บทที่ 38 เพื่อน(7)
ไฮนซ์เบลค
อย่างน้อยที่สุดในความทรงจำของเฟรย์เขาก็ไม่ต่างจากอิซากะมัสเกลหรือเลต้าแม่ของเขา
แน่นอนเขาเองก็ยังไม่แน่ใจเท่าไหร่
เฟรย์อาจเรียกได้ว่าเป็นลูกหลง มัสเกลอายุมากกว่าเฟรย์ถึงสิบสองปีและไฮนซ์ก็มีอายุมากกว่าเฟรย์สิบปีจึงมีความเป็นไปได้ที่จะมีบางอย่างเกิดขึ้นในวัยเด็กซึ่งเฟรย์จำไม่ได้
เชพเพิร์ดหัวเราะอย่างขมขื่นบางทีก็ตระหนักได้ว่าการแสดงออกของเฟรย์ทำให้เขารู้ว่าความสัมพันธ์ของพวกเขานั้นไม่ค่อยดีนัก
“ฉันรู้ว่าครอบครัวของคุณปฏิบัติต่อคุณอย่างไร ฉันไม่มีเจตนาที่จะปกป้องไฮนซ์ในเรื่องนั้น แต่ฉันอยากจะบอกคุณว่าเขาแตกต่างจากเอิร์ลอิซากะและมัสเกล อาจฟังดูเป็นเรื่องไร้สาระสำหรับคุณ แต่มีมันเรื่องเล่านะ”
“เรื่องอะไร?”
“มันไม่ใช่เรื่องที่ฉันควรจะบอกคุณ แต่ฉันเชื่อใจคุณเพียงเพราะเขารับรองตัวตนของคุณให้ โปรดจำเอาไว้ด้วยละ”
นี้เป็นข้อมูลที่ไม่คาดคิด
ความจริงที่ว่าไฮนซ์เบลคเป็นคนของเซอร์เคิลและเขายังได้รับประกันตัวตนของเฟรย์อีก
เชพเพิร์ดพูดต่อด้วยสีหน้าจริงจัง
“ในอนาคตคุณอาจจะยุ่งเกี่ยวกับเซอร์เคิลไม่ทางใดก็ทางหนึ่ง แต่ฉันไม่คิดว่าคุณตั้งใจจะทำแบบนั้นในตอนนี้ ใช่มั้ย?”
"ถูกตัอง"
คำพูดของเชพเพิร์ดเป็นความจริง
เฟรย์คิดเกี่ยวกับการติดต่อกับเซอร์เคิลหลังจากไปถึงระดับ 7 ดาวในหอคอยเวทมนตร์
ถึงเขาจะได้ยินมาว่าเซอร์เคิลเป็นกลุ่มที่ต่อต้านเดมิก็อด แต่เขาไม่สามารถมั่นใจได้จนกว่าเขาจะได้เห็นด้วยตาของเขาเอง
เขาต้องรู้ให้ได้ว่าพวกเขามีอำนาจมากแค่ไหน ความจริงเขาตั้งหน้าตั้งตารอมัน
เขาสงสัยว่ามีคนที่มีพรสวรรค์ที่ยอดเยี่ยมในหมู่พวกเขาด้วยหรือเปล่า
ตัวอย่างเช่นพ่อมดที่มีศักยภาพในการไปถึงระดับ 9 ดาวหรืออัศวินที่มีความสามารถพอๆกับลูซิดหรือนักรบเวทมนตร์ที่สามารถไปเหนือกว่าคาซาจินได้
“เพเรียนรู้เรื่องเซอร์เคิลมากแค่ไหน?”
“เขารู้มากกว่าคุณนิดหน่อย”
ดวงตาของเชพเพิร์ดหรี่ลงเล็กน้อย ดูเหมือนจะมีความไม่พอใจเล็กน้อยในสายตาของเขา แต่เมื่อเฟรย์มองเขาด้วยความสงสัยเขาก็โบกมือและพูดต่อ
"เอาละเขา...ดูเหมือนว่าเขากำลังพยายามเข้าสู่โทร์วแมนริงส์ มันเป็นเซอร์เคิลที่แตกสลายไปแล้ว แต่ดูเหมือนว่าเขาจะไม่เปลี่ยนใจ”
“เขามีเหตุผลเฉพาะหรือเปล่า?”
