ตอนที่แล้วบทที่ 40 หอคอยเวทมนตร์(2)
ทั้งหมดรายชื่อตอน
ตอนถัดไปบทที่ 42 หอคอยเวทมนตร์(4)

บทที่ 41 หอคอยเวทมนตร์(3)


"อา! คุณเป็นลูกตระกูลเบลคนี้เอง แถมคุณยังเป็นนักเรียนจากสถาบันเวสต์โร้ดถึงสองปีด้วย”

“ฉันลาออกจากโรงเรียนแล้วละ”

“ลาออก? แต่สถาบันเวสต์โร้ดเป็นสถาบันที่มีชื่อเสียงมากนะ แถมยังมีชื่อเสียงในด้านหลักสูตรและระบบอีกด้วย”

โดยปกติแล้วมีเพียงพ่อมดที่อายุมากกว่า 30 ปีที่สามารถดูแลตัวเองได้เท่านั้นที่จะเข้าไปในหอคอยเพราะการปฏิบัติต่อพวกเขามักจะถูกละเลย

นิกสงสัยว่าทำไมเขาถึงมาที่หอคอยเวทมนตร์ แต่เขาไม่มีความกล้าพอที่จะสอดรู้สอดเห็นมากเกินความจำเป็น

“อืม…ผมเข้าใจแล้ว คุณตั้งใจจะอยู่ที่หอนานแค่ไหน?”

“ฉันคิดว่าจะใช้เวลาประมาณครึ่งปี”

ครึ่งปี

เป็นช่วงเวลาที่ไม่ยาวเกินไปหรือสั้นเกินไป

“ค่าใช้จ่ายคือ 1 เหรียญทองสำหรับ 6 เดือน จะมีบริการอาหารสองครั้ง ในตอนเช้าและตอนเย็น และสิ่งอำนวยความสะดวกเช่นห้องสมุดหรือศูนย์ฝึกอบรมจะเปิดให้บริการฟรียกเว้นสถานที่พิเศษ”

“ราคานั้นถูกมาก!”

เป็นเรื่องปกติอยู่แล้วที่ต้องจ่ายเงินมากถึง 1 เหรียญทองเพื่อที่อยู่ในโรงแรมแค่เพียงเดือนเดียว

นั่นหมายความว่าการอยู่ที่หอคอยนั้นจะมีค่าใช้จ่ายอยู่ประมาณ 20 เหรียญเงินต่อเดือนซึ่งรวมถึงค่าใช้จ่ายในการใช้ห้องสมุดและศูนย์ฝึกอบรมด้วย

“นั่นเป็นเพราะที่นี่เป็นสถานที่แห่งการเรียนรู้ เรายินดีต้อนรับทุกคนตราบเท่าที่พวกเขามีคุณสมบัติตรงตามข้อกำหนดและมีความทุ่มเท”

“นี่เป็นสถานที่ที่ยอดเยี่ยม”

“ฮ่าฮ่า ขอบคุณ และนี่ ... คือบัตรผ่านเข้าออกสู่หอคอยเวทมนตร์”

นิกยื่นแหวนให้เฟรย์

มันเป็นแหวนเงินธรรมดาๆที่มีตัวเลขจารึกอยู่บนวง

“คุณไม่จำเป็นต้องใส่มันตลอดเวลา แต่มีค่าใช้จ่ายถึง 1 เหรียญเงินเพื่อที่รับอันใหม่ในกรณีที่คุณทำมันหาย”

"ฉันเข้าใจละ"

เฟรย์ใส่แหวนที่นิ้วของเขา

“ส่วนหมายเลขที่สลักบนวงแหวนเป็นหมายเลขห้องที่คุณจะเข้าพัก”

“มันสลักไว้ 6-13”

“นั่นหมายถึงห้องที่ 13 บนชั้น 6 คุณจะสามารถใช้งานห้องนั้นได้ในทันที เพียงแค่ใส่แหวนลงในร่องที่ประตูแล้วมันจะเปิดออก การล็อคห้องก็ทำแบบเดียวกัน”

