Chapter 15: เจ้ามีสิทธิรึไง?
“เจ้าคือ ‘คนไม่รู้หัวนอนปลายเท้า’ จากครอบครัวเฉินคนนั้นสินะ?”
หวังซูฉินใช้ดาบชี้ไปที่เฉินเฉิน น้ำเสียงของเธอเย็นยะเยือก
เฉินเฉินไม่สนใจดาบอันคมกริบนี้ แล้วชี้แจงอย่างใจเย็น “ข้าเกิดมาพร้อมกับภูมิหลังที่ชัดเจน แล้วข้าไปเป็น ‘คนไม่รู้หัวนอนปลายเท้า’ ได้ยังไงกัน?”
“ถ้าท่านหญิงลำดับสองของเราบอกว่าเจ้าเป็น ‘คนไม่รู้หัวนอนปลายเท้า’ เจ้าก็คือคนไม่รู้หัวนอนปลายเท้า! เจ้ากล้าเถียงได้ยังไง!”
คนคุ้มกันที่อยู่ถัดจากซูฉินชักมีดพร้าออกมาในทันที แล้วพูดด้วยสีหน้าบึ้งตึง
คนคุ้มกันคนอื่นๆเมื่อเห็นดังนี้ก็ชักมีดพร้าออกมาในทันที และบรรยากาศก็รุนแรงขึ้น
ชาวบ้านรู้สึกว่านี่มันเป็นเรื่องที่ยอมรับไม่ได้ หัวหน้าหมู่บ้านลุกขึ้นมาจากพื้น และเข้ามายืนขวางหน้าเฉินเฉิน พร้อมกับพูดออกมาอย่างขมขื่น “ท่านหญิงลำดับสอง ในเมื่อหมู่บ้านหินสามารถจ่ายค่าเช่าที่ดินได้แล้ว การทำแบบนี้มันจะไปมีความหมายอะไรครับ?”
หวังซูฉินเย้ยหยันกับคำพูดของเขา แล้วพูดขึ้นมาในทันที “เจ้าคนไม่รู้หัวนอนปลายเท้าจากครอบครัวเฉินต้องขโมยทรัพย์สมบัติมาจากบ้านหวังแน่ๆ ไม่อย่างนั้นเขาจะหาเงินสามสิบตำลึงเงินมาได้ยังไง?
“และแน่นอนว่านี่ก็คือเหตุผลที่สองที่ข้ามาเยี่ยมที่นี่ด้วย”
สีหน้าของหัวหน้าหมู่บ้านแข็งทื่อในทันทีเมื่อได้ฟังเช่นนี้ เขาเห็นเฉินเฉินมาตั้งแต่เล็กและรู้นิสัยของเขาดี เขาจะไปสามารถขโมยอะไรจากคนอื่นได้ยังไงกัน?
“ท่านหญิงลำดับสอง นิสัยของเจ้าเฉินนั้นทุกคนในหมู่บ้านหินรู้ดี เด็กอย่างเขาขโมยอะไรไม่ได้หรอก ข้าขอเอาชีวิตเป็นประกันเลย!”
ชาวบ้านคนอื่นๆเองก็เริ่มเคลื่อนไหวตามกันมาในเวลาไม่นาน
“ใช่แล้ว อย่างเจ้าเฉินเนี่ยนะจะไปขโมยของคนอื่น? ระวังคำพูดด้วย!”
“เขาไม่ใช่ขโมยหรอกต่อให้ข้าเป็นก็ตาม! เด็กคนนี้เป็นที่รู้กันดีว่ามีนิสัยดีมาตั้งแต่ยังเด็กแล้ว”
ชาวบ้านจากหมู่บ้านหินนั้นเป็นพวกบ้านนอก จากการที่เฉินเฉินเต็มใจแก้ปัญหาเรื่องค่าเช่าที่ดินด้วยเงินสามสิบตำลึงเงินของเขา ตอนนี้พวกเขาจะมองข้ามเขาที่ถูกดาบของท่านหญิงหวังจ่ออยู่ได้ยังไงกัน?
