บทที่ 64 ทัศนศึกษา
ตลอดหลายสัปดาห์ที่ผ่านมาไม่มีอะไรเกิดขึ้นเป็นพิเศษ แต่ฉันก็ยุ่งมากจนไม่มีเวลาไปเยี่ยมครอบครัว หน้าที่ของคณะกรรมการวินัยได้กินเวลาที่เหลือทั้งหมดของฉันซึ่งไม่รับการเข้าเรียนและการฝึก
ชั้นเรียนที่ฉันสอนมีช่วงเวลาที่ยากกว่าที่ฉันคาดเอาไว้เมื่อพูดถึงมัน "การฝึกที่สลับวิธี" ซึ่งเป็นสิ่งที่ฉันตัดสินใจเรียกมันว่า มุมมองของการมุ่งเน้นมานาไปยังจุดเดียวพิสูจน์แล้วว่าเป็นเรื่องยากสำหรับนักเสริมพลังทุกคนในชั้นเรียนในขณะที่การดูดซับเวทย์มนต์กลับเป็นเรื่องที่ยากยิ่งกว่าสำหรับผู้ร่ายเวทย์
จนถึงตอนนี้มีเพียงนักเรียนชื่อเบ็นสันเท่านั้นที่สามารถทำได้ไกลใกล้เคียงกับที่ฉันจิตนาการเอาไว้ สำหรับผู้ร่ายเวทย์มีเพียงแคธลีนเท่านั้นที่ประสบความสำเร็จในการดูดซับคาถาของเธอและเสริมความแข็งแกร่งของร่างกายได้ ถึงอย่างนั้นเธอก็ทำได้เพียงแค่เสริมไปที่มือของเธอเท่านั้น เฟย์ริธเป็นคนที่สองที่เข้าใกล้มากที่สุดในรองจากแคธลีน
ชั้นเรียนทฤษฎีเวทมนตร์ดีวีเอินทของฉันดำเนินไปอย่างช้าๆในขณะที่ศาสตราจารย์ของเราอธิบายอย่างชัดเจนว่าเธอจะครอบคลุมเนื้อหาใหม่หลังจากที่เราทำข้อสอบกลางภาคเรียนเสร็จแล้ว เนื่องจากภาคการศึกษามีความยาวสิบหกสัปดาห์และเราเรียนไปได้เพียงสี่สัปดาห์จึงต้องใช้เวลาอีกสี่สัปดาห์จนกว่าเธอจะเริ่มเรียนรู้สิ่งที่ฉันอยากจะรู้จริงๆ
“อาร์ต นายตื่นเต้นกับทัศนศึกษาของชั้นเรียนสุดสัปดาห์นี้หรือเปล่า?” เทสโน้มตัวเข้าไปใกล้ขณะที่เธอถาม
เราสองคนพร้อมกับซิลวีอยู่ในห้องฝึกระหว่างรับประทานอาหารกลางวัน ฉันเพิ่งเสร็จสิ้นในการช่วยเธอดูดซึม จากการประมาณของฉันเทสจะต้องใช้เวลาอีกประมาณหนึ่งหรือสองสัปดาห์ในการดูดซึมซึ่งทำให้ฉันกังวลเพราะจนถึงตอนนั้นเพราะการใช้เวทมนตร์ของเธอจะมีข้อจำกัดมาก
“หืม? เอ๊ะเราจะไปสำรวจดันเจี้ยนเพียงแค่สามชั้นแรกเท่านั้นใช่มั้ย? ฉันนึกว่าเราจะได้เจอกับอะไรที่น่าตื่นเต้นกว่านี้ซะอีก” ฉันแค่ยักไหล่
