือเป็นดินแดนศักดิ์สิทธิ์สำหรับนักรบเวทมนตร์ได้ก็จริง แต่เขาก็ยังถือว่าตัวเองเป็น 1 ใน 5 อันดับแรกของหอคอยเวทมนตร์ที่ 3
จากนั้นเขาก็ได้ยินมาว่าดาร์กเอลฟ์มาพักอาศัยอยู่ในหอคอย
ดาร์กเอลฟ์มีชื่อเสียงในเรื่องของการเป็นนักรบผู้ยิ่งใหญ่จากป่ามากกว่าสายพันธุ์ที่รักป่าและอ่อนโยน แต่นักรบเวทย์มนต์กลับมีความรู้สึกว่าพวกเขาอยู่เหนือกว่าพวกดาร์กเอลฟ์เสมอ
จากนั้นหนึ่งในดาร์กเอลฟ์ก็เข้ามาหาเขา
"มาสู้กัน"
“…!”
เขาพูดด้วยน้ำเสียงที่หยาบคายมาก
อย่างไรก็ตามคำพูดของเขาได้ปลุกความรู้สึกที่พวกเขานั้นอยู่เหนือกว่านิกิตา
ดังนั้นนิกิตาจึงรับคำท้า
แต่เขาแพ้
แพ้อย่างราบคราบ
‘ฉันสัมผัสไม่โดนตัวเขาเลยด้วยซ้ำ…’
มันไม่ถือเป็นการต่อสู้เลยด้วยซ้ำ
ทันทีที่มันเริ่มขึ้นเขาก็รู้สึกเจ็บแปลบในช่องท้อง จากนั้นก่อนที่เขาจะได้รับโอกาสในการตอบสนอง ร่างกายของเขาก็ถูกส่งลงไปนอนที่พื้น
นิกิตาไม่รู้สึกขุ่นเคืองหรือขายหน้าจากการพ่ายแพ้ เพราะพวกเขาอยู่ในระดับที่แตกต่างกันอย่างสิ้นเชิง
เขามองพวกเอลฟ์ด้วยสายตาที่เคารพแต่เลียมสันกำลังมองไปที่อื่นแล้วราวกับว่าเขาไม่ได้สนใจในตัวนิกิตาอีกต่อไป
และดวงตาของนิกิตาดูเหมือนจะเต็มไปด้วยความอยากรู้อยากเห็น
ดังนั้นโดยธรรมชาตินิกิตาก็หันไปมองสิ่งเดียวกันกับที่เลียมสันกำลังมอง
‘ผู้ชายคนนั้น…’
นั่นไม่ใช่เด็กเนิร์ดที่มาที่นานๆครั้งจะมาที่ศูนย์ฝึกอบรมหรือ? และมักจะอยู่ในห้องสมุดเกือบตลอดเวลาหรือเปล่า?
เขาจำเฟรย์ได้อย่างชัดเจนเพราะผมของเขาซึ่งเป็นเหมือนส่วนผสมของสีเทาและสีขาว
‘ทำไมเลียมสันถึงมองเขาล่ะ?’
แม้แต่นิกิตาก็ไม่ได้เคยสนใจเฟรย์เลยสักนิด
ตอนแรกเขาสังเกตเห็นเฟรย์เพราะพฤติกรรมแปลกๆ ที่เขาไม่เคยเห็นมาก่อน แต่การกระทำของเฟรย์ดูเหมือนจะไม่มีจุดประสงค์ที่แท้จริง
เมื่อเลียมสันเดินเข้ามาใกล้ชายคนนั้นนิกิตาก็นึกถึงชื่อของเขา
‘เฟ…เฟรย์เหรอ?’
“นายเป็นนักรบเวทมนตร์ด้วยหรือเปล่า?”
เฟรย์หยุดเคลื่อนไหวและมองไปที่เลียมสัน
เขาสวมเสื้อโค้ทตัวบางซึ่งแตกต่างจากเสื้อผ้าของเขาเมื่อเดือนก่อนมาก มันแสดงให้เห็นร่างกายของเขาที่เต็มไปด้วยกล้ามเนื้อ
แม้แต่แก้มของเขาก็ไม่ได้ดูผอมเหมือนเมื่อก่อน
“ไม่ ฉันเป็นพ่อมดนะ”
“พ่อมดแบบไหนกันที่เคลื่อนไหวแบบนั้นได้…”
เลียมสันที่ครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่งก็ยิ้มออกมา
“เจ้ามนุษย์”
“ฉันชื่อว่าเฟรย์”
มันเป็นการสนทนาซ้ำของพวกเขาเมื่อเดือนที่แล้ว
เลียมสันพยักหน้า
“ได้เลยเฟรย์ มาสู้กับฉัน”
"อะไรนะ?"
“ไม่...มันต้องไม่เรียกว่าสู้สิ…”
เลียมสันดูหงุดหงิดเล็กน้อยเพราะไม่สามารถหาคำพูดที่เหมาะสมได้
จากนั้นเขาก็ได้ยินเสียงจากด้านซ้ายของเขา
“ประลอง”
"อา ใช่นั่นแหละ"
เป็นผู้หญิงคนเดียวในกลุ่มของเอลฟ์ที่ตะโกนออกมา
เธอเดินเข้ามาหาด้วยสีหน้าเรียบเฉยก่อนจะมองเฟรย์
“ฉัน...คามิลล์”
“เฟรย์”
“คุณสามารถเพิกเฉยต่อคำขอของไอ้งี่เง่านั้นได้นะ”
คำพูดของเธอทำให้เลียมสันโกรธเล็กน้อย
“ผมไม่ใช่คนงี่เง่านะอาจารย์ อาจารย์ไม่เห็นเหรอว่าชายคนนี้เคลื่อนไหวอย่างไร เขาต้องเป็นนักรบ..”
มันเป็นภาษาเอลฟ์
แน่นอนว่าเมื่อพวกเขาพูดคุยกันพวกเขาจะใช้ภาษาที่พวกเขาคุ้นเคยมากกว่า
นอกจากนั้น ผู้หญิงคนนี้ยังเป็นอาจารย์ของเขา
ไม่มีอะไรยากไปกว่าการพยายามเดาอายุของเอลฟ์ ทั้งคามิลล์และเลียมสันดูเหมือนอายุ 20 ปีเท่านั้น
ตาของคามิลล์เย็นชา
“แกนี้ยังไม่ยอมแก้ไขนิสัยการชอบท้าดวลกับพวกนักรบเลยนะ”
“ตะ- แต่…”
“แกควรถามความคิดเห็นของอีกฝ่ายอย่างเหมาะสมก่อน มีหลายครั้งที่นักรบถูกควบคุมโดยความเชื่อของตนเองมากกว่าสมอง”
“…”
เลียมสันก้มหัวให้กับคำพูดเหล่านั้น
จากนั้นเฟรย์ก็พูด
“ฉันไม่ว่าอะไรหรอกถ้าหากมันเป็นเพียงการประลอง”
เอลฟ์ทั้งสองหันมามองเขาด้วยความประหลาดใจ พวกเขาไม่คิดว่าจะมีใครเข้าใจบทสนทนาของพวกเขา
แม้แต่คามิลล์ที่ไม่เคยแสดงสีหน้าออกมาจนถึงตอนนี้ก็ยังไม่สามารถซ่อนสีหน้าประหลาดใจของเธอได้
“…คุณรู้วิธีพูดภาษาเอลฟ์ด้วยหรือ?”
เฟรย์พยักหน้า
"ก็...นิดหน่อย"