ตอนที่ 2 - ตาสีแดงก่ำ (2)
*ก่อนจะอ่านนิยาย โปรดตรวจสอบว่าท่านได้อยู่ในสถานที่ที่มีแสงเพียงพอ หรือถ้าท่านอ่านในความมืดก็อย่าลืมเปิด Night Mode หรือจอส้ม เพื่อป้องกันการปวดหัวและสายตาสั้นด้วยนะครับ*
--------------------------------------------------------------------------------------------
หลังจากเดินผ่านมา5-6 ซอยแล้ว แขนของเธอก็เริ่มสั่นเบาๆเพราะถือหนังสือหนักมาได้พักนึงแล้ว. เธอกัดปากแล้วถอนหายใจยาวๆจากนั้นก็เอาหนังสือพาดไว้ที่บ่า.
พอหนังสือพาดอยู่ที่บ่าของเธอ แขนเสื้อของเธอก็ค่อยๆหลุดลงจนผิวขาวๆกระทบกับแสงแดดจ้า.
“ท่านหญิงครับ?” มีคนเรียกเธอจากด้านหลัง.
เอมิเลียถอนหายใจออกมาแล้วเอาหนังสือมาถือไว้ในมืออีกครั้ง. เธอหันหลังมาเห็นอัศวินคนหนึ่งที่กำลังมองเธออยู่ “ท่านคือ?” เธอถาม.
“ท่านหญิงครับ กระผมคือหนึ่งในอัศวินจากทีมลาดตระเวน. ที่นี่ไม่ปลอดภัยโปรดให้กระผมไปส่งท่านเถอะครับ” เขากล่าวน้ำเสียงดูหนุ่มแน่นมาก.
“ไม่เป็นไร ชั้นไปคนเดียวได้” เอมิเลียยิ้มแล้วปฏิเสธเขาอย่างสุภาพ.
ไม่มีทางที่เธอจะให้คนไปส่งเธอแน่ ไม่ใช่ตอนที่มีดาร์คเอล์ฟอยู่ในมือเธอแบบนี้. เธอจะวางหนังสือลงได้ยังไงถ้ามีคนเดินตามหลังติดๆแบบนี้?
“กระผมขอยืนกรานครับท่านหญิง. นี่เป็นคำสั่งจากท่านหัวหน้าอัศวินครับ” อัศวินพูดอย่างแน่วแน่ ไม่ให้เธอต่อปากเลย.
หัวหน้าอัศวินเป็นห่วงว่าจะทิ้งเอมิเลียไว้คนเดียวที่ถนน โดยเฉพาะเมื่อมีเวทย์มนต์ดำเพิ่งถูกร่ายขึ้น. ถ้ามีอะไรเกิดขึ้นกับเธอระหว่างที่กลุ่มลาดตระเวนออกตรวจตราอยู่ล่ะก็ หัวหน้าอัศวินคงจบไม่สวยแน่ เขาอาจจะโดนประหารเพราะล้มเหลวในการปกป้องเซ้นต์ได้เลย.
ไม่ว่าชาวเมืองกี่พันคนจะตาย ขอแค่เซ้นต์ปลอดภัยก็พอแล้ว.
หัวใจเธอเต้นรัวขึ้นเพราะคำพูดดื้อดึงของอัศวิน. เธอถือหนังสือไว้อีกมือนึง ส่วนอีกมือนั้นก็สะบัดให้อัศวินแล้วบอกว่า “ไม่ต้องห่วงน่า ไม่เป็นไรหรอก”
แต่ทว่าอัศวินคนนั้นก็ยืนกรานในคำพูดของตัวเองไม่ฟังคำปฏิเสธของเอมิเลียเลย. เขาเกาะติดเธอแล้วเดินตามมาจนถึงทางเข้าโบสถ์เลย.
