บทที่ 322
รุ่งเช้ามีข่าวผู้คนในเมืองและคนจากคณะละครเร่ติดโรคระบาด แต่ละคนถ่ายท้องจนแทบไม่มีแรงเดินเหล่าหมอชราต่างปวดศีรษะกับการจัดยารักษาอาการ เนี่ยฟงออกจากเมืองตั้งแต่ยามเหม่าเพื่อปลอมตัวเป็นชายชราหมอเทวดาเซียงฟงกลับเข้ามาในเมืองในยามซื่อ เมื่อเข้ามาด้านในเขาเองก็เริ่มสอบถามสถานที่สำหรับทำการรักษาผู้คน เขาพบเจอบ้านร้างบริเวณท้ายเมืองไม่นานเขาก็เริ่มรักษาผู้คนในบริเวณบ้านร้าง ไม่ถึงหนึ่งชั่วยามผู้คนที่ได้รับการรักษามีอาการดีขึ้น เริ่มมีการกล่าววาจาปากต่อปากไม่นานเหล่าคนรับใช้ผู้มีอำนาจเสาะหาหมอเทวดามารักษานายของตน แน่นอนว่าหมอเทวดากล่าวปฏิเสธ ทำให้เหล่าคนรับใช้หลายคนไม่พอใจแต่ก็ไม่สามารถทำสิ่งใดได้จึงกลับไปแจ้งต่อนายของตนเท่านั้นทำให้ผู้คนส่วนใหญ่ต่างนับถือในตัวหมอเทวดามากยิ่งขึ้น ย่างเข้ายามเซิน เหล่าผู้มีอำนาจที่เป็นโรคระบาดเริ่มทนไม่ไหวต้องพากันออกมารักษา ซึ่งหมอเทวดาก็ทำการรักษาอย่างปกติ ทันใดนั้นเขาก็หรี่ตามองเห็นกลุ่มคณะละครเร่กำลังเดินเข้ามา เขาจึงเอ่ยวาจาสอบถาม
“พวกท่านทราบหรือไม่ว่าเกิดโรคระบาดเช่นนี้ได้อย่างไร”
มีชายฉกรรจ์ผู้หนึ่งเอ่ยวาจาออกมา
“คนของคณะละครเร่ติดตามคนผู้หนึ่งขึ้นไปที่โรงเตี๊ยมเถ้าแก่ไถสือจวิน หลังจากนั้นคนพวกนั้นก็รีบเร่งออกจากโรงเตี๊ยมอย่างรวดเร็วพร้อมกับมีอาการของโรคระบาด”
สิ้นเสียงกล่าวของชายผู้นั้นผู้คนส่วนใหญ่ต่างคล้อยตามเพราะมีหลายคนด้วยกันที่อยู่ในโรงเตี๊ยม เป็นจังหวะเดียวกันกับที่คนจากคณะละครเร่เดินเข้ามา ผู้คนที่อาการเริ่มดีขึ้นมากแล้วต่างหลบหลีกแหวกทางเป็นช่อง
“ตัวข้าเป็นเพียงหมอรักษาผู้คน ส่วนเรื่องอื่นๆเชิญพวกท่านสืบถามกันเองเถอะ”
สิ้นเสียงกล่าวของหมอเทวดาเริ่มมีผู้คนแสดงอาการไม่พอใจแก่คนจากคณะละครเร่ จนถึงยามอิ่วแสงอาทิตย์เริ่มลาลับขอบฟ้า ไฟจากโคมไฟถูกจุดอีกครั้งวันนี้งานเทศกาลกลับเงียบไม่มีผู้ใดออกมาจากบ้านเรือนหรือที่พักเพราะเกรงกลัวโรคระบาดหมอเทวดาถูกเชิญตัวไปยังบ้านพักรับรองของท่านเจ้าเมือง ยามอิ๋นขณะที่ทุกคนหลับนอนมีชายหนุ่มผู้หนึ่งสวมชุดสีดำพุ่งทะยานออกจากหน้าต่างห้องพักของหมอเทวดา