ตอนที่ 27: ซูชิไก่ฉีกน้ำเบอรี่
*ก่อนจะอ่านนิยาย โปรดตรวจสอบว่าท่านได้อยู่ในสถานที่ที่มีแสงเพียงพอ หรือถ้าท่านอ่านในความมืดก็อย่าลืมเปิด Night Mode หรือจอส้ม เพื่อป้องกันการปวดหัวและสายตาสั้นด้วยนะครับ*
--------------------------------------------------------------------------------------------
หลังจากกินอาหารเสร็จแล้ว ชิยูก็ได้รับการยอมรับจากกลุ่มพอตัวด้วย. เธอตามพวกเขาผ่านป่าไปจนในที่สุดก็ถึงเขตตีนภูเขาสัตว์ปราณ.
ป่าที่พวกเขากำลังจะเข้าไปตอนนี้แตกต่างกับป่าที่เพิ่งผ่านเข้ามา. ป่านี้ดูเก่าแก่ ต้นไม้สูงใหญ่ใบหนาทึบจนแสงอาทิตย์ส่องเข้ามาไม่ถึง. แม้ตอนนี้ยังเป็นตอนกลางวันอยู่แต่ป่านั้นก็แทบจะมืดไปหมด ใครก็ตามที่มายืนอยู่หน้าป่านี้คงต้องมีลังเลก่อนเข้าบ้างล่ะ.
“เอาล่ะ คืนนี้เราพักที่นี่แหละ. พรุ่งนี้ค่อยเข้าไปแล้วกัน” หยงหมิงกล่าว สายตาเธอจ้องไปที่ชิยู “ข้างในนี้อันตรายมาก เราอาจจะไม่มีชีวิตรอดออกไปจากที่นี่. เธอแน่ใจนะว่าจะมากับเรา?”
ชิยูคิดอยู่แปปนึงแล้วพูด “งั้นพรุ่งนี้พวกเธอก็เข้าไปเถอะ ชั้นจะรออยู่นี่ก็ได้”*
สีหน้าของหยงหมิงบูดมากๆ.
คืนนั้นไม่มีการโต้เถียงใดๆอีก.
วันต่อมาขณะที่หัวหน้าทีมส่งสายตาไม่พอใจอย่างแรง ชิยูก็เข้าไปที่เขตตีนภูเขาสัตว์ปราณกับคนอื่นๆ.*
*(2ท่อนนี้แปลย้อนแยงกันมาก ผมก็งงๆเหมือนกัน)
เธอต้องยอมรับเลยว่า รอบๆภูเขาสัตว์ปราณนั้นเป็นที่ที่สวยงามจริงๆ! ถึงแม้พวกต้นไม้จะดูมืดมนและน่ากลัว แต่พวกพงหญ้าด้านล่างนั้นแทบจะไม่มีใครมาแตะเลย มีแต่ผักที่กินได้น่าอร่อยและน่าจะดีต่อสุขภาพเยอะแยะไปหมด. ชิยูรู้สึกเหมือนว่าตัวเองได้ค้นพบภูเขาอาหารในตำนานเลย.
ขณะที่พวกนักผจญภัยเริ่มเคลียร์เส้นทาง ชิยูที่ตามมาด้านหลังก็กำลังยุ่งอยู่กับการเด็ดผลไม้และผักที่กินได้. มีบางช่วงที่เธอขุดสมุนไพรขึ้นมาแล้วพอคนอื่นไม่ได้สนใจเธอก็โยนพวกมันไปไว้ที่มิติลับของเธอ.
เพียงแค่แป๊บเดียวตะกร้าด้านหลังเธอก็เต็ม. เนื่องจากเธอต้องแบกของหนักเลยทำให้เดินช้ามากๆ. พลังปราณในร่างกายเธอก็เริ่มจะทำงาน มันช่วยให้เธอเพิ่มความเร็วในการเดินในขณะที่เธอพยายามตามกลุ่มให้ทันอย่างสุดความสามารถ. แต่นี่ก็หมายความว่าพลังปราณของเธอกำลังถูกใช้ไปอย่างรวดเร็ว.
แต่สิ่งที่เธอไม่รู้ก็คือ การเดินจ้ำไปมาของเธอนั้นทำให้พวกสมาชิกในกลุ่มประหลาดใจกัน.
ทางเดินนี้มันค่อนข้างขรุขระแต่เพราะพวกเขาทุกคนเป็นผู้มีพลังปราณจึงทำให้เดินได้เร็วกว่าคนส่วนใหญ่. แต่สุดท้ายพวกเขาก็จะเหนื่อยอยู่ดี. แต่ทำไมผู้หญิงอ่อนแอคนนี้กลับเดินตามพวกเขาได้ทันกัน? ไม่ใช่แค่เรื่องนั้นด้วย ใครก็ตามที่เข้าเขตภูเขาสัตว์ปราณมาจะต้องระมัดระวังตัวไว้ตลอด แต่ทำไมเธอทำเหมือนว่าตัวเองมาเที่ยวกันเนี่ย? บ้าเกินไปแล้วมั้ง!