วันเสาร์นี้เราจะมีทัศนศึกษาหนึ่งคืนไปยังเขตชานเมืองของบีสเกลดจากชั้นเรียนของกลศาสตร์การต่อสู้แบบทีม ศาสตราจารย์กลอรี่ได้รับอนุญาตจากผอ.กู๊ดสกี้โดยมีเงื่อนไขว่าเราจะไม่ได้รับอนุญาตให้ลงไปลึกกว่าสามชั้นของดันเจี้ยนในการสำรวจ
ดันเจี้ยนนี้เป็นดันเจี้ยนเล็กๆและเป็นดันเจี้ยนยอดนิยมสำหรับนักผจญภัยหน้าใหม่เนื่องจากสัตว์มานาในชั้นแรกๆเป็นเพียงแค่คลาส E ดังนั้นศาสตราจารย์กลอรี่จึงคิดว่ามันน่าจะเป็นวิธีที่ดีในการให้ชั้นเรียนได้ฝึกฝนกลศาสตร์การต่อสู้เป็นทีมในชีวิตจริง
“ว้าาา …ไม่สนุกเลย ฉันพนันได้เลยว่านายต้องรู้สึกประหม่าแน่ๆตอนที่เราอยู่ในบีสเกลด ฉันได้ยินเรื่องนี้มากจากคุณปู่ เขาบอกฉันว่ามันเต็มไปด้วยความลึกลับและความมหัศจรรย์มากมาย แต่ก็ยังอันตรายอีกด้วย คุณปู่บอกว่าอย่าเชื่อแหล่งข้อมูลใดๆเกี่ยวกับบีสเกลดเพราะมันเปลี่ยนแปลงอยู่ตลอดเวลา” เทสหลงอยู่ในความคิดเพ้อฝันว่าการเดินทางระยะสั้นของเรานั้นจะน่าตื่นเต้นแค่ไหน
“เราจะได้ต่อสู้กับสัตว์ร้ายมานาตัวเป็นๆ! มันน่าเหลือเชื่อใช่มั้ย? ฉันหมายความว่าฉันเคยได้ต่อสู้กับพวกมันสองสามครั้งในป่าเอลเชียร์ในขณะที่ฉันฝึกกับคุณปู่ แต่ฉันได้ยินมาว่าสัตว์มานาพวกนั้นแตกต่างในบีสเกลด นายก็รู้ว่าพวกมันดุร้ายมากกว่า อีกอย่างเราจะได้นอนอยู่ในดันเจี้ยนใต้ดินด้วย! มันน่าตื่นเต้นมาก!” ดวงตาของเธอเริ่มเป็นประกายเมื่อเธอจินตนาการถึงการตั้งแคมป์ใต้ดินที่ล้อมรอบไปด้วยสัตว์มานา
ฉันสะบัดหน้าผากเธอเบาๆเพื่อปลุกเทสออกจากดินแดนแห่งความฝันของเธอ “จำไว้ว่าตอนนี้คุณอาจมีพลังไม่ถึงครึ่งและการดูดซึมจะไม่เสร็จสิ้นได้ก่อนที่เราจะไปสำรวจ อย่าเพิ่งมั่นใจตัวเองเกินไป”
“โอ้…ฉันรู้น่าฉันรู้! เชอะ นายไม่จำเป็นต้องทำเหมือนกับว่าฉันเป็นเด็กแล้วได้มั้ย?” เธอทำหน้ามุ่ยขณะถูหน้าผาก