เฟรย์ขอบคุณนิกก่อนจะเดินไปที่ห้องของเขาทันที

มันเป็นห้องเล็กๆแต่มีทุกอย่างที่เขาต้องการ

เตียงเดี่ยวโต๊ะเก้าอี้และโต๊ะสำหรับรับประทานอาหาร

เฟรย์รู้สึกว่าพวกเขาใช้พื้นที่แคบๆ นี้ได้อย่างคุ้มค่า เหนือสิ่งอื่นใดเขาชอบความจริงที่ว่ามันมีหน้าต่าง

เขาอยู่ในระดับความสูงที่พอดีเพื่อให้มองเห็นวิวภายนอกได้ชัดเจนและวิวจุดนี่ก็ช่างสวยงามมาก

เฟรย์แขวนเสื้อคลุมไว้ที่เก้าอี้อย่างลวกๆ จากนั้นเขาก็นั่งบนเตียงและเริ่มครุ่นคิดถึงแผนการในอนาคตของเขา

‘วัตถุประสงค์แรกคือการย่อยโฟรเซินริฟเวอะให้หมด ในการทำเช่นนั้นเค้าจะต้องเปลียนให้หัวใจของทอร์กุนทากลายเป็นยาอายุวัฒนะเสียก่อน '

เฟรย์หยิบขวดแก้วจากกระเป๋าของเขา

ภายในขวดนี้มีหัวใจที่ถูกบีบอัดของราชาเดรกทอร์กุนทาซึ่งส่องแสงสีแดงสดคล้ายกับแมกม่า

'จริงๆแล้วมันจะได้ผลถ้าฉันหากจะดื่มมันเข้าไปในตอนนี่ แต่ ... '

เฟรย์ต้องการให้ได้รับผลสูงสุด

หัวใจของทอร์กุนทาจะช่วยเพิ่มพลังมากขึ้นหากสามารถย่อยมันได้อย่างสมบูรณ์แบบ

'เมื่อพูดถึงเวทย์มนตร์ไฟและน้ำพลังของมันก็เทียบเท่าได้กับสิ่งมีชิวิตเหนือมนุษย์'

และนั่นจะเป็นตัวช่วยที่ดีสำหรับเขาในการต่อสู้กับเหล่าเดมิก็อด

ในการทำยาอายุวัฒนะให้ดีที่สุดเขาต้องมีส่วนผสมที่ดีที่สุดสูตรที่ดีที่สุดและผู้ผลิตที่ดีที่สุด

เฟรย์ไม่ใช่คนที่ไม่มีความรู้ในการทำอายุวัฒนะ

แม้ว่าเขาจะมีความรู้ในระดับสูง แต่เขาก็ยังคิดว่ามันไม่เพียงพอ

“ฉันต้องไปหาอ่านหนังสือในห้องสมุด”

ห้องสมุดของหอคอยเวทย์มนต์ที่ 3!

นี่เป็นเหตุผลที่เขามาที่นี่

เฟรย์ออกจากห้องทันทีเพื่อค้นหาห้องสมุด

ดังที่เชพเพิร์ดได้บอกเขาห้องสมุดในหอคอยเวทมนตร์ที่ 3 นั้นมีขนาดใหญ่มาก

เขาได้รับแจ้งว่ามีหนังสือหลายล้านเล่มถูกเก็บไว้ในสถานที่แห่งนี้

นอกจากนี้ยังถูกจัดเรียงตามหมวดหมู่ได้ดีดังนั้นจึงไม่ยากที่จะหาหนังสือที่เขาต้องการ

หลังจากมองไปรอบๆห้องสมุดแล้ว เฟรย์ก็กลับไปที่ห้องของเขาและคิดว่าจะใช้ชีวิตต่อยังไงดี