เด็กผู้หญิงคนนี้ไม่ใช่คนธรรมดาแน่ๆ.
พวกเขาพากันมองตากันจนได้ข้อสรุปในใจเหมือนๆกัน. พอหยุดพักกินข้าวเที่ยงพวกเขาจึงเข้ามาล้อมชิยู.
“คุณหนูยู เอ่อ. ในตะกร้ามีอะไรงั้นหรอ? ทำไมมันเยอะแยะไปหมด?” คนที่ช่วยชิยูยกตะกร้าออกจากหลังเธอถาม.
พอตะกร้าออกจากหลังเธอแล้ว ชิยูก็รู้สึกว่าตัวเบาลงมากๆ เธอเงยหน้าขึ้นมาแล้วพูด “ก็มีแค่พวกผลไม้กับผักน่ะค่ะ เราจะใช้มันทำอาหารเที่ยงกัน”
ใบหน้าของหยงหมิงเย็นชา “พวกเรากำลังรีบ มีแต่จะเสียเวลาถ้าจะรอกินอาหารเป็นชั่วโมง. เราพักกินข้าวเดี๋ยวเดียวก็จะไปต่อแล้ว”
ชิยูพยักหน้าเข้าใจเธอ “อ่อ งั้นชั้นจะทำกินคนเดียวแล้วกัน”
พอพูดเสร็จเธอก็หยิบใบไม้สีเขียวๆออกมาจากตะกร้าแล้วจุ่มล้างมันในน้ำสะอาด. จากนั้นเธอก็แผ่ใบออกแล้วหยิบข้าวที่เหลือจากมื้อเมื่อคืนใส่ลงไปตรงกลางใบนิดหน่อย, จากนั้นก็โรยไก่ฉีกลงไปบนข้าวนั้น.
ขั้นสุดท้าย เธอหยิบเบอรี่สีแดงสดที่เพิ่งเด็ดออกมา ปอกเปลือกแล้วบี้มันเพื่อเอาน้ำแล้วราดลงไปบนข้าวนั้น. พอเสร็จแล้วเธอก็ค่อยๆม้วนซูชิไก่ฉีกน้ำเบอรี่ให้เป็นทรง.
ผักป่านั้นสดและกรอบมาก, น้ำเบอรี่เองก็หวานและเปรี้ยว มันช่วยตัดความมันของไก่และทำให้ข้าวอร่อยยิ่งขึ้น. เธอเอามือคลำลงไปในตะกร้าแล้วหยิบผลไม้ชิ้นใหญ่ที่ดูเหมือนลูกแพร์ออกมาแล้วกัดไปคำโต. กัด ‘ซูชิ’ หนึ่งคำแล้วกัด ‘ลูกแพร์’ ตาม ฟินจริงๆ.
คนอื่นๆกำลังจ้องอาหารที่เธอกินอย่างมีความสุขอยู่ จากนั้นก็มองลงมาดูซาลาเปาเย็นๆแข็งๆในมือ. พวกเขาทุกคนอยากจะพูดว่า “น้องจ๋าขอพี่กินด้วย โถ่!” แต่พอเห็นสีหน้าไม่ปกติของหัวหน้าทีมพวกเขาแล้วจึงข่มน้ำตาไว้แล้วกัดซาลาเปาแข็งๆนั่น.
ชิยูกิน ‘ซูชิ’ ไป3อันจนอิ่ม. พอเงยหน้ามาเห็นคนอื่นๆกำลังกินอยู่เธอจึงเอนตัวไปพิงตะกร้าแล้วหลับตานอน.
เธอไม่ได้ขี้เหนียวหรือไม่ได้ไม่อยากแบ่งอาหารหรอก แต่ของที่ให้โดยไม่มีใครขอคงไม่ควรเท่าไหร่.
พอเธอปิดตาลงเธอก็ค่อยๆเข้าสู่โหมด(?นึกคำบ่ออก) ฝึกฝนพลังปราณ. เธอลอยขึ้นด้วยพลังปราณของเธอ มันให้ความรู้สึกเหมือนกับว่ากำลังว่ายอยู่ในน้ำอุ่นๆ. ความเมื่อยล้าที่ร่างกายเธอค่อยๆดีขึ้น. สิ่งเดียวที่เธอตงิดก็คือบรรยากาศรอบๆที่มีแต่ต้นไม้เต็มไปหมด. ธาตุไฟที่เธอต้องใช้เพิ่มระดับพลังปราณก็หาไม่ค่อยได้ ดังนั้นเธอจึงเพิ่มพลังปราณได้ช้ามากๆ.
