Chapter 14: เปิดเผยเจตนาที่แท้จริง
วันต่อมา
ผู้คนในมณฑลเสฉวนต่างก็ส่งเสียงอึกทึก มีแต่เงาของพวกเขาที่วิ่งอยู่ ไม่มีร่างคนเป็นๆอยู่บนถนนเลย
เจ้าหน้าที่ทุกคนในที่ว่าการต่างก็เตรียมพร้อมรอรับภัยพิบัติที่กำลังมาถึง
ตระกูลเจาและตระกูลจางนั้นมีความบาดหมางกันมาอย่างยาวนาน เมื่อไม่กี่วันก่อน ลูกชายของตระกูลจางเกือบถูกลอบสังหาร ซึ่งเป็นเหตุให้ความขัดแย้งของสองตระกูลนี้ปะทุขึ้นมา
เมื่อคืนก่อน การต่อสู้ที่รุนแรงมากมายได้เกิดขึ้นบนถนนระหว่างสองตระกูลนี้ และเลือดก็สาดกระเซ็นไปทั่วทุกที่
ใครจะไปกล้าออกมาเดินเล่นข้างนอกในช่วงเวลาแบบนี้หล่ะ?
…
ในอีกด้านนึง หมู่บ้านหินนั้นก็ไม่ได้สงบสุขเหมือนกัน
มีม้าตัวสูงแข็งแรงกลุ่มนึงมาอยู่ที่หน้าทางเข้าหมู่บ้าน และม้าทุกตัวก็มีคนคุ้มกันร่างกายกำยำจากตระกูลหวังขี่อยู่
คนพวกนี้มีมีดพร้าเหน็บเอาไว้ที่เอวด้วย และแผ่กลิ่นอายที่ดูดุร้ายออกมา พวกเขาไม่เหมือนกับพวกลูกกระจ๊อกที่ตระกูลหวังพามาเมื่อก่อนหน้านี้เลย
“หัวหน้าหมู่บ้าน ท่านหญิงลำดับสองของเรามาถึงแล้ว ทำไมเจ้าถึงไม่ออกมาต้อนรับพวกเรา?”
ด้วยเสียงตะโกนเรียกที่เปี่ยมไปด้วยพลัง หัวหน้าหมู่บ้านก็เดินออกมาอย่างกล้าๆกลัวๆ
แม้ว่าจะใช้ชีวิตมาหลายปีแล้ว แต่เขาก็ยังอดกลัวการต่อสู้ตรงหน้าไม่ได้
ในอดีต อย่างมากที่สุดพ่อบ้านหวังก็จะพาคนคุ้มกันทั่วๆไปมาด้วยเป็นจำนวนมากในตอนที่พวกเขามาเก็บค่าเช่า
แล้วปีนี้พวกเขาพยายามจะทำอะไรกัน? สังหารหมู่หรอ?