“จำตอนที่เรานอนด้วยกันในเต็นท์เดียวกันได้ไหมเทส?” ใบหน้าของฉันเปลียนเป็นรอยยิ้มชั่วร้ายขณะที่ใบหน้าของเทสเปลี่ยนเป็นสีแดงทันที
“คยู?” ซิลวีเอียงศีรษะด้วยความอยากรู้อยากเห็นเพราะเธอยังไม่ได้ฟักออกมาเมื่อเรื่องนี้เกิดขึ้น
“นายพูดว่าอะไรนะ? อ๊า!” ฉันทำหน้ากลัวเธอและมองไปที่เพื่อนสมัยเด็กของฉันที่กำลังอาย
“‘อาเธอร์? นายก็รู้นิว่าสัตว์พวกนั้นจะปรากฏตัวออกมามากขึ้นหากพวกมันสังเกตเห็นเราเพราะพวกมันจะเห็นว่าเรายังเป็นเด็ก ดังนั้นฉันเลยเสนอเพื่อความปลอดภัยของเราว่ามันจะดีกว่าให้นายเข้ามานอนในเต็นท์ด้วย '” ฉันพูดด้วยเสียงแหลมสูงและเยาะเย้ยเทส
“อู้ว! นายนี่มัน!” เธอกระโดดขึ้นมาบนตัวฉันและเริ่มแหย่ฉันอย่างแรงขณะที่ฉันหัวเราะต่อไป
“โอวววววว! ฮ่า ๆ ๆ ~ โอเคๆ! ฉันขอโทษฉันยอมแล้วฉันยอมแล้ว! เทส…ฮ่าฮ่าฮ่า…ฉันหยุดแล้ว!” น้ำตาเกิดขึ้นในดวงตาของฉันขณะที่ฉันยังคงหัวเราะผสมร้องไห้ด้วยความเจ็บปวดปนกับความตลก
“คยู!” ‘หนูด้วยหนูก็อยากเล่นเหมือนกัน!’ ซิลวีกระโดดมาหาพวกเรา
ในที่สุดเธอก็หยุดขณะที่ฉันนอนหอบอยู่กับพื้นและพยายามหายใจโดยมีเทสนั่งอยู่บนตัวฉัน มองไปที่เพื่อนสมัยเด็กของฉัน ฉันสังเกตเห็นว่าใบหน้าของเธอยังคงแดงอยู่เมื่อรู้ว่าเราอยู่ในตำแหน่งแบบไหน แทบจะในทันทีฉันเองก็อดไม่ได้ที่จะร้อนตัวเช่นกันขณะที่เทสก้มศีรษะลงใกล้ฉันมากขึ้น
“โฮโฮ ~ เห็นพวกเธอสองคนเข้ากันได้ดีขนาดนี้ วิริออนจะต้องมีความสุขอย่างแน่นอน” เสียงนั้นทำให้เราทั้งคู่ตกใจและเทสก็ลุกออกจากฉันทันทีในขณะที่เราถ่อยห่างจากกันด้วยความเขิลอาย
ผอ.กู๊ดสกี้เดินมาหาเราด้วยสีหน้าขบขัน การที่เธอเข้ามาโดยที่เราทั้งคู่ไม่สังเกตเห็นนั้นเหนือความคาดหมายของฉัน แต่ฉันไม่สามารถซ่อนความอึดอัดบนใบหน้าได้ขณะที่เธอมองมาที่ฉัน
ผอ.กู๊ดสกี้รีบเปลี่ยนหัวข้อ “หุหุ ~ แล้วการดูดซึมเป็นอย่างไรบ้าง?”