“ฉันไม่แน่ใจเกี่ยวกับเรื่องนั้นมากเกินไป ฉันรู้ว่าเขาเคารพนับถือลูคัสมาก แต่…”
“…”
“อย่างไรก็ตามนั่นคือทั้งหมดที่ฉันต้องได้พูด ฉันขอโทษที่เรียกคุณมาที่นี่แต่เช้า”
"ไม่เลยทุกอย่างนั้นโอเคดี"
เฟรย์รู้สึกว่าถึงเวลาที่ต้องออกจากบ้านของตระกูลจุนแล้ว
แทนที่จะกลับไปที่ห้องของเขา เขาขอให้แดฟกอนเรียกหาเพเรียน
หลังจากนั้นไม่นานพวกเขาก็พบกันบนม้านั่งในสวน
“ถ้านายไม่กลับไปเรียนโดยไม่มีเหตุผลเกินหนึ่งสัปดาห์นายจะถูกไล่ออกจากโรงเรียนโดยอัตโนมัติ คุณรู้แล้วใช่ไหม?”
"ใช่"
สถานที่แห่งนั้นไม่ได้มีความสำคัญสำหรับเฟรย์อีกต่อไป
เขามองไปที่เพเรียนและเริ่มเข้าเรื่องในเหตุผลที่เขาขอพบ
“พรุ่งนี้ฉันจะออกจากคฤหาสน์แล้ว”
“นายตั้งใจจะไปที่หอคอยหรือเปล่า?”
"ใช่ ท่านดยุคบอกว่าหอคอยเวทย์มนตร์ที่ 3 นั้นเหมาะกับฉัน ดังนั้นฉันจะไปที่นั่น”
“หอคอยเวทมนตร์ที่ 3 เป็นสถานที่ที่ดีจริงๆนั้นแหละ”
เพเรียนลังเลอยู่ครู่หนึ่ง
“นายได้เรียนรู้เกี่ยวกับเดมิก็อดตอนอยู่บนภูเขาหรือเปล่า?”
เฟรย์ไม่มีทางเลือกอื่นนอกจากอ้างตามนี้
"ใช่"
“พ่อของฉันไม่ได้ขอให้นายเข้าร่วมกับสโตรว์เน็คลิซหรือ?”
“เขาไม่ได้ขอ”
"ใช่หรือ? ฉันแน่ใจว่าเขาต้องการชายที่มีความสามารถอย่างนายแน่ๆ”
อาจเป็นเพราะเขารู้ว่าเฟรย์จะไม่ตอบรับคำเชิญแน่ๆ
เชพเพิร์ดดูเหมือนจะเป็นคนที่มีไหวพริบอย่างมาก
"ฉันดีใจนะ ฉันเองก็อยากให้นายเข้าร่วมโทร์วแมนริงส์ อา...นั้นเป็นเพียงความปรารถนาของฉันและฉันจะไม่บังคับนาย”
“ฉันได้ยินมาว่าตอนนี้มันไม่ใช่สถานที่ที่ดีนิ”
เซอร์เคิลนี้สืบทอดชื่อของเขาก็จริง แต่เฟรย์กลับไม่รู้สึกผูกพันใดๆเลย
"ถูกตัอง แต่เราไม่สามารถปล่อยให้เจตจำนงของมหาจอมเวทย์พังทลายหายไปได้”
เมื่อเขาพูดแบบนี้เพเรียนก็กำหมัดแน่นซึ่งทำให้เฟรย์มองเขาอย่างแปลกๆ ในขณะที่รอยยิ้มที่น่าอึดอัดปรากฏบนใบหน้าของเขา
“เพราะลูคัสคือฮีโร่ของฉัน แต่ฉันไม่ได้ชอบลูคัสเพียงเพราะเขาเป็นจอมเวทย์ที่ยิ่งใหญ่”
“แล้ว?”