“ยินดีต้อนรับครับ...ท่านหญิงลำดับสอง!” หัวหน้าหมู่บ้านโค้งคำนับในขณะที่กำหมัด ท่าทีของเขานั้นแสดงให้เห็นถึงความอ่อนน้อมอย่างถึงที่สุด”
ในตอนนั้นเองชาวบ้านทุกคนก็เดินออกมาจากบ้านของพวกเขา และเมื่อเห็นแขกผู้มาเยือนทั้งหลายนี้ พวกเขาก็กลัวจนพูดอะไรไม่ออก
หัวหน้าหมู่บ้านยังคงทำท่าคำนับเป็นเวลาหนึ่งนาทีเต็ม เมื่อเขาเหนื่อยจนกระทั่งสั่นไปทั้งตัวนั้นเอง ม้าสีขาวจึงค่อยๆเดินออกมาจากฝูงชนอย่างช้าๆ
บนหลังม้าสีขาว หวังซูฉินกำลังนั่งอยู่อย่างสบายพร้อมกับชุดเกราะสีแดงของเธอ สีหน้าของเธอนั้นเย็นชาเหมือนน้ำแข็งและสายตาของเธอก็เรียบเฉย
“พ่อบ้านหวังประสบอุบัติเหตุ ปีนี้ข้าจึงมาที่นี่เพื่อเก็บค่าเช่าด้วยตัวเอง ข้าหวังว่าพวกเจ้าจะไม่สร้างเรื่องยุ่งยากให้ข้านะ
“เมื่อก่อน ที่พ่อบ้านหวังปฏิบัติกับพวกเจ้าด้วยความใจดีและความสงสารก็เพราะมณฑลเสฉวนยังสงบสุขดีอยู่
“แต่ตอนนี้มีความวุ่นวายเกิดขึ้นในมณฑลเสฉวน ตระกูลหวังของเราก็ไม่ได้อยู่ในสถานการณ์ที่ดีเหมือนกัน ดังนั้นค่าเช่าในปีนี้จะเพิ่มขึ้น 50%”
เมื่อหวังซูฉินพูดจบ ความวุ่นวายก็เกิดขึ้นทางฝั่งของชาวบ้าน
มันไม่สำคัญหรอกว่าพ่อบ้านหวังใจดีและมีเมตตาจริงรึเปล่า
ประเด็นก็คือพวกเขาตกเป็นเหยื่อน้ำท่วมในปีนี้ และไม่มีพืชผลให้เก็บเกี่ยวเลยซักต้น เพื่อที่จะหาเงินมาให้พอค่าเช่า พวกเขาต้องยอมล้มละลายและเป็นหนี้หัวโตกันทุกคน
แต่ที่แย่ยิ่งกว่า ค่าเช่าปีนี้กลับเพิ่มขึ้นอีกห้าสิบเปอร์เซนต์ นี่เธอพยายามจะผลักดันพวกเขาไปเจอทางตันใช่ไหม?
หัวหน้าหมู่บ้านเองก็รู้สึกโกรธกับคำพูดของเธอ ด้วยมือที่สั่นเทา เขาก็หยิบเอาสัญญาออกมาจากกระเป๋า “ท่านหญิงลำดับสอง พวกเราทำเกษตรให้ตระกูลหวังและจำนวนค่าเช่าก็ถูกกำหนดเอาไว้ตั้งแต่แรกแล้ว ท่านมาเพิ่มตามใจชอบได้ยังไงกันครับ?”
ก่อนที่หัวหน้าหมู่บ้านจะพูดจบ สัญญาก็ถูกตัดครึ่งและตามมาด้วยเสียงดาบ
หวังซูฉินชักดาบของเธอออกมาแล้วพูดอย่างเย็นชา “ข้าบอกแล้วไงว่าตอนนี้มณฑลเสฉวนกำลังตกอยู่ในความวุ่นวาย และกฏก็ได้เปลี่ยนไปแล้ว ข้าไม่อยากย้ำเรื่องที่ข้าพูดไปแล้วหรอกนะ”
ชาวบ้านแลกเปลี่ยนสายตากันเมื่อได้ฟังเช่นนี้ สีหน้าของพวกเขาซีดเผือด
พวกเขาต้องมีสภาพคล่องทางการเงินถึงจะจ่ายเงินที่เพิ่มขึ้นมาได้ มันไม่มีทางที่พวกเขาจะเสกเงินออกมาจากอากาศได้หรอก
เหมือนกับว่าเธอคาดการเรื่องนี้เอาไว้แล้ว ในเวลานี้เองผู้คุ้มกันคนนึงที่อยู่ข้างหวังซูฉินก็พูดขึ้นมา
“ตระกูลหวังไม่ได้พยายามจะผลักดันพวกเจ้าไปเจอทางตัน ถ้าปฏิเสธที่จะจ่ายค่าเช่าก็ไม่เป็นปัญหา พวกเจ้าแค่ต้องเซ็นสัญญาทาสและกลายเป็นทาสให้กับตระกูลหวัง และจากนั้นเรื่องนี้ก็จะจบลงด้วยดี”
หัวหน้าหมู่บ้านเริ่มไออย่างเต็มแรงเมื่อได้ฟังคำพูดพวกนี้
ผู้คนในหมู่บ้านหินเป็นชาวนากันหมด แต่ชาวนาก็ยังเป็นอิสระ ไม่ใช่ทาส
อย่างไรก็ตาม ถ้าพวกเขาเซ็นสัญญาทาส พวกเขาก็คงจะกลายเป็นทาสของตระกูลหวัง ชีวิตและความตายของพวกเขาจะตกอยู่ในการควบคุมของตระกูลหวังทั้งหมด แล้วพวกเขาจะยอมให้เรื่องแบบนั้นเกิดขึ้นได้ยังไงกัน?
