ตอนที่ 26: ปีกไก่จี๊ดจ๊าด (2)
*ก่อนจะอ่านนิยาย โปรดตรวจสอบว่าท่านได้อยู่ในสถานที่ที่มีแสงเพียงพอ หรือถ้าท่านอ่านในความมืดก็อย่าลืมเปิด Night Mode หรือจอส้ม เพื่อป้องกันการปวดหัวและสายตาสั้นด้วยนะครับ*
--------------------------------------------------------------------------------------------
เมืองเมฆขาวนั้นเป็นเมืองเล็กๆที่ตั้งอยู่ตรงตีนเขาที่เต็มไปด้วยสัตว์ปราณ. ตอนแรกนั้นมันเป็นแค่หมู่บ้านเล็กๆ แต่ต่อมาเมื่อจำนวนนักผจญภัยที่มาล่าสัตว์ปราณบนภูเขาเพิ่มขึ้น พวกเขาก็ได้ตั้งรกรากอยู่ที่เมืองนี้. พวกนักล่าที่ประสบความสำเร็จก็มาตั้งร้านขายของที่นี่เช่นกัน ไปๆมาๆคนก็เยอะขึ้นเรื่อยๆ พอเห็นโอกาสก็เปิดร้านค้าเยอะขึ้นเรื่อยๆ จนเมืองเมฆขาวนั้นกลายเป็นสถานที่ที่ครึกครื้นมาก.
ตอนนี้ก็มีกลุ่มนักผจญภัยเล็กๆหลายกลุ่มพยายามจะหาคนไปร่วมพิชิตภูเขานั้นด้วยกัน.
เขตรอบๆภูเขาสัตว์ปราณนั้นเป็นสถานที่ที่มีแต่อันตราย. เนื่องจากจำนวนสัตว์ปราณนั้นมีอยู่เยอะ ถ้าพวกนักผจญภัยเจอตัวที่โหดๆล่ะก็ พวกเขาก็มีโอกาสตายอยู่ในภูเขานั้นสูงมากๆ. แต่ถ้าพวกเขาสามารถจับสัตว์ปราณมาได้เยอะๆหรือเจอหินสัตว์ปราณล่ะก็ พวกเขารวยอื้อซ่าแน่.
ด้วยสมบัติมากมายที่คอยยั่วให้ผู้คนมาที่ภูเขานี้ ต่อให้เสี่ยงตายแค่ไหนก็มีหลายๆคนอยากจะลองดูซักตั้ง. ปกติแล้วถ้ามีกลุ่มเล็กๆมา พวกเขาก็จะเข้าไปทั้งๆที่คนน้อยแบบนั้นแหละ (ประโยคนี้ไม่มั่นใจครับ eng แปลมาแบบนี้) ถ้าพวกเขาสามารถกลับมาแบบมีชีวิตรอดทุกคนได้ก็แปลว่าคนในกลุ่มนั้นต้องเป็นพวกระดับสูงแน่.
หยงหมิงเป็นนักผจญภัยระดับพื้นฐานขั้น5และหัวหน้าของกลุ่มนักผจญภัยอนาคตสดใส. กลุ่มของเธอมีกัน8คน, ส่วนใหญ่แล้วมีแต่ผู้ชาย. หญิง2ชาย6รวมทั้งหมด. ระดับของพวกเขานั้นส่วนใหญ่อยู่ที่ระดับ 4 ด้วยเหตุนี้พวกเขาจึงออกล่าแค่เฉพาะเขตรอบนอกของภูเขา.
เมื่อตอนที่พวกเขากำลังเดินทางไปเขตภูเขาวันนี้ พวกเขาก็เห็นเด็กผู้หญิงคนหนึ่งอยู่ไม่ไกลนัก. เด็กคนนั้นเดินไม่ใกล้และไม่ไกลจนเกินไปแต่นางก็เดินตามมาตลอดซึ่งมันแปลกมากๆ.
“เราไล่เธอไปดีมั้ย?” คนในกลุ่มนั้นถามขึ้นมา “ตามเรามาอย่างงั้นมีแต่จะถ่วงแข้งขาเราป่าวๆ”
“ไม่ต้องหรอก! เธออยู่ไกลพอตัวอยู่แล้วก็ไม่มาขวางเราด้วย ปล่อยไปงั้นแหละ” ผู้หญิงคนนึงในทีมตอบ.