ในตอนเช้าเขามุ่งเน้นไปที่การย่อยพลังของโฟรเซินริฟเวอะ การทำสมาธิยังเป็นรูปแบบหนึ่งของการฝึกของพ่อมดที่สำคัญที่สุด

เฟรย์ตระหนักว่าหอคอยเวทมนตร์ถูกสร้างขึ้นด้วยเส้นเลือดมานา

แต่นั่นไม่ใช่ทั้งหมด

อิฐทุกก้อนในหอคอยถูกแกะสลักโดยช่างฝีมือชั้นหนึ่งเพื่อให้สมาธิของคนๆหนึ่งเพิ่มขึ้นอย่างเห็นได้ชัด ขอเพียงแค่อยู่ในหอคอย

ห้องที่ได้รับมอบหมายนั้นติดตั้งฉนวนป้องกันเสียงรบกวนอย่างสมบูรณ์และผ้าม่านสามารถปิดกั้นแสงทั้งหมดซึ่งทำให้เป็นสถานที่ที่เหมาะสำหรับการนั่งทำสมาธิ

ตอนบ่ายก็ออกกำลังกาย

หลังจากรับประทานอาหารกลางวันแล้วคนเรามักจะเหนื่อยง่ายเนื่องจากความอิ่มจึงเป็นช่วงเวลาที่ไม่สามารถโฟกัสได้

ดังนั้นสำหรับผู้ที่ให้ความสำคัญกับประสิทธิภาพอย่างเฟรย์ ช่วงบ่ายจึงเป็นเวลาที่ดีที่สุดในการออกกำลังกาย

ร่างกายของเขาที่ได้รับความเสียหายจากการโดนตะลุมบอนในเทือกเขาอิสปาเนียจะกลับคืนสู่สภาพเดิม ไม่สิเขาจะทำให้มันดีขึ้นกว่าเดิมด้วยซ้ำ

จิตใจที่มีสุขภาพดีย่อมอยู่ใจร่างกายที่มีสุขภาพแข็งแรง

เฟรย์รู้ดีว่าวลีนี้เป็นที่ใช้กันอย่างแพร่หลายแต่มันก็เป็นความจริง

การดำเนินชีวิตตามปกติ การรับประทานอาหารที่สมดุลและการออกกำลังกายอย่างสม่ำเสมอ

ตราบเท่าที่สามสิ่งนี้รวมเข้าด้วยกันอย่างเหมาะสมสภาพร่างกายของเขาก็จะดีขึ้นอย่างรวดเร็ว

หอคอยแห่งนี้ยังมีศูนย์ฝึกที่เหล่านักรบเวทย์มนตร์ฝึกฝนร่างกายและฝึกฝนศิลปะการต่อสู้

จากนั้นเขาก็ขังตัวเองในห้องสมุดในช่วงเย็นเพราะมันเปิดตลอด 24 ชั่วโมง

ด้วยเหตุนี้เฟรย์จึงสามารถมีสมาธิในการอ่านหนังสือจนกระทั่งร่างกายของเขาบังคับให้เขาเข้านอน

เฟรย์ตระหนักว่าเขาค่อนข้างชอบชีวิตของเขาในหอคอยเวทมนตร์

พฤติกรรมที่เป็นอิสระในปัจจุบันของเขาเหมาะกับรสนิยมของเขามากกว่าสมัยที่เขาอยู่ในสถาบันการศึกษาที่เขาถูกตารางเวลาล๊อกเอาไว้

และเช่นนั้น

เวลาก็ได้ผ่านไป

“ฉันแพ้แล้ว”

“ฮึ่ม…”

เลียมสันตะคอกและหดกำปั้นของเขา

ผู้ชายที่อยู่ตรงหน้าเขานิกิตาก้มหน้าลงพร้อมกับสีหน้าเศร้าๆ

‘เขาเป็นสัตว์ประหลาดชัดๆ’

