WS บทที่ 32 ดินแดน PART 2
เช้าวันรุ่งขึ้น ปราสาทวิลสันเต็มได้ด้วยเสียงตบเท้าของกองอัศวินกว่าหกสิบนายที่กำลังเคลื่อนพลมาใกล้ประตูหลัก
“ระวังตัวด้วยนะพี่เมอร์ลิน ไม่ว่าจะเกิดอะไรขึ้นก็ห้ามหยุดเด็ดขาดจนกว่าจะถึงดินแดนของท่านพ่อ” เมซี่ส์กล่าวด้วยความเป็นห่วง
ตัวเธอเพิ่งทราบเรื่องที่เมอร์ลินจะออกไปนอกเมืองเมื่อคืน ในตอนนั้นทางพ่อบ้านได้เตรียมการทุกอย่างเสร็จเรียบร้อยแล้ว ถึงเธออยากจะหยุดเมอร์ลินแต่มันก็สายเกินไป
เมอร์ลินพยักหน้าก่อนจะเดินขึ้นไปในรถม้า
การเดินทางครั้งนี้ค่อนข้างกินระยะทางพอสมควร เขาต้องใช้เวลาเดินทางเกือบหนึ่งวันก่อนที่จะถึงที่หมาย
โดยคนขับรถม้านั้นยังเป็นมอสส์ที่นี้เช่นเดิม
“เอาล่ะ มอสส์ไปกันเถอะ”
เมื่อสิ้นสุดคำสั่งของเมอร์ลิน รถม้ากับกองทหารก็ได้เคลื่อนตัวออกไปอย่างช้า ๆ
นี่เป็นครั้งแรกที่เมอร์ลินได้ออกไปนอกเมือง เขาอยากจะดูทิวทัศน์โดยรอบจึงทำให้เขาไม่ได้ทำสมาธิ
ถนนนอกเมืองนั้นเป็นหลุมเป็นบ่อมากผิดกับถนนในเมืองที่ได้รับการปูด้วยหินแบนอย่างดี
แม้ว่ามอสส์จะมีความชำนาญในการขับรถม้ามากกว่านี้แต่ก็คงยากที่จะขับโดยไม่โคลงแคลงได้
โชคดีที่ร่างกายของเมอร์ลินในตอนนี้แข็งแรงกว่าเมื่อก่อนมาก ด้วยการทำท่าทางออกกำลังจากประติมากรรมนูนจึงทำให้เขาสามารถทนต่อการโยกไปมาของรถม้าได้
รถม้าของเมอร์ลินนั้นอยู่ตรงใจกลางของกองอัศวิน เขาได้ดึงผ้าม่านออกและเห็นอัศวินที่อยู่ด้านข้าง เขาอายุราว ๆ สิบหก สิบเจ็ดปี ใบหน้าของเขายังดูเด็กมากแต่มีมือของเขาค่อนข้างหยาบกร้านซึ่งเกิดจากการกวัดแกว่งดาบเป็นเวลานาน
“นายชื่ออะไร” เมอร์ลินถามอัศวินหนุ่ม
อัศวินหนุ่มรีบตอบอย่างเคารพ “ผมชื่อยาเกซครับ คุณชายเมอร์ลิน”
“ยาเกซ นายมาทำงานที่ปราสาทวิลสันมาได้กี่ปีแล้ว?”
“ผมได้รับเลือกจากท่านบารอนผู้ทรงเกีรยติเมื่อสามปีก่อนครับ หลังจากผมก็ได้ฝึกหนักมาตลอดสองปี ในที่สุดผมก็ได้รับการเลื่อนขั้นเป็นอัศวินครับ”
เมอร์ลินรู้สึกได้ถึงความขอบคุณและความภาคภูมิใจจากใบหน้าของยาเกซ เขารู้ดีว่าการได้เป็นอัศวินของขุนนางนั้นเป็นที่นับหน้าถือตามากแค่ไหนในสายตาของสามัญชนคนทั่วไป
สำหรับครอบครัวของอัศวินภายใต้สังกัดของขุนนาง พวกเขาจะได้รับการยกเว้นหรือการลดหย่อนภาษี ดังนั้นนี่จึงความฝันของเด็กหนุ่มหลายคนที่อยากจะเป็นอัศวินของขุนนาง
‘การเป็นอัศวินได้ตอนอายุสิบหก สิบเจ็ดได้นั้น ถือว่ายาเกชต้องมีพรสวรรค์อันเยี่ยมที่นอกเหนือจากการฝึกฝนอย่างหนัก’
“ร่างกายของนายมีปฏิสัมพันธ์กับธาตุไฟรึเปล่า?”