“ราบรื่นดีค่ะ! อาร์ตช่วยหนูได้มากเลยในช่วงสองสามสัปดาห์ที่ผ่านมาและหนูเองก็รู้สึกดีขึ้นมาก! หนูไม่รู้สึกเจ็บปวดจากการถูกปฏิเสธเมื่อเร็วๆ นี้และตราบใดที่หนูไม่ใช้เวทมนตร์มากจนเกินไปหนูก็คิดว่าหนูคงจะไม่เป็นไร!” เทสที่ลุกลี้ลุกลนพูดขณะที่เธอสะบัดแขนเพื่อซ่อนความลำบากใจ
“เธอน่าจะหลอมรวมเข้ากับสัตว์มานาของเธอได้อย่างเต็มที่ด้วยระยะเวลาอีกประมาณหนึ่งหรือสองสัปดาห์” ฉันชี้แจงหลังจากสงบสติอารมณ์ลง
“อืมม…” ผอ.กู๊ดสกี้พยักหน้าให้ฉันก่อนจะคุกเข่าลงตรงหน้าเทสที่ยังแดงอยู่ เธอวางมือของเธอไว้เหนือท้องของเทสเบาๆ ผอ.กู๊ดสกี้หลับตาลงเพื่อตรวจสอบแกนมานาของเทส
หลังจากนั้นครู่หนึ่งเธอก็หดมือและพยักหน้าพอใจ "ดีดีมาก ฉันดีใจที่มันไม่มีปัญหาอะไรในระหว่างทาง ฉันรู้ว่าฉันเชื่อใจคุณได้นะอาเธอร์” เธอพูดกับฉันก่อนจะกลับขึ้นไป
“สองสามสัปดาห์ที่ผ่านมานี้คุณไปอยู่ที่ไหนมาครับผอ.? คุณยังได้รับการติดต่ออยู่จากที่ผมรู้มาตลอด แต่ผมสังเกตว่าคุณไม่ได้อยู่ในสถาบันการศึกษามาระยะหนึ่งแล้ว คุณเพิ่งกลับมาใช่ไหม?” ฉันพูดพลางเอียงหัว ฉันพยายามห้ามไม่ให้สายตาของฉันโฟกัสไปที่บาดแผลเล็กๆที่เธอมีในมืออีกข้างแต่ก็ทำไม่ได้
“อ่าใช่ ฉันไม่อยู่ด้วยเหตุผลส่วนตัวบางอย่าง ตอนนี้ฉันกลับมาแล้วดังนั้นไปที่สำนักงานของฉันได้เลยหากคุณต้องการอะไร” ผอ.กู๊ดสกี้รีบปกปิดแผลที่มือของเธอแล้วยิ้มให้ฉันอย่างนุ่มนวล “ฉันควรไปเลยดีกว่า ฉันมีงานมากมายที่ต้องตาม อย่าฝืนตัวเองมากเกินไปนะเด็กๆ จงระมัดระวังตัวเป็นพิเศษในขณะที่พวกคุณอยู่ในดันเจี้ยน ไม่ควรประมาทแม้แต่สัตว์มานาระดับต่ำสุด” ผอ.กู๊ดสกี้ลูบหัวของเทสเบาๆก่อนจะหายไปพร้อมกับวิสป์
“เอ - แล้วแผนของนายหลังจากนี้คืออะไร?” เทสเซียกล่าวเพื่อพยายามทำลายความเงียบที่น่าอึดอัดใจที่ผอ.ได้ทิ้งไว้ให้พวกเรา
“หลังเลิกเรียนจะมีการประชุมฉุกเฉินสำหรับคณะกรรมการวินัยเนื่องจากเคอร์ติส แคลร์และฉันกำลังจะออกจากวิทยาลัยในช่วงสุดสัปดาห์ เราจะต้องดำเนินการกับรายละเอียดบางอย่างในกรณีที่มีเหตุฉุกเฉินเกิดขึ้นในขณะที่เราไม่ได้อยู่ที่นี่ หลังจากนั้นฉันก็คงจะกลับบ้านหลังจากที่ไม่ได้กลับไปสักพักและนอนที่นั่น ฉันจะกลับมาที่วิทยาลัยภายในเช้าวันพรุ่งนี้เพื่อออกไปทัศนศึกษา แล้วเธอล่ะ?” ฉันพูดในขณะที่เอนหลัง
