WS บทที่ 29 ผลประโยชน์ที่ไม่คาดคิด
“อะไรก็ได้อย่างงั้นเหรอ?”
ดวงตาของเมอร์ลินจ้องตรงไปที่ยอดปทุมถันของจีอาอย่างตรงไปตรงมา
“ใช่ ฉันจะติดตามและอยู่เคียงข้างคุณนับจากนี้ ดังนั้นแล้วคุณสามารถทำอะไรก็ได้ตามที่ต้องการ” จีอากล่าวพร้อมเผยรอยยิ้มที่มีเสน่ห์และน่าหลงใหล
“แต่น่าเสียที่มันไม่มีประโยชน์กับฉัน...”
ดวงตาของเมอร์ลินฉายแววเย็นชาออกมาเผยเจตนาที่ต้องการจะฆ่าอย่างชัดเจน
*วู่ม*
กลุ่มลูกไฟพุ่งออกจากมือของเมอร์ลิน ไปหาหน้าอกของจีอาอย่างรวดเร็ว
เพลิงอันร้องแรงได้แผดเผาร่ายกายของจีอาอย่างไร้ความปรานี เนื้อสีดำที่ไหม้เกรียมได้ตัดกับสีผิวที่ขาวของเธอ
ดวงตาของจีอาเบิกกว้างราวกับเธอไม่อย่างจะเชื่อว่านี่จะเป็นความจริง แม้แต่วิธีเอาตัวเข้าแลก เธอก็ไม่อาจใช้มันเอาชีวิตรอดได้
หลังจากที่เมอร์ลินฆ่าจีอาเสร็จแล้ว เขาก็เดินกลับมาหาชายหนวดเคราและทำการค้นศพ เขาได้พบกระดาษสีเหลืองสองสามแผ่นจะร่างของชายหนวดเครา
“นี่มัน...โครงสร้างเวทมนต์งั้นเหรอ?”
เมอร์ลินตกตะลึง เขาไม่คาดว่าจะของทำนองนี้จะร่างของชายหนวดเครา เนื่องจากโครงสร้างเวทมนต์มีเพียงพ่อมดเท่านั้นที่ใช้งานได้
แต่อย่างไรก็ตาม เวลานี้คงไม่เหมาะที่จะตรวจสอบว่ามันเป็นคาถาอะไร เขาจำเป็นต้องเก็บกวาดที่นี่เสียก่อน
เมอร์ลินได้ลากศพทั้งหมดมากกองที่กลางสนามหญ้า ก่อนจะปล่อยลูกไฟใส่ เปลวไฟที่ลุกโชนได้เผาร่างทั้งสี่เหลือแต่ตอตะโก
จากนั้นเขาก็ขุดหลุมฝังขี้เถ้าลงไป
เมื่อเมอร์ลินจัดการทุกอย่างเสร็จสิ้น เขาก็ออกจากที่นี่ทันที
*ฟิ้ว*
ในระหว่างที่เมอร์ลินออกจากที่นั่น เขาได้กลิ่นเลือดจาง ๆ จากบ้านที่ออกมา เขาได้หันหน้าไปมองที่สนามอย่างเงียบ ๆ เขาหวังว่าหลังจากวันนี้กลิ่นเลือดคงจะจางหายไปทั้งหมด ตราบใดที่ไม่มีใครย่างกรายมาที่นี่ก็จะไม่มีใครรู้ว่าเกิดอะไรขึ้น
เมอร์ลินเอาผ้ามาพันคอกันลมหนาวและเดินต่อไปด้วยสีหน้าที่สงบ เขาเดินกลับมที่อาคารเรียนอีกครั้ง
เขาเดินตรงไปมามอสส์และพูดว่า
“มอสส์พาฉันไปส่งบ้าน”
มอสส์รับคำสั่งอย่างงง ๆ แต่เขาก็ไม่ถามอะไร จากนั้นพวกเขาก็กลับไปที่ปราสาทอย่างรวดเร็ว
...