“พวกเราจะไปทำนาให้ตระกูลเจากับตระกูลจาง!”
“หมู่บ้านหินเป็นสถานที่สำหรับคนที่เป็นอิสระมาโดยตลอด พวกเราจะกลายเป็นทาสไปทำไมหล่ะ?”
“ใช่แล้ว! ข้าไม่อยากให้ลูกของข้ากลายเป็นทาสก่อนที่จะเขาจะได้เกิดมาด้วยซ้ำ!”
ชาวบ้านหนุ่มที่ยังมีจิตใจเร่าร้อนตะโกนบ่น
คนคุ้มกันเยาะเย้ยในตอนที่ได้ยินพวกเขา สายตาของเขานั้นเย็นชาดุจน้ำแข็ง
“ตอนนี้ตระกูลจางกับตระกูลโจวกำลังทำสงครามกันอยู่ พวกเจ้าคิดว่าพวกเขาจะมีเวลามาสนใจชาวนาอย่างพวกเจ้ารึไง?
“ข้าจะบอกให้นะ ตอนนี้มณฑลเสฉวนกำลังตกอยู่ในความวุ่นวายอย่างรุนแรง ถ้าพวกเจ้าบังเอิญไปเจออุบัติเหตุระหว่างทางที่ไปหาตระกูลอื่น ก็คงไม่มีใครมาดูแลพวกเจ้าหรอก!”
น้ำเสียงเตือนในคำพูดของเขานั้นชัดเจน ชาวบ้านที่บ่นเมื่อก่อนหน้านี้พากันเงียบหมด สายตาของพวกเขาเต็มไปด้วยความสิ้นหวัง
หัวหน้าหมู่บ้านร้องไห้อย่างขมขื่น ด้วยเสียงตุ้บ เขาก็คุกเข่าลงกับพื้นแล้วอ้อนวอนหวังซูฉิน “ท่านหญิงลำดับสอง โปรดเมตตาพวกเราด้วย เด็กๆบางคนในหมู่บ้านของเรายังไม่ทันโตเลย ข้าไม่สามารถปล่อยให้พวกเขากลายเป็นทาสคนอื่นในวัยเท่านั้นได้หรอก!”
สายตาของหวังซูฉินเต็มไปด้วยความรังเกียจในขณะที่เธอฟังเขา
กลุ่มคนชั้นต่ำเอาแต่ทำตัวเอาแต่ใจ การกลายเป็นทาสของตระกูลหวังทำให้พวกเขาเสื่อมเสียอย่างงั้นหรอ? นี่มันอุกอาจยิ่งนัก!