“อืมศาสตราจารย์กลอรี่บอกว่าวันนี้จะไม่มีเรียนเพราะเธอต้องการให้พวกเราพักผ่อนก่อนไปทัศนศึกษาในวันพรุ่งนี้ ฉันเลยว่างจนกว่าจะถึงการประชุมของสภานักเรียน เราต้องพิจารณาสองสามอย่างในวาระการประชุมเนื่องจากทั้งไคลฟ์และฉันจะไม่อยู่ที่นั่นด้วย” เทสตอบและดูเหมือนจะใจเย็นลงแล้ว ฉันต้องยอมรับว่าเธอดูน่ารักมากเมื่อเธอนั่งอยู่บนพื้นและเล่นกับอุ้งเท้าของซิลวี
หลังจากใช้เวลาคุยกับเทสอีกสักพักในที่สุดฉันก็ต้องออกไปเรียนในชั้นเรียนที่เหลือ แม้ว่าเราจะไม่มีเรียนวิชากลศาสตร์การต่อสู้แบบทีม แต่อีกสองคลาสของฉันก็ดูเหมือนจะลากยาวไปตลอดกาลเมื่อเราเริ่มที่จะทบทวนการสอบกลางภาคเรียนแล้ว
“วันนี้พอแค่นี้นะเลิกเรียนได้ อย่าลืมอ่านหนังสือแทนผัดวันประกันพรุ่งละ และอย่าพยายามยัดทุกอย่างในคืนก่อนสอบ ฉันรู้ว่าพวกคุณทุกคนชอบทำแบบนั้น” ศาสตราจารย์เมย์เนอร์กล่าวอย่างประชดประชันขณะที่เขาแจกเอกสารทบทวนเกี่ยวกับรูปแบบของมนต์สะกดพื้นฐาน หลังจากคลาสสุดท้ายของฉันจบลงฉันก็เดินไปที่ห้องคณะกรรมการวินัยโดยมีซิลวีนั่งอยู่บนหัวของฉันและเธอรู้สึกหนักขึ้นมากในคืนนี้
“ฉันเชื่อว่าพวกนายจะสามารถจัดการกับการเฝ้าระวังได้ในขณะที่พวกเราสามคนไม่อยู่ เราได้ฝึกขั้นตอนฉุกเฉินมาแล้วสองสามครั้งในช่วงสองสัปดาห์ที่ผ่านมาดังนั้นฉันจึงมั่นใจว่าทุกอย่างจะเรียบร้อยดี อย่างที่พวกคุณรู้กันดีว ไคจะเป็นผู้บังคับบัญชาในขณะที่ฉันไม่อยู่ โปรดจำเอาไว้ว่าผอ.กู๊ดสกี้กลับมาแล้วและอยู่ในวิทยาลัยดังนั้นหากสิ่งต่างๆเริ่มเลวร้าย อย่าลังเลที่จะขอความช่วยเหลือจากเธอหากมันเป็นเรื่องที่ร้ายแรงจริงๆ แต่ฉันก็คิดว่าคงไม่มีเหตุจำเป็นขนาดนั้น เอาละเลิกได้!” แคลร์ปรบมือขณะที่พวกเราที่เหลือลุกขึ้น
“ไอ้…ฉันหมายถึงอาเธอร์ ฉันต้องการการดวลอีกครั้งกับนาย” ธีโอวางมือบนไหล่ของฉันขณะที่ฉันเดินลงบันได
“ไม่! ตาฉันสิ นายแพ้เขาครั้งที่แล้วดังนั้นตานี้เป็นของฉัน!” โดราเดรียแทรกตัวระหว่างเราและเงยหน้าขึ้นมองฉันด้วยใบหน้าที่เหมือนผู้ชายของเธอ