เขาแอบเข้ามาในจวนเจ้าเมืองเสียงสะบัดมือดังแว่วข้าวของเครื่องใช้ถูกเก็บกวาดลงแหวนจนหลงเหลือเพียงห้องว่างเปล่า หลังจากนั้นก็แอบเข้าไปปล้นสิ่งของอีกมากมายในห้องต่างๆในจวนเจ้าเมือง ไม่นานเขาก็เริ่มออกไปปล้นสิ่งของต่างๆในบ้านของผู้มีอำนาจ เกือบชั่วยามเขาก็พุ่งทะยานไปยังบริเวณที่พักของคณะละครเร่ เขาแอบเขาไปที่กระโจมที่พักของเฉียงผิงแอบนำแหวนไปซ่อนในตัวของเฉียงผิงเอาไว้ เมื่อทุกอย่างเสร็จสิ้นเขาก็พุ่งทะยานออกไปจากเมืองอย่างรวดเร็ว
ยามเฉิน ชาวบ้านเริ่มตื่นนอนเพราะอากาศหนาว จวนเจ้าเมืองเกิดเรื่องวุ่นวายขึ้นสิ่งของในจวนถูกปล้นไปจนหมด รวมไปถึงบ้านผู้มีอำนาจอีกหลายหลัง เสียงประตูบ้านพักหมอเทวดาดังลั่นแต่ทว่าหาได้มีผู้ใดเปิดออกมา เจ้าเมืองสั่งการให้คนพังประตูเข้าไปพบเห็นเพียงจดหมายหนึ่งฉบับวางอยู่บนเตียง ทันทีที่ท่านเจ้าเมืองเปิดอ่านข้อความในจดหมายก็สบถเสียงดังลั่น นำกำลังทหารมุ่งหน้าไปที่พักของกลุ่มคณะละครเร่ เสียงย้ำเท้าหนักๆของทหารหลายร้อยนายมุ่งไปยังกลุ่มคณะละครเร่ เช่นเดียวกับกลุ่มคนจากผู้มีอำนาจและชาวบ้าน ดาบและหอกถูกกำชับในมือปิดล้อมพื้นที่ เฉียงผิงขมวดคิ้วอยู่ในกระโจมทันทีที่ทราบข่าว เขารีบออกจากกระโจมอย่างเร่งรีบเพื่อเข้าพบเจ้าเมือง
“เฉียงผิงเจ้าทำงามหน้าไว้มากนะ”
“เกิดสิ่งใดขึ้นขอรับ เหตุใดท่านถึงใช้กำลังทหารปิดล้อมที่นี่”
เสียงสะบัดมือดังแว่วจดหมายถูกซัดออกไปตกที่ด้านหน้าเฉียงผิง
“เจ้าอ่านข้อความด้านในเถอะ”
เฉียงผิงก้มลงหยิบจดหมายขึ้นมาอ่าน เป็นจังหวะเดียวกับที่ท่านเจ้าเมืองยกมือขวาขึ้น ทหารสี่นายรีบพุ่งเข้าจับกุมเฉียงผิงอย่างรวดเร็วพร้อมกับค้นตัวแหวนวงหนึ่งร่วงลงพื้น ทหารนายหนึ่งรีบหยิบนำมามอบให้แก่เจ้าเมือง เฉียงผิงพยายามดิ้นขัดขืน ถูกสันดาบฟาดหมดเข้าไปข้อพับด้านหลังลงไปคุกเข่า ชายฉกรรจ์ในคณะรีบพุ่งเข้าช่วยเหลือแต่ก็ถูกคนจากผู้มีอำนาจเข้าขวาง
“เกิดสิ่งใดขึ้น ท่านเจ้าเมือง”
“เปิดข้อความในจดหมายให้เฉียงผิงอ่านซะ”
ทหารนายหนึ่งเปิดจดหมายให้แก่เฉียงผิง เสียงสะบัดดังแว่วสิ่งของมากมายร่วงลงพื้นผู้คนโดยรอบต่างตื่นตกใจ เสียงตะโกนดังลั่นมาจากท่านเจ้าเมือง