หลังจากพักครู่นึงความเหนื่อยล้าส่วนใหญ่ก็หายไปจากตัวชิยูแล้วตอนนี้เธอกลับมามีแรงอีกครั้ง. กลุ่มพวกเขาจึงมุ่งหน้าเดินทางเข้าไปในภูเขาต่อ.
เขตภูเขาสัตว์ปราณนั้นกว้างใหญ่มากๆ มันแบ่งได้เป็น3เมืองเลย. เมืองชิงฉานนั้นตั้งอยู่ทางตะวันออกของภูเขา.
ชิยูเดินตามพวกเขาต่อไปแต่ก็ไม่ร่าเริงเหมือนตะกี้. เธอรวบรวมพลังปราณไว้ที่รอบๆหูของเธอ ในป่าที่เงียบสงัดนี้แทบจะไม่มีสิ่งใดเล็ดรอดหูของเธอไปได้เลย. เธอเองก็ไม่ประมาทเก็บพลังปราณไว้ใช้ในยามฉุกเฉินด้วย. เพื่อที่จะตามพวกเขาให้ทันเธอเลยนำเนื้อกระต่ายหิมะตากแห้งออกมากิน หวังจะให้มันช่วยเพิ่มความเร็วให้.
ใครจะรู้ล่ะว่าตอนนั้นเอง หนึ่งในสมาชิกกลุ่มที่คอยมองเธอกิน กิน กินอยู่ตลอดเวลาเกิดทนไม่ไหวเลยถามไปว่า “น้องยูกินอะไรน่ะ? พี่ขอกินด้วยหน่อยสิ เห้ย”
ชิยูใจสะดุ้งขึ้นมาเล็กน้อย. เนื้อนี้เป็นเนื้อกระต่ายหิมะที่สามารถเพิ่มความเร็วให้คนที่กินมันได้. ทันทีที่พวกเขากินมัน พวกเขารู้แน่ว่ามันคืออะไร.
เธอยิ้มตอบ “หนูเอามาไว้เผื่อกินเล่นก่อนเข้าภูเขาน่ะค่ะ หนูมีเหลืออยู่นะ”
พอพูดเสร็จเธอก็ล้วงมือลงไปค้นในตะกร้าแว่บเดียว จากนั้นก็หยิบเนื้อตากแห้งออกมาแล้วยื่นไปให้.
“น้องยูทำอาหารเก่งจังนะ พอเราเสร็จงานนี้แล้วน้องลองไปที่เมืองเฟิ่งสิ. พี่ได้ข่าวมาว่าผู้เฒ่าแห่งสำนักเฟิ่งไม่อยากอาหารและกินอะไรไม่ได้เลย. ร่างกายเขาค่อยๆโทรมลงๆทุกวัน. พ่อครัวจากทั่วทั้งโลกมาลองช่วยท่านแต่ไม่มีใครทำให้ความอยากอาหารของท่านกลับมาได้เลย. ถ้าน้องยูรักษาท่านผู้เฒ่าได้ น้องอาจจะได้ของตอบแทนดีๆก็ได้นะ” หนึ่งในสมาชิกพูดพร้อมกับแทะเนื้อแห้ง.
เขาได้ยินเรื่องนี้มาระหว่างทางและตอนนั้นเขาก็คิดว่า “ถ้าตาเฒ่าเรื่องมากนั่นไม่อยากกินอาหารเจ๋งๆหรือเนื้อหายากพวกนั้นล่ะก็ ชั้นจะไปกินมันเอง อาาา ชั้นจะกินให้หมดเลย!”
ชิยูรู้สึกใจสะดุ้งขึ้นมาอีกครั้ง. ในโลกนี้มีเพียงแค่ตระกูลเดียวเท่านั้นที่มีอำนาจมากพอจะตั้งชื่อเมืองตามชื่อตระกูลตัวเอง. ดูเหมือนว่าตระกูลเฟิ่งนี่จะไม่ใช่ตระกูลใหญ่ธรรมดาๆซะแล้ว อา! ถ้าเธอจบเรื่องที่นี่แล้วเธอจะแวบไปที่เมืองเฟิ่งแน่ๆ.
“ถ้างั้นมาภาวนาให้เรากลับออกไปจากที่นี่อย่างปลอดภัยด้วยเถอะ เพี้ยง!” ชิยูพูดด้วยรอยยิ้ม.
พวกเขาคุยกันระหว่างเดินทางอย่างสนุกสนาน. พอพวกเขามาถึงช่องแคบนึง หยิงหมิงที่เดินนำอยู่ก็พูดขึ้นมาว่า “น่าแปลก ทำไมมันเงียบนักนะ?”
พอเขาพูดเสร็จ ทุกคนก็หยุดฟัง
รอบๆตัวพวกเขานั้นเงียบฉี่มากๆ ไม่มีนกร้องหรือแมลงร้องซักนิดเลย…..
จากผู้แปล: อ้าวหยงหมิงผู้ชายหรอวะ นึกว่าผู้หญิงมาตั้งนาน