เมอร์ลินยังคงยิงคำถามต่อเนื่อง ตัวเขาสัมผัสได้ถึงพลังธาตุไฟบางส่วนที่อยู่โดยรอบกำลังเข้าไปในร่างกายของยาเกซโดยไม่หยุดหย่อน
“ใช่ครับคุณชายเมอร์ลิน ร่างกายของผมมีปฏิสัมพันธ์กับธาตุไฟ ผมโชคดีมากที่ตอนนั้นท่านบารอนสังเกตถึงเรื่องนี้ได้ในตอนนั้น ไม่อย่างนั้นผมคงอดตายไปแล้ว ในตอนนั้นท่านบารอนได้พูดไว้ก่อนหน้านี้ว่าอัศวินจะต้องจงรักภักดี เที่ยงธรรม กล้าหาญและซื่อสัตย์ ผมได้สาบานไว้ว่าจะติดตามท่านบารอนและเป็นผู้ใต้บัญชาตลอดชีวิตและนี่ก็เป็นภารกิจแรกของผมในฐานะอัศวิน คุณชายเมอร์ลินไม่ต้องกังวลไปนะครับ หากพวกโจรบุกเข้ามาผมจะปกป้องคุณชายเมอร์ลินอย่างสุดชีวิต”
ยาเกซพูดด้วยน้ำเสียงที่เคร่งขรึมและจริงใจอย่างยิ่ง เมอร์ลินรู้สึกได้ถึงความจริงใจของเขา
หลังจากที่เมอร์ลินมองใบหน้าที่จริงใจ ๆ อย่างเงียบ ๆ เขาก็ได้พยักหน้าเบา ๆ ก่อนจะปิดผ้าม่านไป
“...ปกป้องฉันงั้นเหรอ?” เมอร์ลินพูดพลางส่ายหัว
ด้วยสรรถภาพทางกาย ณ ปัจจุบันของเขามันสามารถเทียบเท่าได้กับจุดสูงสุดของนักดาบธาตุระดับหนึ่งแล้ว นอกจากนี้เขายังเป็นพ่อมดที่มีพลังอันลึกลับและทรงพลังเช่นนี้ คงเขาก็ไม่ต้องบอกนะว่าใครกันแน่ที่จะต้องได้รับการปกป้อง
อย่างไรก็ตามเมอร์ลินรู้สึกได้ถึงความจงรักภักดีของอัศวินที่มีต่อเลห์แมน วิลสัน เขารู้สึกว่าชายคนนี้มีเล่ห์เหลี่ยมมากกว่าที่เขาคิด การที่ทำให้คน ๆ หนึ่งจงรักภักดีได้ขนาดนี้แสดงว่าเขาต้องไม่ธรรมดา
หากเขาได้พบการเลห์แมนในตอนที่ถึงที่หมาย เขาต้องระวังอย่างมากในการพูดอะไรออกมาในแต่ละอย่าง
เมอร์ลินได้มองดูทิวทัศน์ภายนอกอยู่พักหนึ่ง ก่อนที่เขาจะเริ่มรู้สึกเบื่อ ดังนั้นเขาเลยนอนตะแคงข้างในรถม้าและเริ่มต้นทำสมาธิ
...
“คุณชายเมอร์ลินครับ เราถึงที่หมายแล้วครับ”
เมอร์ลินได้ออกจากการทำสมาธิ เขาไม่รู้ว่าเวลาได้ผ่านไปนานแค่ไหน
“เราถึงที่หมายแล้วเหรอ?”
เมอร์ลินกล่าวพลางเปิดผ้าม่านออก เขาพบว่าตอนนี้พระอาทิตย์ตกแล้ว แสงของท้องฟ้าค่อย ๆ มืดลง
พวกเขาอยู่บนถนนคดเคี้ยวโดยปลายทางของถนนเส้นเป็นปราสาทในดินแดนของเลห์แมน
ปราสามแห่งนี้ดูเก่าแก่มาก หลังคาเป็นทรงแหลมและเป็นรูปกรวย อิฐบนผนังได้เปลี่ยนเป็นสีดำ เมอร์ลินสังเกตเห็นว่ามีกำแพงบางส่วนเพิ่มได้รับการซ่อมแซม
เมอร์ลินโดดลงจากรถม้าแล้วเดินไปด้านหน้าโดยมีอัศวินสองสามนายเดินประกบปกป้องเขา ว่าจะถึงดินแดนแล้วแต่พวกเขาก็ไม่ลดการเฝ้าระวัง
“โปรดหยุดก่อน พวกคุณเป็นใคร”
ในขณะที่พวกเขาเข้าใกล้ปราสาท ทหารยามได้ปิดกั้นเส้นทางเอาไว้
อัศวินที่อยู่ข้าง ๆ เมอร์ลิน ได้รีบก้าวออกมาข้างหน้าและพูดว่า
“นี่คือคุณชายเมอร์ลิน คุณชายรีบมาที่นี่เพราะมีเรื่องสำคัญจะนำเรียนให้ท่านบารอนรับทราบ”
“คุณชายเมอร์ลิน?”