นิกิตาเป็นนักรบเวทย์มนต์และเขาก็มีความภาคภูมิใจในทักษะที่ไม่ได้เลวร้ายเกินไปเลย

แม้ว่าเขาจะไม่สามารถเข้าไปในหอคอยเวทย์มนตร์ที่ 4 ซึ่งถือเป็นดินแดนศักดิ์สิทธิ์สำหรับนักรบเวทมนตร์ได้ก็จริง แต่เขาก็ยังถือว่าตัวเองเป็น 1 ใน 5 อันดับแรกของหอคอยเวทมนตร์ที่ 3

จากนั้นเขาก็ได้ยินมาว่าดาร์กเอลฟ์มาพักอาศัยอยู่ในหอคอย

ดาร์กเอลฟ์มีชื่อเสียงในเรื่องของการเป็นนักรบผู้ยิ่งใหญ่จากป่ามากกว่าสายพันธุ์ที่รักป่าและอ่อนโยน แต่นักรบเวทย์มนต์กลับมีความรู้สึกว่าพวกเขาอยู่เหนือกว่าพวกดาร์กเอลฟ์เสมอ

จากนั้นหนึ่งในดาร์กเอลฟ์ก็เข้ามาหาเขา

"มาสู้กัน"

“…!”

เขาพูดด้วยน้ำเสียงที่หยาบคายมาก

อย่างไรก็ตามคำพูดของเขาได้ปลุกความรู้สึกที่พวกเขานั้นอยู่เหนือกว่านิกิตา

ดังนั้นนิกิตาจึงรับคำท้า

แต่เขาแพ้

แพ้อย่างราบคราบ

‘ฉันสัมผัสไม่โดนตัวเขาเลยด้วยซ้ำ…’

มันไม่ถือเป็นการต่อสู้เลยด้วยซ้ำ

ทันทีที่มันเริ่มขึ้นเขาก็รู้สึกเจ็บแปลบในช่องท้อง จากนั้นก่อนที่เขาจะได้รับโอกาสในการตอบสนอง ร่างกายของเขาก็ถูกส่งลงไปนอนที่พื้น

นิกิตาไม่รู้สึกขุ่นเคืองหรือขายหน้าจากการพ่ายแพ้ เพราะพวกเขาอยู่ในระดับที่แตกต่างกันอย่างสิ้นเชิง

เขามองพวกเอลฟ์ด้วยสายตาที่เคารพแต่เลียมสันกำลังมองไปที่อื่นแล้วราวกับว่าเขาไม่ได้สนใจในตัวนิกิตาอีกต่อไป

และดวงตาของนิกิตาดูเหมือนจะเต็มไปด้วยความอยากรู้อยากเห็น

ดังนั้นโดยธรรมชาตินิกิตาก็หันไปมองสิ่งเดียวกันกับที่เลียมสันกำลังมอง

‘ผู้ชายคนนั้น…’

นั่นไม่ใช่เด็กเนิร์ดที่มาที่นานๆครั้งจะมาที่ศูนย์ฝึกอบรมหรือ? และมักจะอยู่ในห้องสมุดเกือบตลอดเวลาหรือเปล่า?

เขาจำเฟรย์ได้อย่างชัดเจนเพราะผมของเขาซึ่งเป็นเหมือนส่วนผสมของสีเทาและสีขาว

‘ทำไมเลียมสันถึงมองเขาล่ะ?’

แม้แต่นิกิตาก็ไม่ได้เคยสนใจเฟรย์เลยสักนิด

ตอนแรกเขาสังเกตเห็นเฟรย์เพราะพฤติกรรมแปลกๆ ที่เขาไม่เคยเห็นมาก่อน แต่การกระทำของเฟรย์ดูเหมือนจะไม่มีจุดประสงค์ที่แท้จริง

เมื่อเลียมสันเดินเข้ามาใกล้ชายคนนั้นนิกิตาก็นึกถึงชื่อของเขา

‘เฟ…เฟรย์เหรอ?’

“นายเป็นนักรบเวทมนตร์ด้วยหรือเปล่า?”