“จับกุมคนทั้งหมดของคณะละครเร่ ยึดทรัพย์สินทั้งหมดเข้าคลัง หากผู้ใดคิดขัดขืนให้สังหารได้ทันที”
ดาบและหอกถูกกวัดแกว่งเข้าสังหารผู้คนที่ขัดขืน เสียงปะทะดังลั่นไปทั้งบริเวณเลือดสาดกระจายเต็มพื้น ไม่ถึงครึ่งเค่อผู้คนทั้งหมดก็ถูกจับเฉียงผิงครุ่นคิดอยู่นานถึงเรื่องที่เกิดขึ้นในจังหวะที่ถูกลากตัวออกไปเขาก็พบเห็นแหวนวงหนึ่งวางอยู่บนพื้นถึงกับสบถดังลั่น
“บัดซบไอ้ลูกหมาเนี่ยฟง”
เนี่ยฟงพุ่งทะยานไปตามทางที่ปกคลุมไปด้วยหิมะ ผ่านไปสามวันก็เข้าสู่พื้นที่ป่าอีกครั้งเขาเดินทางผ่านพื้นที่ป่าอีกสองวันก็พบพื้นทุ่งกว้างมีต้นไม้ใหญ่ขึ้นประปราย ระหว่างทางพบเจอกลุ่มชาวบ้านเดินทางเป็นขบวนใหญ่ เนี่ยฟงค่อยๆเดินติดตามกลุ่มชาวบ้านอย่างไม่เร่งรีบเย็นวันนั้นเองกลุ่มชาวบ้านได้หยุดพักค้างแรมเนี่ยฟงก็หยุดพักเช่นกัน ไม่นานได้มีกลุ่มชายฉกรรจ์สามคนเดินเข้ามาหาพร้อมกับถือเนื้อย่างอยู่ในมือยื่นให้เนี่ยฟง
“พวกข้าเห็นเจ้าติดตามมานานแล้วเจ้าคงไม่ใช่คนแถวนี้สินะ ทานอาหารเถอะน้องชายพรุ่งนี้ตอนเย็นเราก็จะเข้าสู่เขตเมืองชงเงียบ”
เนี่ยฟงลุกขึ้นก้มคารวะพร้อมกับเอื้อมมือขวารับเนื้อย่าง หลังจากทานเนื้อย่างจนหมดเขาก็นั่งโคจรลมปราณ กลุ่มชาวบ้านที่พักมีการร่ำสุราพูดคุยเสียงดัง ย่างเข้ายามจื่อกลุ่มชาวบ้านก็หลับนอนกันอย่างปกติ สายลมหนาวพัดพาผ่านอากาศเย็นเข้ามา กองไฟถูกก่อขึ้นเพื่อสร้างความอบอุ่นแก่ร่างกาย ชั่วน้ำเดือดกลุ่มคนหลายสิบคนแอบออกไปจากกลุ่มพุ่งทะยานไปทางขวามือ เนี่ยฟงที่นั่งโคจรลมปราณอยู่ก็แอบติดตามไปอย่างเงียบๆ ไม่ถึงครึ่งเค่อเขาก็หยุดฝีเท้ายืนนิ่ง ทันใดนั้นเองเมฆถูกสายลมหนาวพัดบังแสงจันทร์มีบางอย่างพุ่งทะยานมาจากต้นไม้ใหญ่ทางขวามือ เสียงสะบัดมือดังแว่วกระบี่สองเล่มพุ่งเข้าปะทะ เคร้ง กระบี่สองเล่มร่วงลงพื้นพร้อมกับมีดสั้นอีกหนึ่งเล่ม ชายฉกรรจ์สามคนสวมผ้าดำปกปิดใบหน้าถือกระบี่ในมือพุ่งเข้ามาประชิด เนี่ยฟงใช้ความเร็วโยกตัวหลบต่อยหมัดขวาออกไป เปรี้ยง หลังจากนั้นก็ม้วนตัวหลบกระบี่สองเล่มกระโดดเตะขาทั้งสองออก เปรี้ยง ชายฉกรรจ์ทั้งสามลงไปนอนกับพื้น แสงจันทร์ค่อยๆสาดส่องลงมายังพื้น