“นั่นไม่นับ! เขาแค่ดวงดีเท่านั้นแหละ” ธีโอข้องใจ ใบหน้าของเขาแดงจากทั้งความโกรธและความอับอาย
“ไม่วันนี่คงไม่ได้หรอก ธีโอ โดราเดรีย คืนนี้ฉันจะกลับบ้านไปหาครอบครัว คนขับรถของฉันรอฉันอยู่ข้างนอกสถาบันแล้ว” ฉันยักไหล่และกระโดดลงบันไดโดยไม่ให้เวลาพวกเขาโน้มน้าวให้ฉันอยู่ต่อ
“น้องมีแหวนคุ้มครองที่พ่อให้มาใช่ไหม? ใช้ทันทีหากน้องรู้สึกว่ามีปัญหา สัญญากับพี่ได้ไหม?โอเค?” ฉันได้ยินว่าเคอร์ติสจู้จี้น้องสาวของเขาอย่างเป็นห่วง เราจะออกเดินทางกันแต่เช้าของวันพรุ่งนี้ดังนั้นคืนนี้อาจเป็นครั้งสุดท้ายที่เขาจะได้พบเธอจนกว่าเราจะกลับมาในคืนวันอาทิตย์
แคธลีนเพียงแค่ตอบรับโดยการพยักหน้าเงียบๆ ใบหน้าของเธอไม่แสดงออกเช่นเคย เธอเห็นฉันมองไปที่พวกเธอทั้งสองคนแล้วเธอก็รีบหันหน้าหนี เคอร์ติสลาน้องสาวของเขาแล้วเดินมาหาฉัน
“พรุ่งนี้เช้าเจอกันนะอาเธอร์ ฉันได้ยินมาว่าศาสตราจารย์กลอรี่กำลังคิดที่จะให้จับกลุ่มกันเป็นทีม มาร่วมทีมเดียวกันเถอะถ้าหากเป็นอย่างนั้น” เขาพูดพร้อมกับกำหมัดทุบแขนฉัน
“ใช่ฟังดูดี” ฉันพยักหน้าอย่างเป็นมิตร ก่อนที่จะเดินออกไปฉันได้โบกมือลาทุกๆคน
ข้างนอกค่อนข้างมืดอยู่แล้วโดยมีแหล่งกำเนิดแสงเดียวที่มาจากแสงอ่อนๆ ของลูกไฟที่ลอยอยู่บริเวณวิทยาลัย มันให้ความรู้สึกลึกลับในตอนกลางคืนแตกต่างจากโลกในชีวิตก่อนหน้านี้ของฉันอย่างสิ้นเชิง
เมื่อมาถึงประตูหลักของสถาบันมีคนขับรถที่คุ้นเคยกำลังรอฉันอยู่ “สวัสดีครับคุณอาเธอร์ ผมเข้าใจว่าคุณได้ทำธุระเสร็จแล้ว?” เขาพูดขณะถอดหมวกและโค้งคำนับให้ฉันเล็กน้อย
"ใช่ การประชุมดำเนินช้าไปหน่อยดังนั้นออกเดินทางทันทีเลย” ฉันเข้าไปในรถม้าหลังจากที่คนขับเปิดประตูให้ฉัน
ฉันหลับในระหว่างนั่งรถกลับบ้านและรู้สึกเหมือนว่าคฤหาสน์เฮลสเตอาที่คุ้นเคยจะใช้เวลาเดินทางเร็วกว่าที่ฉันคาดเอาไว้มาก
“ เรามาถึงแล้วครับคุณเลย์วิน นอนหลับฝันดีครับ เมื่อเปิดประตูพนักงานขับรถที่สุภาพก็สวมหมวกอีกครั้งขณะที่ฉันก้าวลงจากรถม้า การเดินขึ้นบันไดทำให้นึกถึงตอนที่ฉันกลับมาจากอาณาจักรเอเลนนัวร์และตอนที่ฉันกลับมาจากสุสานไดเออร์ นี่อาจเป็นครั้งแรกที่ฉันกลับมาบ้านโดยที่ไม่ทำให้พ่อแม่ต้องเป็นหวง