ผู้คุ้มกันที่อยู่ข้างๆเป็นคนช่างสังเกต เมื่อเห็นว่าท่านหญิงลำดับสองไม่พอใจ เขาก็ตะคอกออกมา “แค่พวกเราเสนองานให้พวกเจ้าก็ถือว่าใจดีมากพอแล้ว แต่นี่พวกเจ้าไม่อยากเป็นทาสอย่างนั้นหรอ? หัดดูตัวเองบ้างพวกชาวบ้าน ดูสภาพน่ารังเกียจของตัวเองซะสิ พวกเจ้าเกิดมาเพื่อเป็นทาส ท่านหญิงลำดับสองแค่พยายามให้พวกเจ้าได้ทำตามเป้าหมายนั้น แต่ตอนนี้พวกเจ้าเอาแต่ไม่พอใจเนี่ยนะ พวกเจ้ายังมีอะไรให้บ่นได้อีก”
หลังจากที่เขาพูดจบ คนคุ้มกันก็ชักมีดพร้าออกมาแล้วเอาไปตบเบาๆที่แก้มของหัวหน้าหมู่บ้าน ด้วยใบหน้ายั่วยุ
ในตอนนั้นเอง เฉินเฉินก็โผล่มาอย่างกระทันหันแล้วมายืนอยู่ตรงหน้าหัวหน้าหมู่บ้าน เขาดันมีดออกไปด้านข้างแล้วเงยหน้าจ้องมองคนคุ้มกัน
“เป็นความจริงรึเปล่าถ้าพวกเราจ่ายค่าเช่าส่วนที่เพิ่มมาห้าสิบเปอร์เซนต์ได้ พวกเราก็ไม่ต้องเซ็นสัญญาทาส?”
“จ่ายค่าเช่าหรือเซ็นสัญญาทาส เจ้าต้องตัดสินใจวันนี้”
คนคุ้มกันเอามีดวางบนไหล่ของเขา น้ำเสียงของเขานั้นเต็มไปด้วยความดูถูก
ในความคิดของเขา แค่ค่าเช่าเดิมที่จ่ายในอดีตก็ลำบากแล้ว ไม่ต้องพูดถึงส่วนที่เพิ่มมาอีกห้าสิบเปอร์เซนต์เลย
พวกเขาตั้งใจจะบังคับให้ชาวนาพวกนี้กลายเป็นทาสในวันนี้
ตระกูลจางกับตระกูลเจากำลังต่อสู้กันอย่างดุเดือด แต่ในท้ายที่สุดแล้ว ทั้งสองตระกูลก็จะได้รับความเสียหายอย่างรุนแรง ตระกูลหวังสามารถใช้โอกาสนี้เพื่อไต่เต้าขึ้นไปได้
พวกเขาอาจจะได้รับพื้นที่เพาะปลูกเพิ่มขึ้นเป็นจำนวนมากด้วย
แล้วจะทำยังไงกับพื้นที่เพาะปลูกที่ได้มาใหม่หล่ะ? แน่นอนว่าก็ใช้แรงงานจากชาวนาพวกนี้ยังไงหล่ะ
เมื่อชาวบ้านพวกนี้กลายเป็นทาส ตระกูลหวังก็จะสามารถใช้ประโยชน์จากพวกเขาได้ถึงขีดสุด ตราบใดที่พวกเขาไม่เหนื่อยตายไปซะก่อน
ในส่วนของคนแก่ คนอ่อนแอ คนป่วย และคนพิการนั้น พวกเขาก็ควรจะลงไปทำนาด้วย
แทนที่จะป่วยตายอยู่ที่บ้าน ให้พวกเขาตายในพื้นที่เพาะปลูกน่าจะดีกว่า เพราะนั่นจะเป็นการเพิ่มคุณค่าของพวกเขาให้ถึงจุดสูงสุด
เมื่อได้ฟังคำพูดของเขา เฉินเฉินก็จ้องคนคุ้มกันตาเขม็งแล้วเริ่มหัวเราะออกมาดังลั่น เขาชี้แจง “หมู่บ้านหินมีกันทั้งหมดห้าสิบครัวเรือน ในทางทฤษฎีแล้ว ก็คือจ่ายหลังละ 1,200 ตำลึง ซึ่งยอดรวมก็เท่ากับ 60,000 ตำลึง