“เขาเป็นอาจารย์ที่ยิ่งใหญ่”
สีหน้าของเพเรียนกลายเป็นจริงจัง
“ลูคัสบอกว่าเขาจะไม่มีวันปฏิเสธศิษย์คนไหนเลยที่เขายอมรับแล้ว แม้แต่คนที่ชั่วร้ายก็ยังกลายมาเป็นวีรบุรุษผู้สูงศักดิ์ภายใต้เงื้อมมือของเขา”
ตำนานมักจะถูกตีความผิดอยู่เสมอเนื่องจากมันมีข้อมูลจำนวนมากและไม่ชัดเจนหรือเกินจริงเกินไป
เฟรย์ไม่ได้ทำอะไรที่ยิ่งใหญ่ขนาดนั้น เขาเพียงแค่ปลอบโยนให้คำแนะนำและชี้แนะ
นั่นคือทั้งหมด
“นายอยากเป็นแบบนั้นใช่ไหม?”
"ฮะ สมองของฉันคงไม่ดีพอที่จะเป็นอาจารย์ของใครหรอกนะ ”
ใบหน้าของเพเรียนดูเศร้าเล็กน้อยเมื่อเขาพูดแบบนี้
เมื่อเฟรย์มองเขาโดยไม่พูดอะไรเขาก็หัวเราะอย่างขมขื่น
“ฉันรู้สึกสบายใจทุกๆครั้งที่ได้คุยกับนาย มันเหมือนกับว่าน้ำหนักบนไหล่ของฉันเบาลง”
เฟรย์ทำให้เขาสบายใจได้ในระดับที่แม้แต่ครอบครัวของเขาก็ไม่เคยทำได้
เฟรย์ไม่ได้เร่งรัดเพเรียน เขาไม่ได้พยายามสอดรู้สอดเห็นเพิ่มเติม
เมื่อใดก็ตามที่เพเรียนเปิดเผยปัญหาลึกๆ ที่รบกวนจิตใจเขาอยู่ภายในเฟรย์มองเขาด้วยสายตาที่ลึกล้ำเท่านั้น
มีช่วงเวลาที่เขาต้องการที่จะอยู่แบบนั้น
“ฉันรู้สึกถึงมานาได้ครั้งแรกเมื่อฉันอายุห้าขวบ”
“…!”
แม้แต่เฟรย์ก็อดไม่ได้ที่จะประหลาดใจกับความจริงนั้น เขามองเพเรียนใหม่
‘เขาเป็นอัจฉริยะจริงๆ’
แม้แต่ชไวเซอร์และเขายังรู้สึกถึงมานาเป็นครั้งแรกได้เมื่อพวกเขาอายุได้เจ็ดขวบ
แน่นอนว่าเขาไม่สามารถพูดได้ว่าเพเรียนจะกลายเป็นอาร์คเมจได้แน่นอน แต่การจะเรียกเขาว่าอัจฉริยะที่แท้จริงนั้นไม่ใช่เรื่องเกินจริง
“และเมื่อฉันอายุสิบเจ็ดฉันก็กลายเป็นพ่อมดระดับ 4 ดาว แม้ว่าจะมีการเปิดเผยภายนอกว่าตอนอายุยี่สิบ…ตอนนั้นเองฉันมีอาจารย์อยู่คนหนึ่ง”
"อาจารย์?"