เมอร์ลินนั่งอยู่บนเก้าไม้ในห้อง แสงเทียนบนโต๊ะเขียนหนังสือได้สั่นไหวอย่างแผ่วเบา
ตอนนี้เขานั่งหลับและนึกทบทวนถึงการต่อสู้ที่ผ่านมา
ถึงจะผ่านมาสองชีวิตแต่นี่ก็เป็นครั้งแรกที่เขาได้ฆ่าคนแถมเขาได้ฆ่าไปตั้ง 4คน
แต่อย่างไรก็ตามแทนที่เมอร์ลินจะรู้สึกไม่สบายใจ กลับกันเขารู้สึกสงบมากกว่า
“สถานที่แห่งนั้นต้องเป็นสำนักงานใหญ่ของจีอาและคนอื่น ๆ ที่มาจากอาณาจักรแบล็กมูนแน่นอน ดังนั้นจึงไม่น่าจะมีใครรู้ถึงที่ตั้งของมัน ยกเว้นว่าพวกเขาจะติดต่อกับกลุ่มอื่น แต่เอาเถอะอย่างน้อย ๆ ก็น่าจะไม่มีใครล่วงรู้ถึงความลับของฉัน”
เมอร์ลินได้ครุ่นคิดถึงอันตรายที่อาจจะเกิดขึ้นหลังจากเหตุการณ์นี้ เขาไม่รู้ว่ายังเหลือคนจากอาณาจักรแบล็กมูนอีกมั้ย ถึงความเป็นไปได้มันจะน้อยมากแต่ใช่ว่าจะไม่มี
หลังจากที่เขาคิดไปพักใหญ่เขาหยุดคิดเรื่องนี้ เขารู้สึกว่าเอาเวลาที่มานั่งกังวลมาเตรียมพร้อมเพื่อรอรับสิ่งที่เกิดขึ้นจะดีกว่า
เขาได้หยิบกระดาษสีเหลืองขึ้นมาดู มันเป็นโครงสร้างเวทมนต์งั้นที่อยู่ในตัวของชายหนวดเครา
เขาได้เขยิบเชิงเทียนมาใกล้เพื่อดูว่ามันเป็นคาถาประเภทไหน
“แช่แข็ง นี่มันคาถาน้ำแข็งระดับศูนย์นี่!!”
เมอร์ลินกล่าวออกมาอย่างดีใจ นี่เป็นคาถาอันต่อไปที่เขาต้องการหาอยู่พอดีเลย
แม้เขาจะมีโครงสร้างเวทมนต์คาถาลมกรดอยู่แล้ว แต่เขารู้สึกว่ามันไม่ค่อยมีประโยชน์กับเขามากเท่าไหร่เนื่องจากเขามีคาถาลูกไฟที่ทรงพลังแล้ว ดังนั้นเขาจึงอยากได้คาถาประเภทสนับสนุนหรือควบคุมมากกว่า
ด้วยคาถาแช่แข็งที่เขาบังเอิญได้มานี้ ต้องมีประโยชน์ใช้งานที่หลากหลายแน่นอน
เมอร์ลินได้ลองมานึก ๆ ดู เขารู้สึกแปลกใจว่าทำไมชายหนวดเคราที่เป็นนักดาบเพลิงถึงเก็บรักษาโครงสร้างเวทมนต์ไว้กับตัว
สงสัยเขาคงอยากจะเป็นพ่อมดแต่พลังจิตของเขาอ่อนแอเกินไปเลยไม่สามารถเป็นพ่อมดได้ นี่คงจะเป็นสาเหตุที่ทำให้เขาแสดงความเกลียดชังต่อพ่อมดคนอื่น ๆ
“ตอนนนี้พลังจิตของฉันยังไม่เพียงพอที่จะรองรับโครงสร้างเวทมนต์สองอันได้ ไว้ฉันต้องรอสักหน่อยถึงจะสามารถฝึกฝนคาถาแช่แข็งได้”
แม้ว่าเขาจะมีวิธีการฝึกฝนการทำสมาธิแล้วแต่การเติบโตของพลังจิตของเขานั้นเป็นไปได้ช้ามาก มันต้องใช้เวลาหลายเดือนถึงเขาจะสามารถเพิ่มคาถาที่สองเข้าไปได้
“ดูเหมือนว่าฉันจะต้องใช้เวลาที่เหลือนี้ในการทำสมาธิสินะ”
ตอนนี้เมอร์ลินติดปัญหาอยู่ที่พลังจิตที่น้อยเกินไป แม้ว่าเขาจะเป็นเจ้าของเดอะเมทริกซ์ที่สามารถสร้างโครงสร้างเวทมนต์ได้หลากหลายแต่เขาก็ไม่อาจใช้พวกมันได้เนื่องจากพลังจิตที่น้อยเกินไป
...