“ตอนนี้เจ้าขึ้นค่าเช่าอีก 50% มันก็จะเป็น 90,000 ตำลึง
“ข้าจะจ่ายส่วนที่เพิ่มขึ้นมา 30,000 ตำลึงเอง ซึ่งก็เท่ากับ 30 ตำลึงเงิน”
ในตอนที่พูดจบ เฉินเฉินก็ควักเอาเงิน 30 ตำลึงเงินออกมาจากกระเป๋าของเขาแล้ววางบนแผ่นหินที่ทางเข้าหมู่บ้าน
ก็อย่างที่ว่ากัน “เงินที่หยิบขึ้นมานั้นไม่ได้เป็นของเขา” ดังนั้นเฉินเฉินจึงไม่ได้รู้สึกเสียดายเลย
นอกจากนั้น เขายังได้รับการดูแลที่ดีตลอดระยะเวลาหลายปีที่เขาอาศัยอยู่ในหมู่บ้านหิน มันเป็นหน้าที่ของเขาที่ต้องจ่ายเงินเล็กน้อยนี้เพื่อชาวบ้าน
และที่สำคัญที่สุด เขารู้ว่าต่อให้จ่ายเงินไปแล้ว วันนี้ก็น่าจะมีการต่อสู้เกิดขึ้นอยู่ดี ด้วยคนที่ตระกูลหวังพามา พวกเขาไม่น่าจะยอมปล่อยไปง่ายๆแค่เพราะได้รับเงิน 30 ตำลึงเงินหรอก
เขาต้องฉวยโอกาสนี้สร้างชื่อเสียงที่แท้จริงในหมู่บ้านหิน ด้วยวิธีนี้ ในตอนที่เขาออกไปฝึกตนในอนาคต พ่อแม่ของเขาก็จะมีกลุ่มคนที่ซื่อสัตย์คอยดูแลพวกเขา
…
ในขณะที่มองประกายสีเงินนี้ คนคุ้มกันทั้งหมดและชาวบ้านก็อ้าปากค้างด้วยความตกตะลึง
สามสิบตำลึงเงินฟังดูไม่ใช่เงินจำนวนมากอะไร แต่มันก็ถือว่าเป็นจำนวนเงินที่มากมายสำหรับชาวบ้านในหมู่บ้านหิน พวกเขาอาจจะไม่สามารถสะสมได้ขนาดนี้ต่อให้พวกเขาเอาจากหลายบ้านมารวมกันก็ตาม
อย่างไรก็ตาม เฉินเฉินแสดงมันออกมาโดยไม่แม้แต่จะกระพริบตาด้วยซ้ำ นี่มันทำให้พวกเขาสงสัยว่าพวกเขากำลังฝันอยู่รึเปล่า
“เฉิน! นับจากวันนี้ไป เจ้าเป็นหัวหน้าหมู่บ้านนะ!”
หัวหน้าหมู่บ้านที่ตัวสั่นด้วยความตื่นเต้น ได้ยกตำแหน่งหัวหน้าหมู่บ้านให้เฉินเฉินในทันที
เฉินเฉินถึงกับพูดไม่ออก นี่เขาดูเหมือนคนที่อยากได้ตำแหน่งหัวหน้าหมู่บ้านหรอ?
สีหน้าของหัวหน้าคนคุ้มกันไม่สู้ดีเอามากๆในขณะที่เขามองภาพตรงหน้า
ตระกูลหวังอยากได้เงินประมาณ 30 ตำลึงนี้จริงๆหรอ? เจตนาที่แท้จริงของพวกเขาก็คือการเกณฑ์ชาวบ้านของหมู่บ้านหินทุกคนไปเป็นทาส และต้องการใช้ประโยชน์จากพวกเขาไปรุ่นสู่รุ่น
ในตอนนั้น คุณค่าของพวกเขาคงมากกว่าเงิน 30 ตำลึงไปไกลโขแล้ว
ด้วยความคิดเช่นนี้ คนคุ้มกันจึงหันไปมองหวังซูฉิน
หวังซูฉินไม่ได้พูดอะไร แล้วจ้องมองเฉินเฉินที่ยืนอยู่ตรงหน้าแผ่นหินอย่างเย็นชา
เธอค่อยๆชักดาบยาวในมือของเธอออกมา