“เธอน่าจะตามเรามาเพราะต้องการคนปกป้องแหละ! อย่าไปสนเลย” หยงหมิงกล่าว “พอเราเจอหนอนไม่ก็งูเธอก็คงกลัวแล้ววิ่งหนีไปเองแหละ”
พอถึงช่วงบ่าย เด็กคนนั้นก็ยังตามพวกเขาอยู่ห่างๆ.
“เราพักกันซักหน่อยเถอะ หาอะไรกินกัน” หยงหมิงกล่าว. จากระยะไม่ไกลนักเด็กคนนั้นก็หยุดเดินเหมือนกัน.
ขณะที่พวกเขาทำอาหารอยู่นั้น เด็กคนนั้นก็ทำด้วยเหมือนกัน. พวกเขาเห็นว่าเธอเพิ่งจะเริ่มกอ่ไฟแล้วก็กำลังย่างอะไรอยู่.
ผ่านไปพักนึง สมาชิกในกลุ่มคนนึงที่ไปเดินเปลี่ยนบรรยากาศก็กลับมา. เขาสูดกลิ่นด้วยความสงสัย “พวกเธอทำอะไรน่ะ? หอมจัง อาา!”
จากนั้นเขาก็สังเกตุเห็นว่าคนในกลุ่มทั้งหมดจ้องมาทางเขาด้วยสีหน้าแปลกๆ. แล้วหัวหน้าทีมก็พูดขึ้นมาว่า “กลิ่นหอมๆนั่นไม่ได้มาจากเรานะ”
“ห้ะ?” ชายคนนั้นจ้องไปในหม้อ ซึ่งมันกำลังอุ่นซาลาเปายัดไส้, หมั่นโถวแล้วก็เซาปิ่งอยู่
“แล้วกลิ่นนั่นมาจากไหนล่ะ?”
คนในทีมทั้งหมดหันไปทางเดียวกัน.
เด็กผู้หญิงที่เดินตามพวกเขามาตลอดทางกำลังย่างบางอย่างแบบเมามันส์อยู่ พลิกไปพลิกมาบ้าง.
“ชั้นทนไม่ไหวแล้ว เธออยากจะมาท้าทายภูเขาใช่มั้ย? ให้นางมากับเราเถอะ!” ผู้หญิงในกลุ่มคนนึงลุกขึ้นแล้วกล่าว.
“เดี๋ยว!” หยงหมิงรั้งแขนเธอไว้ “เด็กผู้หญิงธรรมดาๆจะกล้ามาได้ยังไงกัน? เธอต้องมีอะไรแน่ๆ”
ผู้หญิงคนนั้นปัดมือออกแล้วยิ้ม จากนั้นกล่าว “ถ้าเธอมีอะไรแล้วยังไงล่ะ? เราไม่มีของมีค่าพอจะให้เธอขโมยหรือหลอกเอาได้หรอก!”
“....”
พวกเขาพูดอะไรไม่ออก.
พอชิยูเห็นผู้หญิงคนนึงเดินเข้ามา เธอก็ยิ้มให้. โชคดีที่ความพยายามของเธอไม่สูญเปล่าจริงๆ. นี่เป็นครั้งแรกที่เธอมาท้าทายภูเขาสัตว์ปราณและการมีกลุ่มมันสำคัญมาก. เธอสังเกตุตั้งแต่อยู่ในเมืองมาซักพักแล้ว และกลุ่มนี้ก็ไม่ได้แย่ เธอเลยเลือกจะตามพวกเขามา.
พอผู้หญิงคนนั้นหยุดอยู่ด้านหน้าชิยูแล้วชวนเธอเข้ากลุ่ม ชิยูก็ตกลงทันที. เธอดับไฟแล้วเอาปีกไก่ที่เพิ่งย่างเสร็จให้เธอ…
“นี่เธอ ทำไมถึงทำอาหารได้น่าอร่อยจัง?” คนอื่นๆรีบเข้ามาแล้วถาม.
“ชั้นเพิ่งย่างปีกไก่เสร็จน่ะ ลองกินมั้ย?” ชิยูยื่นปีกไก่ย่างหนังเหลืองอร่ามให้.
“แน่นอน!” จากนั้นพวกเขาก็แย่งกันหยิบ.
ปีกไก่มีอยู่4ชิ้นแต่มีคนตั้ง9คน ชิยูจึงยิ้ม “ถ้าพวกเธอไม่รีบ ชั้นจะทำเพิ่มให้นะ”
พวกเขาเพิ่งกินอาหารของคนอื่นไป จะให้รีบไปได้ยังไง? พวกเขาจึงพากันนั่งรอ.