เหล่าอัศวินที่เฝ้าอยู่ด้านหน้าประตูทุกคนต่างพากันถอนหายใจด้วยความโล่งอกพอเห็นเอมิเลียกลับมาอย่างปลอดภัย “ท่านหญิงครับ ท่านกลับมาแล้ว. มีคนบอกว่าท่านควรจะอยู่ในโบสถ์ซักสองสามวันจนกว่าฆาตกรจะถูกจับได้น่ะครับ”
เอมิเลียแกล้งยิ้มแล้วพยักหน้า “ขอบใจนะ ชั้นทราบซึ้งมากๆ”
เธอจับหนังสือให้แน่นขึ้น เล็บของเธอจิกหน้าปกอย่างแรง. ฝ่ามือของเธอก็เริ่มเหงื่อแตกพลั่ก และใจของเธอก็เริ่มเต้นด้วยความลนลานมากกว่าเดิม.
เธอต้องพาเจ้าดาร์คเอล์ฟเข้าไปด้านในโบสถ์จริงๆ. นี่อาจจะเป็นครั้งแรกในประวัติศาสตร์ของศาสนาแห่งแสงเลย. พระเป็นเจ้า นางกำลังจะสร้างประวัติศาสตร์ล่ะ!
เอมิเลียหยุดเดินเพื่อเปลี่ยนท่าถือและอัศวินคนนั้นก็หยุดเดินตามทันที. เขามองไปรอบๆด้วยความระมัดระวังราวกับว่าจะมีคนโผล่มาโจมตี “ท่านหญิงครับ โปรดเดินเข้าไปเถอะครับ ด้านนอกนี้อันตราย”
เธอไม่มีทางเลือกนอกจากต้องยอมฟังเพราะเธอถูกล้อมไว้ทุกทางเลย. พอถอนหายใจเสร็จเธอก็รีบเดินเข้าไปในโบสถ์ หนังสือที่เธอถืออยู่นั้นก็ยิ่งหนักขึ้น. มันให้ความรู้สึกว่าเธอกำลังเอาระเบิดเข้าไปในโบสถ์เลย.
ศาสนาแห่งแสงนั้นร่ำรวยมากๆจนพวกเขาสามารถสร้างวังส่วนตัวให้เซ้นต์แต่ละคนได้เลย พวกเธอจะได้มีความส่วนตัวและทุกๆเช้าจะมีคนเข้าไปทำความสะอาดวังให้ด้วย. ด้านในวังนั้นไม่มีใครเลยสิ่งเดียวที่ได้ยินจากด้านในก็คือเสียงลมโชยกระทบกับผ้าม่าน.
คนอื่นๆสามารถมองลอดเข้ามาในวังได้ง่ายๆเลย แต่ถ้าทำอย่างงั้นก็จะถูกลงโทษอย่างรุนแรง.
เอมิเลียพยายามเอามือจับประตูจากนั้นเธอก็เอานิ้วไปจับห่วงเหล็ก. ห่วงเหล็กหน้าประตูนั้นมีฝุ่นเครอะไปหมดขณะที่เธอดึงประตูหนักๆเข้าหาตัว ฝุ่นเครอะนั่นลอยเข้าจมูกจนเธอแทบจะจามออกมา.
นี่คือห้องใต้ดินที่เซ้นต์คนก่อนทิ้งไว้ให้. เอมิเลียไม่เคยใช้มันเลย. ในห้องด้านใต้นี้มีเตียงไม้เล็กๆตั้งอยู่ตรงมุมพร้อมกับของประดับเล็กน้อย. ส่วนอีกฝั่งนึงก็มีอุปกรณ์เหล็กที่เอาไว้ทรมาณโดยเฉพาะ.
เอมิเลียร่ายเวทย์มนต์เปลี่ยนหนังสือกลับเป็นรถเข็นอีกครั้ง. เธอค่อยๆเอาเอล์ฟตัวน้อยออกมาจากรถแล้ววางลงบนเตียงอย่างระมัดระวัง.