เฟรย์หยุดเคลื่อนไหวและมองไปที่เลียมสัน

เขาสวมเสื้อโค้ทตัวบางซึ่งแตกต่างจากเสื้อผ้าของเขาเมื่อเดือนก่อนมาก มันแสดงให้เห็นร่างกายของเขาที่เต็มไปด้วยกล้ามเนื้อ

แม้แต่แก้มของเขาก็ไม่ได้ดูผอมเหมือนเมื่อก่อน

“ไม่ ฉันเป็นพ่อมดนะ”

“พ่อมดแบบไหนกันที่เคลื่อนไหวแบบนั้นได้…”

เลียมสันที่ครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่งก็ยิ้มออกมา

“เจ้ามนุษย์”

“ฉันชื่อว่าเฟรย์”

มันเป็นการสนทนาซ้ำของพวกเขาเมื่อเดือนที่แล้ว

เลียมสันพยักหน้า

“ได้เลยเฟรย์ มาสู้กับฉัน”

"อะไรนะ?"

“ไม่...มันต้องไม่เรียกว่าสู้สิ…”

เลียมสันดูหงุดหงิดเล็กน้อยเพราะไม่สามารถหาคำพูดที่เหมาะสมได้

จากนั้นเขาก็ได้ยินเสียงจากด้านซ้ายของเขา

“ประลอง”

"อา ใช่นั่นแหละ"

เป็นผู้หญิงคนเดียวในกลุ่มของเอลฟ์ที่ตะโกนออกมา

เธอเดินเข้ามาหาด้วยสีหน้าเรียบเฉยก่อนจะมองเฟรย์

“ฉัน...คามิลล์”

“เฟรย์”

“คุณสามารถเพิกเฉยต่อคำขอของไอ้งี่เง่านั้นได้นะ”

คำพูดของเธอทำให้เลียมสันโกรธเล็กน้อย

“ผมไม่ใช่คนงี่เง่านะอาจารย์ อาจารย์ไม่เห็นเหรอว่าชายคนนี้เคลื่อนไหวอย่างไร เขาต้องเป็นนักรบ..”

มันเป็นภาษาเอลฟ์

แน่นอนว่าเมื่อพวกเขาพูดคุยกันพวกเขาจะใช้ภาษาที่พวกเขาคุ้นเคยมากกว่า

นอกจากนั้น ผู้หญิงคนนี้ยังเป็นอาจารย์ของเขา

ไม่มีอะไรยากไปกว่าการพยายามเดาอายุของเอลฟ์ ทั้งคามิลล์และเลียมสันดูเหมือนอายุ 20 ปีเท่านั้น

ตาของคามิลล์เย็นชา

“แกนี้ยังไม่ยอมแก้ไขนิสัยการชอบท้าดวลกับพวกนักรบเลยนะ”

“ตะ- แต่…”

“แกควรถามความคิดเห็นของอีกฝ่ายอย่างเหมาะสมก่อน มีหลายครั้งที่นักรบถูกควบคุมโดยความเชื่อของตนเองมากกว่าสมอง”

“…”

เลียมสันก้มหัวให้กับคำพูดเหล่านั้น

จากนั้นเฟรย์ก็พูด

“ฉันไม่ว่าอะไรหรอกถ้าหากมันเป็นเพียงการประลอง”

เอลฟ์ทั้งสองหันมามองเขาด้วยความประหลาดใจ พวกเขาไม่คิดว่าจะมีใครเข้าใจบทสนทนาของพวกเขา

แม้แต่คามิลล์ที่ไม่เคยแสดงสีหน้าออกมาจนถึงตอนนี้ก็ยังไม่สามารถซ่อนสีหน้าประหลาดใจของเธอได้

“…คุณรู้วิธีพูดภาษาเอลฟ์ด้วยหรือ?”

เฟรย์พยักหน้า

"ก็...นิดหน่อย"

0 0 โหวต
Article Rating
0 Comments
Inline Feedbacks
ดูความคิดเห็นทั้งหมด