สีหน้าของหวังซูฉินหม่นหมองในตอนที่เธอเห็นภาพนี้
เธอแค่อยากกำจัดตระกูลเฉิน การสังหารหมู่ทั้งหมู่บ้านนั้นจะทำให้ไม่มีทาสเหลือให้ตระกูลหวังและขัดกับผลประโยชน์สูงสุดของพวกเขา
เมื่อคิดได้เช่นนี้ เธอก็เปลี่ยนแนวทางใหม่
“นี่เป็นเรื่องส่วนตัวระหว่างตระกูลหวังกับเฉิน ถ้ามีใครจัดการเจ้านี่ให้ข้าได้ ค่าเช่าในปีนี้จะได้รับการยกเว้น”
เธอไม่เชื่อหรอกว่ากลุ่มคนชั้นต่ำพวกนี้จะอดทนได้เมื่อเอาเงินมาล่อ เธอตั้งใจจะทำให้เจ้านี่ได้รู้ว่าโลกนี้มันโหดร้ายแค่ไหน!
อย่างไรก็ตาม หลังจากผ่านช่วงเวลาอันเงียบสงัดมาพักนึงแล้ว ก็ยังไม่มีใครเคลื่อนไหวเลย
ซึ่งนี่ทำให้หวังซูฉินรู้สึกหงุดหงิดอย่างบอกไม่ถูก
“ข้าให้สามปีเลยก็ได้!”
หัวหน้าหมู่บ้านส่ายหัวแล้วมองหวังซูฉินด้วยความสงสาร
“ท่านหญิงลำดับสอง นี่มันไม่เกี่ยวกับเรื่องเงินหรอกครับ เจ้าเฉินไม่ได้ทำความผิดอย่างการลักขโมย พวกเราจะไม่ยอมเสียสติไปเพราะเงินหรอก ไม่อย่างนั้นพวกเราจะเป็นคนดีได้อย่างไร?”
ลมหายใจของหวังซูฉินขาดช่วงไปเมื่อได้ฟังคำพูดเช่นนี้ คำพูดของหัวหน้าหมู่บ้านนั้นได้ทิ่มแทงเธอเหมือนกับเข็ม
หลังจากนั้นซักพัก เธอก็เงยหน้ามองฟ้าแล้วหัวเราะออกมาอย่างกระทันหัน
“ฮ่าฮ่าฮ่า! พวกเจ้าทุกคนนี่มันชั้นต่ำจริงๆ! สติหรอ? ทำไมเจ้าถึงคิดว่าเจ้ามีสิทธิพูดเรื่องนั้นกับข้า?”
เมื่อเทียบกับหวังซูฉิน เฉินเฉินดูปลื้มใจมากๆ
หลังจากก้าวมาข้างหน้าได้สองก้าวโดยที่ไม่พูดอะไร เขาก็มองไปที่หวังซูฉิน
เขาพูดออกมาอย่างชัดถ้อยชัดคำ “ตอนนั้น ท่านพ่อของข้าเคยช่วยพ่อของเจ้า หวังหู่เอาไว้ ซึ่งเขาก็ได้ตอบแทนด้วยการขโมยความสำเร็จทางการทหารของท่านพ่อของข้าจนได้เป็นตระกูลที่ยิ่งใหญ่อย่างทุกวันนี้
“ตั้งแต่ตอนนั้นมาตระกูลหวังไม่เคยชดเชยอะไรให้เลยแม้แต่นิดเดียว และตอนนี้เจ้าก็ยังคิดจะตอบแทนความเมตตานั้นด้วยความเกลียดชังอีกหรอ?
“ข้าขอถามเจ้านะ มันคือท่านพ่อของข้าไม่ใช่หรอ ที่ตระกูลของเจ้ารุ่งเรืองได้ในทุกวันนี้? ถ้าไม่ใช่เพราะพ่อของข้า เจ้าจะไปหาดอกไม้ดีๆ ม้าที่มีพละกำลังวังชา และกลุ่มคนคุ้มกันจากที่ไหนกัน?
“ตอนนี้เจ้ากำลังจ่อดาบมาที่ข้าอยู่ใช่ไหม? ข้าขอถามบ้างนะ เจ้ามีสิทธิรึไง?”