ชิยูเตรียมปีกไก่มาจำนวนนึง. เธอเอาทุกอย่างออกมาแล้วใช้มีดจิ้มที่ปีกไก่ จากนั้นก็ทาน้ำมันแล้วย่าง.
ไฟจากถ่านนั้นร้อนมาก ไม่นานปีกไก่ก็เริ่มเปลี่ยนสี น้ำมันก็เริ่มหยดออกมาจากรูนั้น. ชิยูโรยเกลือลงไปแล้วใช้แปรงทาเกลือกับน้ำมันนั้นไปรอบๆ. เธอทำซ้ำอยู่หลายทีแล้วก็รอให้มันเกือบจะได้ที่ จากนั้นขั้นสุดท้ายเธอก็โรยพริกป่นลงไปแล้วย่างอีกซักหน่อยแค่นี้ก็เสร็จแล้ว.
พวกที่กำลังนั่งรออยู่กำลังทรมาณกับกลิ่น. พอปีกไก่เสร็จแล้วพวกเขาก็หยิบไปทันที. ชิยูทำอะไรไม่ได้เลยตั้งหน้าตั้งตาย่างต่อไป.
นักผจญภัยคนอื่นๆนั้นระแวงผู้หญิงคนนี้ที่กำลังจะเข้ากลุ่มอยู่แล้ว. ตอนที่รอเธอ พวกเขาก็พยายามเรียนรู้เธอแบบอ้อมๆผ่านการสนทนาทั่วๆไป. เธอตอบคำถามเมื่อตอบได้ และจะยิ้มให้แบบแปลกๆพอเธอไม่อยากตอบ.
พอพวกเขาเห็นว่าเธอไม่อยากตอบก็เลยเปลี่ยนเรื่องไปคุยอย่างอื่น.
“ชั้นได้ยินมาว่าพวกตระกูลเจาจากเมืองชิงฉานเองก็มาที่นี่ ไม่รู้เหมือนกันว่ามาทำอะไรเขตภูเขาสัตว์ปราณนี้”
“เรื่องของตระกูลใหญ่แบบนั้นไม่เกี่ยวกับเราหรอก. เรารู้ไปก็ไม่ได้ช่วยอะไรด้วย. พวกเขาคงมีเรื่องต้องทำแหละถึงมานี่. คงไม่มีอะไรหรอกถ้าพวกเขาไม่บ้าปิดภูเขาหรืออะไรแบบนั้นล่ะนะ”
บ่อยครั้งที่เวลาพวกตระกูลใหญ่ๆจะมาล่าสัตว์ปราณ พวกเขาจะปิดอาณาเขตนี้ทั้งหมดไม่ให้ใครเข้ามา. นักผจญภัยกลุ่มเล็กๆหลายกลุ่มก็ไม่ค่อยชอบด้วย.
พอเธอได้ยินพวกเขาพูดถึงตระกูลเจา สีหน้าของชิยูก็หมองลง.
เธอกะว่าจะสั่งสอนเจา ฉางชิงตอนที่อยู่เมืองชิงฉานเพื่อระบายอารมณ์. แต่พอเธอได้ยินข่าวเกี่ยวกับตระกูลเจาเธอก็รู้มาว่าเจา ฉางชิงนั้นพาคนมาล่าสัตว์ที่ภูเขานี้. ดังนั้นเธอจึงตัดสินใจมาที่นี่ซะเลย.
จะดีกว่าถ้าจะสั่งสอนเจา ฉางชิงที่เขตภูเขาสัตว์ปราณนี้เพราะจะไม่มีใครในตระกูลเจาสงสัย. เจา ฉางชิงมีระดับ6ตอนนี้แต่เธออยู่แค่ระดับ4เอง นั่นแปลว่าพวกเขาห่างกัน2ระดับ. แต่ตราบใดที่เธอระวังล่ะก็ เธอสามารถสั่งสอนเจา ฉางชิงจนเขาไม่มีวันลืมแน่!
คนระยำแบบนี้เป็นภัยต่อสังคม เขากล้าฆ่าคนบริสุทธิ์และเอาเปรียบคนอื่น. เขาต้องถูกสั่งสอนสามัญสำนึกของมนุษย์ซะบ้าง.