“ข้าเห็นพวกท่านออกมาจากขบวน ข้าจึงคิดติดตามแต่ทว่าพวกท่านคิดสังหารข้า เช่นนั้นข้าจะไม่ลงมือสังหารพวกท่านแต่พวกทุกคนต้องหลับอยู่ที่นี่รอผู้คนในขบวนมาตรวจสอบรุ่งเช้า”
“เจ้าเพียงผู้เดียวคิดจะหยุดพวกข้าคนจากตระกูลชิงอย่างนั้นรึ”
“ข้าเป็นเพียงนักเดินทางหาได้รู้จักตระกูลใดในที่แห่งนี้”
“เช่นนั้นเจ้าก็ลองรับรู้ด้วยร่างกายของเจ้าเองก็แล้วกันว่าตระกูลชิงแข็งแกร่งเพียงใด”
สิ้นเสียงกล่าวชายฉกรรจ์หลายสิบคนก็พุ่งเข้ามาประชิดกระบี่และดาบถูกกวัดแกว่งฟาดฟันปราณดาบและกระบี่ประดุจห่าฝนจนบดบังแสงจันทร์ เนี่ยฟงแสยะยิ้มใช้ท่าเท้าเหยียบนภาหายตัวไปอย่างรวดเร็ว ปราณดาบและกระบี่ปะทะกับพื้นดินเสียงดังสนั่น เปรี้ยง เปรี้ยง เสียงสะบัดมือดังแว่วมาจากด้านหลังชายฉกรรจ์ผู้หนึ่งหันไปมองก็เห็นบางอย่างสีขาวพุ่งเข้ามาด้านหน้า เปรี้ยง ชายผู้นั้นกระเด็นออกไปด้านหลัง ไม่ถึงหนึ่งเค่อคนทั้งหมดก็ลงไปนอนร้องโหยหวนด้วยความเจ็บปวดบนพื้น เนี่ยฟงหรี่ตาจ้องมองสะบัดมือขวาเก็บแส้แข็งในขวดยายื่นให้ชายผู้หนึ่ง
“ท่านนำยาในขวดแบ่งให้พวกท่านรักษาอาการบาดเจ็บเถอะ พวกท่านคิดจะทำสิ่งใดกันถึงนำกำลังคนออกมาเช่นนี้”
สิ้นเสียงกล่าวความเข้าปกคลุมทั่วทั้งบริเวณเสียงร้องโหยหวนเงียบสนิทกลุ่มคนทั้งหมดหันไปมองชายฉกรรจ์ผู้หนึ่ง
“พวกข้าเป็นคนของตระกูลชิงแห่งเมืองชิงมู่ถังปกครองทางทิศตะวันออก ที่พวกข้ามายังพื้นที่แห่งนี้เพราะกำลังจะเข้าไปช่วยเหลือนายน้อยตระกูลชิงที่ถูกจับกุมตัวอยู่ที่เมืองชงเงียบ”
“กำลังของพวกท่านเพียงแค่นี้จะช่วยเหลือผู้ใดได้กัน แล้วเหตุใดหัวหน้าตระกูลชิงไม่ส่งผู้มีฝีมือมากกว่านี้มาช่วยเหลือ”
“นายน้อยผู้นี้หาได้เกิดจากภรรยาหลวงแต่เป็นเพียงบุตรชายของสาวใช้กับนายท่านเท่านั้น ฮูหยินใหญ่จึงมีคำสั่งห้ามผู้ใดในตระกูลติดตามช่วยเหลือ พวกข้าเป็นเพียงบ่าวรับใช้ตัวเล็กๆเท่านั้นจึงแอบหลบออกมา”
เนี่ยฟงยืนครุ่นคิดอยู่นาน
“เจ้าคิดจะช่วยเหลือชายผู้นั้น”
“แน่นอนขอรับ ตอนนี้ข้ามีความรู้เกี่ยวกับที่แห่งนี้น้อยมากนัก กลุ่มคนพวกนี้สามารถมอบสิ่งที่ข้าอยากรู้ได้”
เขาหันไปมองรอบด้านไม่นานก็เอ่ยวาจาออกมา
“หากข้าช่วยเหลือพวกท่านข้าจะได้สิ่งใดตอบแทน”