ทหารที่ทำหน้าที่เฝ้าประตูดูสงสัยในเรื่องนี้เนื่องจากเขาไม่เคยเห็นเมอร์ลินตัวเป็น ๆ มาก่อน แม้พวกเขาพอจะรู้มาว่าบารอนวิลสันมีลูกชายที่ชื่อว่าเมอร์ลินก็ตาม
“คุณชายเมอร์ลิน โปรดรอสักครู่ เรากำลังให้นายพลแพรตต์มายืนยันในเรื่องนี้”
ทหารยามยังไม่ให้เมอร์ลินเข้าปราสาทในตอนนี้ เขากำลังรอให้นายพลแพรตต์ออกมา
ทางด้านเมอร์ลิน เขาได้ขมวดคิ้วเล็กน้อย เขาไม่ได้ไม่พอใจที่ถูกขัดขวางแต่เขารู้สึกว่าทหารยามที่ปราสาทที่นี่ระมัดระวังและรอบคอบมาเกินไป เป็นไปได้มั้ยว่ามีบางอย่างเกิดขึ้นจนต้องทำให้การรักษาความปลอดภัยของปราสาทถึงแน่นหนาขนาดนี้
“ไว้ค่อยถามลุงแพรตต์อย่างละเอียด ในตอนนี้เขามาถึงล่ะกัน”
เมอร์ลินคิดว่าอาจมีเรื่องบางอย่างเกิดขึ้นในช่วงเวลานี้แต่เขาค่อยถามให้แน่ใจจากลุงแพรตต์ก่อนดีหว่า
หลังจากที่เมอร์ลินรออยู่พักหนึ่ง แพรตต์ก็ได้ปรากฏตัวขึ้นมา เขาก้าวเดินเข้ามาอย่างรวดเร็วและส่งเสียงตำหนิด้วยเสียงที่ดัง
“นั่นคือคุณชายเมอร์ลิน พวกแกจงจำไว้ให้ขึ้นใจ อีกหน่อยเขาก็จะกลายเป็นบารอน เมื่อถึงตอนนั้นพวกแกจะได้ไม่ต้องมาขวางเขาในตอนจะเข้าปราสาทของตัวเอง!!”
นายพลแพรตต์เข้ามาตำหนิทหารยามอย่างรุนแรงอยู่พักหนึ่ง ก่อนที่จะพาเมอร์ลินเข้าไปในปราสาท
ในระหว่างที่พวกเขากำลังเดินอยู่เมอร์ลินก็ได้ถามแพรตต์ว่า
“ลุงแพรตต์ มันเกิดเรื่องขึ้นในดินแดนใช่มั้ย ไม่อย่างนั้นคงไม่ใช้มาตรการป้องกันอย่างเข้มงวดเช่นนี้”
แพรตต์ลังเลอยู่พักหนึ่ง ก่อนที่เขาจะลดเสียงและพูดว่า “สาเหตุที่เป็นอย่างนี้ก็เนื่องมากจาก ทางเราได้พบกลุ่มโจรจำนวนมากที่อยู่รอบ ๆ ดินแดน ดังนั้นเพื่อความปลอดภัย ทางเราจึงประกาศภาวะฉุกเฉินจึงทำให้พวกทหารมีความเข้มงวดมากขึ้น”
เมอร์ลินรู้สึกสับสน เนื่องจากระหว่างเดินทางเขาไม่ได้พบกลุ่มโจรที่ว่าเลยแม้แต่คนเดียวจึงทำให้เขาคิดว่าดินแดนคงไม่ถูกรุกรานจากกลุ่มโจรแต่เขาคาดไม่ถึงเลยว่าสถานการณ์ของที่นี่จะรุนแรงมากขนาดนี้