สองวันต่อมา เมอร์ลินได้สั่งให้มอสส์ขับรถม้าไปตามท้องถนน มอสส์ทำตามคำสั่งแต่โดยดี เขาได้ขับไปรอบ ๆ โดยไม่รู้ที่หมาย ที่เมอร์ลินสั่งแบบนี้เนื่องจากเขาต้องการไปดูสภาพที่เกิดเหตุว่ามีอะไรเปลี่ยนแปลงบ้างมั้ย
ตามที่เมอร์ลินได้คาดไว้ ตอนนี้ไม่หลงเหลือกลิ่นเลือดแล้วและไม่มีใครไปใกล้กับสถานที่แห่งนั้น ดูเหมือนว่าชายหนวดเคราจะไม่ติดต่อใครมากนักเพื่อให้พวกเขาทำภารกิจให้ปลอดภัยที่สุด ดังนั้นแม้พวกเขาจะหายตัวไปหลายปีก็คงจะไม่มีใครสงสัยในเรื่องนี้
เมอร์ลินถอนหายใจอย่างโล่งอก นี่เป็นตอนจบที่ดีที่สุดสำหรับเขา จากนี้คงไม่มีใครสืบสาวถึงเขาได้แน่นอน
ส่วนเรื่องของจีอา คงเป็นเรื่องยากอยู่สักหนอยเนื่องจากตัวตนของเธอมันค่อนข้างโดดเด่นเกินไป นอกจากนี้เธอยังเป็นอาจารย์ประจำชั้นเรียนมารยาทด้วย
ดังนั้นเมอร์ลินจึงจำเป็นต้องเข้าเรียนมารยาทในอีกไม่กี่วันข้างหน้าเพื่อตรวจสอบปฏิกิริยาของคนอื่น ๆ เกี่ยวกับการหายตัวไปของจีอา เพื่อที่เขาจะได้เตรียมรับมือกับความสงสัยที่จะมาหาตัวเขาเนื่องจากเขาเป็นคนสุดท้ายที่อยู่กับเธอ
...
ในเมืองแบล็กวอเตอร์นั้นมีตัวอาคารที่โดดเด่นและสวยงามที่ใครต่อใครก็พูดว่ามันเป็นแลนมาร์คของเมือง นั่นคือปราสาทของตระกูลคาสเทลแลน
โดยตัวปราสาทของตระกูลคาสเทลแลนถูกล้อมรอบด้วยกำแพงขนาดใหญ่ ภายในมีปราสาทหลังคาทรงกรวย ที่ด้านหน้าปราสาทมีเหล่าอัศวินของกองกำลังป้องกันเมืองเดินไปเดินมา คงเป็นเรื่องยากที่สามัญชนคนทั่วไปจะสามารถมาที่นี่ได้
ในระหว่างที่อัศวินกำลังทำหน้าที่อยู่ จู่ ๆ ก็มีกลุ่มอัศวินที่มีเครื่องแบบที่แตกต่างได้เคลื่อนพลเข้ามาที่ปราสาทของตระกูลคาสเทลแลน พวกเขาทำหน้าอารักขาคนที่ในรถม้าที่อยู่ตรงกลางกองขบวน
อัศวินเหล่านี้ได้พารถม้าไปเข้าในปราสาทของตระกูลคาสเทลแลนอย่างรวดเร็ว