ก่อนที่จะมีโอกาสเคาะ ประตูก็เปิดออกและกระสุนมนุษย์เอลลีก็พุ่งออกมาด้วยความเร็วที่ทำให้ฉันต้องประหลาดใจ
“พี่ชายยยยย! ยินดีต้อนรับกลับบ้านนนนน!” เอลลีโอบแขนรอบเอวของฉันขณะที่ฉันรวบรวมกำลังเพื่อป้องกันไม่ให้เราทั้งคู่ล้มลงจากบันได
“คยู!” ซิลวี กระโดดออกจากหัวของฉันและกระโดดไปที่หัวของเอลลีแล้วเลียที่ใบหน้าของเธอ
“ฮ่าฮ่า ~ นั่นจั๊กจี้นะซิลวี่!” น้องสาวของฉันปล่อยตัวฉันขณะที่เธอจับซิลวี่และลูบหลังเธอ
“พ่อกำลังสงสัยเลยว่าเสียงดังนั้นคืออะไร ลูกกลับมาช้าไปหน่อยนะ!” พ่อของฉันยืนพิงประตูหน้าบ้านและยิ้มให้ฉัน
“การประชุมดำเนินช้าไปหน่อย ไม่ได้เจอกันสักพักแล้วนะครับพ่อ” ฉันกอดพ่อของฉันในขณะที่น้องสาวของฉันตามมาข้างหลังฉันและยังคงกอดซิลวี
"อา! ลูกกลับมาแล้วหรออาร์ต ลูกคงเหนื่อยมากแน่ๆ ” แม่ของฉันซึ่งอยู่ชั้นบนวิ่งลงมาและโอบแขนรอบตัวฉัน
“เฮ้แม่ ใช่ผมกลับมาแล้ว” ฉันยิ้มและรับความรักของครอบครัวที่ฉันหวงแหนมาก
“ร่างกายของลูกเป็นอย่างไรบ้าง? ตอนนี้ลูกดีขึ้นหรือยัง?” แม่ของฉันตรวจร่างกายของฉัน เธอยกเสื้อขึ้นและพลิกตัวฉันเพื่อให้แน่ใจว่าฉันไม่มีบาดแผลหลงเหลืออยู่
“ฮ่าฮ่าตอนนี้ผมสบายดี แม่กังวลมากเกินไปแล้ว” ฉันยิ้มให้เธออย่างสบายใจ แต่ก็อดไม่ได้ที่จะจำบทสนทนาสั้นๆ ที่ฉันคุยกับพ่อเกี่ยวกับสาเหตุที่แม่ของฉันไม่สามารถรักษาฉันในตอนนั้นได้ อย่างไรก็ตามฉันรีบสลัดความคิดนั้นออกจากหัว ฉันแน่ใจว่ามีเหตุผลและสิ่งเดียวที่ฉันทำได้คือรอให้เธอบอกฉัน
“พี่ชายพี่จะอยู่นานแค่ไหน?” เอลลีกำลังกระโดดรอบๆตัวฉันในขณะที่เราทุกคนมุ่งหน้าไปที่ห้องนั่งเล่น
“พรุ่งนี้เช้าพี่จะออกเดินทางแล้ว” ฉันถอนหายใจออกมา
“หวา ~ ? ทำไมกัน?” น้องสาวของฉันมีสีหน้าเศร้าหมองอย่างเห็นได้ชัด ไหล่ของเธอซบลงเป็นการตอบสนอง
“ใช่ทำไมลูกต้องไปเร็วจัง?” พ่อของฉันนั่งลงบนโซฟา
“ชั้นเรียนของผมมีทัศนศึกษาที่บีสเกลดในวันพรุ่งนี้หนึ่งคืน เราจะออกเดินทางกันตั้งแต่เช้าดังนั้นผมจะต้องออกไปตั้งแต่เช้าตรู่” แค่คิดว่าต้องตื่นแต่เช้าฉันก็เหนื่อยแล้ว
“บีสเกลด?!” ใบหน้าของแม่ซีดลงด้วยความกังวล ฉันไม่แปลกใจเลยเพราะฉันเกือบจะตายในครั้งสุดท้ายที่อยู่ในบีสเกลด แม้แต่พ่อของฉันก็มีสีหน้าเป็นห่วง