ทันทีที่เอมิเลียวางเอล์ฟลงบนเตียง ก็มีเลือดซึมออกมาเยอะมากๆ. จากนั้นครู่เดียวเลือดนั่นก็เปลี่ยนเป็นสีน้ำตาลทันทีที่กระทบกับอากาศ.
ความสามารถในการฟื้นฟูของสิ่งมีชีวิตแห่งความมืดนั้นค่อนข้างเร็วแต่รอยแผลบนตัวเอล์ฟนั้นก็ยังมีอยู่ - เลือดยังคงไหลออกมาจากรอยแผลเรื่อยๆขณะที่กำลังฟื้นตัว.
บาดแผลลึกนั่นทำให้เจ้าเอล์ฟดูเหมือนก้อนเลือดเลย.
เอมิเลียตกใจกับปริมาณเลือดที่เธอเห็นมากๆ. นางสงสัยว่าใครกันที่ทำเรื่องโหดร้ายแบบนี้กับทารกตัวเล็กๆไร้ทางสู้ได้. ฆ่าเขาให้ตายทันทีซะยังจะดีกว่าปล่อยไว้แบบนี้. ไม่เห็นจะต้องทรมาณแบบนี้เลย.
ราวกับว่าเขาสามารถรับรู้ถึงสิ่งรอบๆตัวที่เปลี่ยนไปได้เลย ขนตาของเจ้าเอล์ฟค่อยๆสั่น เขาพยายามจะลืมตาขึ้นมา. เขาส่งเสียงร้องครวนคราง น่าสงสารออกมาเบาๆ.
เจ้าเอล์ฟนี้ดูราวกับว่ากำลังเจ็บปวดมากๆ. แม้เจ้าเอล์ฟจะเสียเลือดไปเยอะและจวนจะตายอยู่แล้วก็ตาม เขาก็ยังต่อสู้อย่างหนักเพื่อที่จะมีชีวิตรอดให้ได้ พยายามจะลืมตาขึ้นมาดูว่าตัวเองอยู่ในที่ปลอดภัยแล้ว.
เอมิเลียชื่นชมพลังใจที่แข็งแกร่งของเจ้าเอล์ฟมาก. ถ้าเจ้าดาร์คเอล์ฟนี่รอดไปได้ล่ะก็ เขาคงจะกลายเป็นสิ่งมีชิวิตที่แข็งแกร่งมากๆ.
ใจของเอมิเลียเริ่มตื้นตัน ความโกรธที่เธอรู้สึกก่อนหน้านี้ค่อยๆหายไป.
แม้เธอจะไม่รู้ว่าต้องทำยังไงกับสถานการณ์แบบนี้ดี แต่เธอก็รู้ว่าเธอจะไม่ปล่อยให้เจ้าเอล์ฟอยู่คนเดียวแน่.
เธอออกไปข้างนอกเดี๋ยวนึงเพื่อไปเอากะละมังใส่น้ำมา. เธอพับแขนเสื้อขึ้นแล้วเอาน้ำชุบผ้าขึ้นมาในมือข้างหนึ่ง จากนั้นก็เอนตัวเข้าไปใกล้ๆเจ้าเอล์ฟแล้วทำความสะอาดรอยแผลเบาๆเพื่อไม่ให้เขาเจ็บเพิ่ม. แต่เลือดที่แข็งตัวแล้วนั้นเช็ดออกยากมากๆ. พอไม่รู้จะทำยังไงเธอก็กำลังจะลุกขึ้นไปเอายามาทา แต่ทันใดนั้นเองก็มีบางอย่างมาจับข้อมือเธอไว้.
พอหันกลับมาดู เอมิเลียก็ต้องตกใจกับสิ่งที่เธอเห็นตรงหน้า. เจ้าดาร์คเอล์ฟลืมตาสีแดงก่ำออกมาอย่างช้าๆ ดวงตาของเขาจ้องมาที่เธออย่างว่างเปล่า ราวกับว่าเขากำลังมึนอยู่.