"ใช่ เขาเป็นพ่อมดที่ดูแลหอคอยที่ 5 เขาเป็นพ่อมดระดับ 6 ดาวที่มีเคราสีขาวยาวลงมาที่หน้าอกของเขา”
เฟรย์รอให้เขาเล่าเรื่องของเขาต่อโดยไม่เร่งเขา
“เขาเป็นคนที่มีความรู้มาก เขายิ้มราวกับว่าเขาสามารถตอบคำถามที่ฉันถามได้ ทุกๆครั้งที่เขาตอบคำถามเขาจะตบไหล่ฉันและฉันก็ไม่รู้ว่าทำไมเหมือนกัน แต่มันทำให้ฉันมีความสุขจนถึงจุดที่ฉันเริ่มถามคำถามที่ไม่จำเป็น”
มันเป็นความสัมพันธ์ระหว่างอาจารย์ / นักเรียนในอุดมคติ อย่างน้อยก็จากที่เขาเคยได้ยิน
แต่เฟรย์สามารถแยกแยะได้จากน้ำเสียงของเพเรียนว่าเรื่องราวมาพร้อมกับความบิดเบี้ยวบางอย่าง
เพเรียนลังเลอยู่นานก่อนจะบังคับตัวเองให้พูด
“ฉันเป็นคนที่ทำลายความสัมพันธ์ ฉันรู้สึกตื่นเต้นมากเกินไป ฉันไม่ได้คำนึงถึงตำแหน่งอาจารย์และตั้งคำถามมากเกินไป…วันหนึ่งอาจารย์ของฉันก็เริ่มที่จะตอบคำถามของฉันไม่ได้”
“…”
“เขาตะโกนใส่ฉันด้วยความโกรธ สัตว์ประหลาด! แกมันสัตว์ประหลาด!”
เพเรียนหัวเราะอย่างขมขื่นอีกครั้ง
เขาถอนหายใจและบังคับตัวเองให้แสดงออกอย่างสดใส
“นายเป็นคนแรกที่ฉันบอกเรื่องนี้ ฉันไม่ได้บอกเรื่องนี้กับพ่อเลยด้วยซ้ำ”
“ตั้งแต่นั้นมานายเลยกลัวที่จะก้าวหน้าต่อไปใช่หรือเปล่า?”
“…”
เพเรียนเงียบเพราะคำตอบมันช่างชัดเจน
“การเรียนรู้เวทมนตร์ยังคงเป็นเรื่องสนุก ฉันยังมีความต้องการในการเรียนเวทย์มนต์อยู่มาก แต่ฉันก็ชักไม่แน่ใจ”
เพเรียนมองอย่างทุกข์ใจ ใบหน้าของเขาบิดเบี้ยวด้วยความเจ็บปวด
“ช่วงเวลาที่ฉันดื่มด่ำกับมันอย่างแท้จริงใบหน้าของอาจารย์ของฉันก็จะโผล่ขึ้นมา ฉันเป็นสัตว์ประหลาดจริงๆหรือ?”
“นายกำลังประเมินค่าตัวเองสูงเกินไป”
"ฮะ?"
ด้วยพูดคำพูดของเฟรย์ เพเรียนเบิกตากว้าง แต่เฟรย์ยังคงพูดต่อด้วยน้ำเสียงที่สงบ
“และนายกำลังประเมินเวทมนตร์ต่ำเกินไป ฟังนะเพเรียน! แม้นายจะมีป้ายที่กำกับด้วยคำว่าอัจฉริยะ แต่ถ้าหากคนๆนั้นไม่ได้ทำงานหนักจนถึงขั้นอาเจียนออกมาเป็นเลือด ก็เป็นไปไม่ได้ที่คนๆจะไขความหมายที่แท้จริงของเวทมนตร์ได้แม้ว่าคนๆจะโชคดีที่สุดในโลกก็ตาม”
“…!”
“พรสวรรค์ของนายนั้นยอดเยี่ยมมาก อาจารย์คนนั้นของนายกำลังกลัวนายและบางทีเขาอาจจะอิจฉานายด้วยซ้ำ เขารู้ว่าไม่ช้าก็เร็วนายจะเหนือกว่าเขา”
คนแบบนี้ไม่สามารถเรียกตัวเองว่าเป็นอาจารย์ได้ เฟรย์มองไปที่เพเรียนด้วยสายตาสงบ
เขารู้ว่าจะจัดการกับบุคลิกประเภทนี้อย่างไร
"นายจะทำอะไรต่อจากนี้?"