คำกล่าวของเขานั้นทำให้ทั้งหมู่บ้านเงียบสงัด
สีหน้าของหวังซูฉินเริ่มเปลี่ยนสี ด้วยเหตุผลบางประการ การมองเด็กหนุ่มที่อยู่ตรงหน้าของเธอนั้นทำให้หัวใจของเธอเต็มไปด้วยความกังวล
เด็กหนุ่มที่มีพื้นเพมาจากคนชั้นต่ำสามารถกล่าวคำพูดที่ทรงพลังและไม่สามารถโต้เถียงได้แบบนี้ออกมาได้ยังไงกัน?
“เจ้าเศษขยะ!”
ไม่นานนัก หวังซูฉินก็ตะโกนออกมาด้วยความโกรธ แต่ไม่ว่าจะเป็นสีหน้าที่แดงขึ้นหรือลมหายใจที่ถี่ขึ้นนั้นก็ไม่มีทีท่าว่าจะหยุดลงเลย
หลังจากนั้น ม้าของหวังซูฉินก็ถอยหลังกลับไปเล็กน้อย พอเว้นระยะห่างมาได้ระดับนึงแล้ว สีหน้าของเธอก็ดูชั่วร้ายขึ้นไปอีก เธอชี้ดาบไปที่เฉินเฉิน แล้วออกคำสั่ง “ฆ่าเจ้านั่นซะ! ใครก็ตามที่ขัดขวางจะถูกฆ่าด้วย! ไม่ว่าผลที่ตามมาจะเป็นยังไงตระกูลหวังจะรับผิดชอบเอง!”
เมื่อได้ฟังเช่นนี้ คนคุ้มกันก็แสดงความกระหายเลือดออกมาทางสีหน้า
ในเมื่อมาถึงจุดนี้แล้ว มันก็ไม่มีความจำเป็นต้องเก็บซ่อนอีกต่อไป
กุบกับ กุบกับ กุบกับ...
ม้าหลายสิบตัวถอยหลังไปเพื่อเข้าตำแหน่งบุกอย่างเหมาะสม
หัวหน้าหมู่บ้านรู้สึกกังวลมากในตอนที่เขาเห็นภาพนี้
ชาวบ้านจะไปต่อสู้กับการบุกของพลม้าหลายสิบคนได้ยังไง?
“หัวหน้าหมู่บ้าน ถอยไปข้างหลังเถอะครับ” เฉินเฉินพูดด้วยรอยยิ้ม
“แต่ว่า....”
“ไม่มีแต่ครับ พวกมันลงทุนทำถึงขนาดนี้ก็เพื่อฆ่าข้า” เฉินเฉินปลอบเขา ใบหน้าของเขาไม่มีความกังวลแสดงอยู่เลย
“ลูกเฉิน!
เสียงเรียกด้วยความเป็นห่วงดังมาจากฝูงชน มันคือเสียงเรียกจากแม่ของเฉินเฉิน ฉินโหลว
ในขณะเดียวกันนั้นเอง เฉินชานยืนอยู่ข้างเฉินเฉินโดยที่ไม่ได้พูดอะไรแม้แต่คำเดียว
ถึงเฉินเฉินจะยืนกรานว่าเขาได้ผ่านการฝึกจากเซียนมาแล้ว แต่ในฐานะพ่อ เฉินชานก็ไม่อาจยอมปล่อยให้เขาเผชิญหน้ากับศัตรูมากมายขนาดนี้ได้
ถึงยังไงเขาก็ยังไม่ได้เห็นพลังของเฉินเฉินกับตาตัวเองเลย
“ตระกูลหวังไม่ให้ความสำคัญกับชีวิต! พวกเขากล้าสั่งทำร้ายเด็กดีๆอย่างเจ้าเฉินได้ยังไง! ช่างน่าสมเพชจริงๆ!”
“เจ้าเฉินไม่ต้องกลัวนะ! ข้าลุงเฉียนยังไม่พร้อมเห็นเจ้าตายหรอก!”
ชาวบ้านคนนึงได้เข้ามายืนข้างเฉินเฉินด้วยความเดือดดาล
“เจ้าเฉิน ข้าจะคอยช่วยคุ้มกันให้เอง!”