“ไม่ต้องกังวลไป พวกเราจะอยู่แค่รอบนอกและศาสตราจารย์ของเราก็อยู่กับเราตลอดเวลา นอกจากนี้ผมยังมีแหวนนี้อยู่” ฉันดึงแหวนที่ครอบครัวเฮลสเตอามอบให้เราออกมาจากกระเป๋า แหวนนี้ใช้ตรวจสอบมานาเพื่อบ่งบอกให้ผู้ถือแหวนอีกคนรู้ว่าฉันยังมีชีวิตอยู่หรือไม่ ฉันเก็บมันไว้ในขณะที่ฉันอยู่ที่โรงเรียนเนื่องจากฉันไม่มีความจำเป็นจริงๆ แต่ฉันพูดเรื่องนี้ออกมาเผื่อไว้ก่อน
“แต่ถึงกระนั้น…ลูกจำเป็นต้องไปมั้ย?” แม่ของฉันขมวดคิ้วด้วยความกังวลที่ไม่ยอมออกไปจากใบหน้าของเธอ
“พวกเราจะไม่เป็นไรครับแม่ มันเป็นหนึ่งในดันเจี้ยนที่มีระดับต่ำที่สุดและพวกเราไม่ได้รับอนุญาตให้ลงไปต่ำกว่าชั้นสาม” ฉันปลอบใจแม่
เธอยังคงไม่พอใจกับสถานการณ์ทั้งหมด แต่เธอก็นิ่งเงียบพยักหน้าอย่างลังเล พวกเราทั้งสี่คนใช้เวลาอีกสองสามชั่วโมงในการพูดคุยขณะที่ซิลวีหลับไปบนตักของเอลลี เห็นได้ชัดว่าเอลลีกำลังไปได้ดีกับโรงเรียนสตรีของเธอในขณะที่พ่อและแม่ของฉันทั้งคู่ยังดูแข็งแรงและรักกันดี เป็นเวลาเพียงไม่กี่สัปดาห์ที่ฉันได้เห็นพวกเขาครั้งสุดท้ายที่นั่นจึงไม่น่าแปลกใจ ฉันถามว่าครอบครัวเฮลสเตอาอยู่ที่ไหนพ่อบอกว่าวินเซนต์และทาบิธาต่างออกไปทำธุระต่างเมืองสองสามวัน
ในที่สุดพ่อแม่ของฉันก็พาน้องสาวของฉันและฉันเข้าไปในห้องของเราเพราะมันค่อนข้างดึกแล้ว ฉันเกือบจะหลับไปในขณะอาบน้ำและหลังจากตัวแห้ง ฉันอดไม่ได้ที่จะถอนหายใจเฮือกใหญ่ขณะที่ฉันจมลงไปบนเตียง
การได้กลับบ้านช่างเป็นอะไรที่ดีจริงๆ
ก่อนที่ฉันจะทำตัวให้สบาย มีเสียงเคาะประตูดังขึ้นหลายครั้ง
ฉันหันศีรษะที่เหนื่อยเกินกว่าจะลุกขึ้นและเห็นศีรษะเล็กๆ โผล่ออกมาจากอีกด้านของประตู
“คืนนี้หนูนอนกับพี่ได้ไหมค่ะพี่?” เอลลีเดินเข้ามาพร้อมกับแขนของเธอที่กอดอยู่กับตุ๊กตาสัตว์
“ได้สิ” ฉันยิ้มแล้วยกผ้าห่มขึ้นข้างๆเพื่อที่เธอจะได้เข้ามานอนข้างใน
“เย้เย้!” เอลลีกระโดดขึ้นเตียงและรีบทำตัวสบายๆ เตียงนั้นใหญ่เกินพอสำหรับเราทั้งสองคน แต่เธอขดตัวเข้ามาใกล้และหันหน้าเข้าหาฉัน
"ราตรีสวัสดิ์นะ" ฉันลูบหัวน้องสาวของฉัน เราทั้งคู่หลับไปพร้อมกับลมหายใจที่สม่ำเสมอของกันและกัน