"ฮะ? ฉัน…ก่อนอื่นฉันจะกลับไปที่สถาบันเวสต์โร้ด”
เพเรียนตอบขณะที่สงสัยเกี่ยวกับการเปลี่ยนหัวข้ออย่างกะทันหัน
การศึกษาของสถาบันเวสต์โร้ดเป็นสิ่งสำคัญสำหรับเขาในการสืบสานครอบครัวที่เขาจะได้รับในวันหนึ่ง
“แล้ว?”
“ฉันคิดจะเข้าร่วมกับเซอร์เคิล”
“ดูเหมือนว่าจะใช้เวลานานมากก่อนที่เราจะได้พบกันอีกครั้ง แต่ฉันรับรองได้ว่าตอนนั้นฉันจะแข็งแกร่งกว่าที่เป็นอยู่หลายเท่า”
“…”
“ยังไม่เข้าใจอีกเหรอ? สิ่งที่ฉันต้องการจะบอก”
เฟรย์มองไปที่เพเรียน
“ฉันต้องการสานต่อความสัมพันธ์ที่เท่าเทียมกับนายยังไงละ”
“…!”
“แน่นอนว่าความสัมพันธ์ดังกล่าวไม่จำเป็นต้องถูกกำหนดโดยความแข็งแกร่งของนาย ฉันไม่ได้หาเพื่อนเพราะเรื่องแบบนั้น สิ่งที่ฉันกังวลมากคือระดับความคิดของนายต่างหาก ถ้าเกิดว่าช่องว่างนั้นกว้างขึ้นกว่าที่เป็นอยู่ในตอนนี้ ฉันเชื่อว่านายเองก็จะเริ่มไม่มั่นใจ”
เพเรียนถึงกับพูดไม่ออก
เฟรย์พูดถูก
เพเรียนเป็นคนที่หยิ่งผยองอย่างไม่คาดคิด เขารู้ว่าตอนนี้เฟรย์แข็งแกร่งกว่าเขา แต่เขาไม่คิดว่ามันอยู่ในระดับที่แตกต่างไปจากเขาโดยสิ้นเชิง
แต่ถ้ามันยังคงเป็นแบบนี้ต่อไปเรือยๆล่ะ?
จะเป็นอย่างไรหากในครั้งต่อไปที่พวกเขาพบกันแล้วเฟรย์แข็งแกร่งกว่าตัวเขาในปัจจุบันมากในขณะที่เขาไม่มีความก้าวหน้าเลย?
เขาจะไม่สามารถยอมรับสิ่งนั้นได้และจะต้องทนทุกข์ทรมานจากความเกลียดชังของตัวเอง
เพเรียนลังเล
“…ฉันจะเผชิญหน้ากับมันได้หรือไม่? ฉัน...”
“ฉันรับรองได้เลยว่าโลกนี้กว้างใหญ่มาก ยังมีอัจฉริยะอีกมากมาย หากนายเข้าไปเรียนรู้ในหอคอยเวทย์มนตร์ที่เหมาะสมและแสร้งทำเป็นอัจฉริยะนายก็สามารถดำเนินชีวิตแบบเดิมอย่างนี้ต่อไปได้เรือยๆ แต่ถ้านายต้องการเผชิญหน้ากับพวกเดมิก็อดและสิ่งมีชีวิตที่เหนือกว่ามนุษยอื่นๆ นายในตอนนี้ยังไม่ดีพอ”
“…”
ดวงตาของเพเรียนสั่นไหวอย่างรุนแรง
จากนั้นเขาก็ปิดปากและพึมพำเบาๆ
"…นายพูดถูก"
นั่นคือทั้งหมด
หลังจากนั้นไม่มีการสนทนาใดๆเกิดขึ้นเลย
เพเรียนได้ใช้คำพูดของเฟรย์คิดและได้ข้อสรุป แต่เฟรย์ไม่ได้ถามอะไรเขาเลย
เมื่อมองไปที่ธารน้ำที่ไหล เขาก็ไม่รู้ว่าทำไม แต่เขารู้สึกเหมือนว่าอีกไม่นานเขาคงจะได้พบกับเพเรียนอีกครั้ง
และในวันถัดไป
เฟรย์ออกเดินทางไปยังหอคอยเวทมนตร์ที่ 3