ด้วยการที่มีคนนำ ชาวบ้านที่ร่างกายกำยำทุกคนก็มายืนอยู่ข้างเฉินเฉิน ด้วยเคียวและจอบของพวกเขา พวกเขาดูเหมือนตัวตลกเมื่อนำไปเปรียบเทียบกับม้าดีๆและมีดพร้าคมๆของฝ่ายตรงข้าม
อย่างไรก็ตามมันทำให้เฉินเฉินรู้สึกซึ้งใจจริงๆ
สำหรับหมู่บ้านจนๆอย่างหมู่บ้านหิน ชาวบ้านนั้นได้รวมเป็นปึกแผ่นอย่างภาคภูมิใจ ต่อให้เผชิญหน้ากับศัตรูที่ดูเหมือนจะจัดการไม่ได้ พวกเขาก็ยังคงเลือกที่จะยืนอยู่ข้างเขาโดยไม่ปริปากบ่นอะไร
“ขอบคุณนะทุกคน” เฉินเฉินมองหน้าพวกเขาในขณะที่พูดอย่างเยือกเย็น
…
จากที่ไกลๆ สีหน้าของหวังซูฉินนั้นบูดบึ้งในตอนที่เห็นภาพนี้ เธอตะโกนด่า “ไอ้พวกชั้นต่ำ! คิดจริงๆหรอว่าข้าจะไม่กล้าฆ่าพวกเจ้า? น่าขำชะมัด!
“ฆ่าพวกมันให้หมด! วันนี้พวกเราจะทำการล้างบางหมู่บ้านหิน! ขอดูหน่อยเถอะว่าจะมีใครในมณฑลเสฉวนที่สามารถแตะต้องตระกูลหวังได้!”
คนคุ้มกันทั้งหมดเลียริมฝีปากของพวกเขาในตอนที่ได้ฟังเช่นนี้ พวกเขากำลังมองชาวบ้านเหมือนกับแกะที่พร้อมถูกเชือดแล้ว
จากนั้น หัวหน้าคนคุ้มกันก็ยกมีดพร้าของเขาขึ้น เพื่อส่งสัญญาณเตรียมบุก!
“ตามข้ามา! ถ้าใครมันกล้าขวางฆ่าให้หมด!”
ด้วยคำประกาศนี้เอง ม้านับสิบก็เร่งความเร็วขึ้นพร้อมกัน และสร้างม่านฝุ่นที่กำลังถาโถมเข้าใส่ชาวบ้านเหมือนพายุ
เมื่อเทียบกันนั้น ชาวบ้านก็เหมือนกับวัชพืชที่อยู่ท่ามกลางพายุใหญ่ บอบบางเหมือนอย่างที่เห็น
ข้างหลังชาวบ้าน มีคนแก่ เด็ก และชาวบ้านผู้หญิงที่เริ่มร้องไห้ออกมาแล้ว เอ้อหยาซ่อนศรีษะของเธอเอาไว้ใต้ศรีษะของแม่ของเธอ
…
ม้านับสิบกำลังพุ่งเข้าใส่ชาวบ้านเพื่อเบิกโรงการสังหารหมู่
ทันใดนั้นเองเด็กหนุ่มในกลุ่มก็ก้าวเท้าออกมาข้างหน้าหนึ่งก้าว
เสื้อธรรมดาที่เขาสวมอยู่นั้นเคลื่อนไหวทั้งๆที่ไม่ได้มีลมพัดเลย
การเคลื่อนไหวง่ายๆนี้ดูเหมือนจะมาพร้อมกับความน่าเกรงขามที่ไม่อาจเทียบเคียงได้!
ฮี้!
ม้านับสิบหวาดกลัวมาก และส่งเสียงร้องดังลั่นออกมาพร้อมกัน เหมือนกับว่าที่พวกมันเผชิญอยู่นั้นไม่ใช่กลุ่มชาวบ้าน แต่เป็นปากทางสู่นรกมากกว่า!
ม้าที่อยู่ข้างหน้าสุดสะดุดแล้วล้มลงไปกับพื้นพร้อมกับคนคุ้มกัน ตัวอื่นๆที่วิ่งตามหลังมันเองก็ล้มตามกันไปในทันที
ดูเหมือนว่าการบุกที่ดูต้านทานไม่ได้นี้จะสลายไปตั้งแต่ที่ยังไม่ได้เริ่มด้วยซ้ำ!
สุดท้ายแล้วก็ไม่มีคนหรือม้าตัวไหนที่เข้าใกล้รัศมีสามเมตรรอบตัวเด็กหนุ่มได้เลย