Chapter 27: เป็นเจ้าชายนี่มันโคตรเหนื่อยเลยจริงๆ - 2 (ส่วนที่ 1)
**
“ชิ”
ฉันถูกโยนเข้าไปสู่ในห้องขัง ฉันทำได้เพียงจ้องพาลาดินฮาร์แมนผ่านลูกกรงเหล็ก
“เฮ้ เพื่อน ฉันมีชื่อว่าอะไรนะ?”
“...อัลเลน ออโฟเซ่ครับฝ่าบาท”
“สถานะฉันละ?”
“ท่านเป็นหลานชายคนที่เจ็ดของจักรพรรดิศักดิ์สิทธิ์ครับ”
ฉันฉีกยิ้มออกมาอย่างพึงพอใจ หลังจากที่ได้ยินมัน
เอาเถอะ มันเป็นครั้งแรกที่ฉันพึ่งพาภูมิหลังของฉัน ยิ่งพอทำมันแล้ว ฉันยิ่งรู้สึกดีกว่าที่ฉันคิดไว้เสียอีก
แต่ผลลัพธ์ที่ได้มันค่อนข้างน่าเศร้าอยู่เหมือนกัน
“แล้วทำไมคนอย่างฉันถึงต้องมาถูกเน่าเปื่อยในห้องขังด้วยละ?”
“ฝ่าบาท ตั้งแต่ที่ท่านทำผิดกฎ ท่านจำเป็นต้องได้รับบทลงโทษ ได้โปรดอยู่ในห้องขังไปอีกเจ็ดวันด้วยครับ ฝ่าบาท”
“อย่าล้อฉันเล่นนะ!” ฉันบ่นออกมาและพูดกับฮาร์แมนโดยตรง “ยังไงก็ตาม บุตรชายคนโตของเคานต์ไรนั่นยังมีชีวิตอยู่ไหม?”
“โชคดีที่ยังมีชีวิตอยู่ครับ”
“เอาละ แล้วถ้าฉันเผลอฆ่าเขาไปจริง ฉันจะถูกลงโทษอะไร?”
“...ท่านคงถูกขังไว้ในคุกแหละครับ ฝ่าบาท”
“นานแค่ไหน?”
“...ประมาณครึ่งปีครับ”
โอ้ โอ้วววว! มันน้อยกว่าที่คิดไว้แหะ ถึงแม้ว่าจะเป็นการฆ่าคนก็ตาม เหอะ ฉันอาจจะไม่มีอำนาจเท่ากับตอนเป็นหลานชายจักรพรรดิ แต่อย่างน้อยฉันก็ยังเพลิดเพลินกับข้อได้เปรียบบางอย่างได้อยู่นะ
เคานต์น่าจะเป็นตำแหน่งที่ค่อนข้างสูงในชนชั้นขุนนางด้วยเช่นกัน
มันเป็นเรื่องที่ดีมากที่จะผ่อนคลายภายในห้องขัง หลังจากกำจัดขยะมนุษย์ไปแล้ว ในขณะที่อยู่ภายในกรงขัง ฉันก็ไม่ได้ทำตัวเหมือนกับศพเน่า ฉันสามารถที่จะอ่านสิ่งที่ฉันต้องการได้ตามใจ รวมทั้งออกกำลังกายได้ตามใจต้องการ ฉันเป็นหลานชายของจักรพรรดิและตั้งแต่ที่เจ้าเมืองได้ดูแลฉันเป็นอย่างดี สภาพการเป็นอยู่ของฉันก็ถูกได้รับการปฏิบัติเป็นอย่างดี
“เอาละ....ฉันน่าจะกำจัดเจ้าโง่นั้นทิ้งไป”
“...ถ้าท่านทำมัน ฝ่าบาท ท่านจะต้องรับผิดชอบทั้งหมดครับ”
ฮาร์แมนถอดหมวกและปาดเหงื่อตัวเองด้วยผ้าเช็ดหน้า
แน่นอนละว่าพาลาดินน่าจะเป็นคนที่ขึ้นเขียง ถ้าฉันจัดการฆ่าไอ้โง่นั่นจริง ยังไงก็ตามเขาก็ยังเป็น ‘ผู้พิทักษ์’ ของฉัน
ฉันสังเกตฮาร์แมนเงียบๆ เขาที่เหมือนกับหุ่นยนต์ในหนังเทอร์มิเนเตอร์เริ่มที่จะเปิดเผยอารมณ์มาทีละเล็กทีละน้อย ฉันพึงพอใจกับเรื่องนี้มาก มันมีหลายสิ่งหลายอย่างในโลกนี้ที่สนุกเทียบเท่ากับการล้อเล่นคนที่ซื่อตรงอย่างเขา
“ไม่จำเป็นเครียดไปหรอก เพื่อน ถ้าฉันต้องการที่จะฆ่าเขาจริง ฉันคงจะเล็งหัวเขาแทนแล้ว ฉันแค่ต้องการสั่งสอนเขาบ้างเล็กน้อยเท่านั้นแหละ”
“แต่ทำไมละเจ้าชาย?”
“มันเป็นเพราะว่า”
“มันเป็นเพราะว่า?”
แทนที่จะตอบกลับด้วยคำตอบ ฉันกลับฉีกยิ้มให้แทน
ฮาร์แมนทำได้เพียงนวดหน้าผาก “ครับ ยังไงก็ตาม...”เขาจ้องมาที่ฉันก่อนที่จะถามอีกครั้งหนึ่ง “....ท่านเรียนรู้วาจาจิตวิญญาณมาจากที่ใดกันครับ ฝ่าบาท”
“วาจาจิตวิญญาณ?”
ฉันเอียงหัวอย่างมึนงงและเมื่อเขาเห็นปฏิกิริยาของฉัน สีหน้าของฮาร์แมนยิ่งงุนงงมากกว่าฉันเสียอีก
“มันไม่ได้สำคัญอะไรหรอกครับ ฝ่าบาท ลืมมันไปเถอะ ในช่วงเวลานี้ ได้โปรดทำให้หัวของท่านเย็นลงด้วยครับ”
“เอาละ ได้เลย อ๊า ฉันรู้สึกหิวจังเลย หาอะไรให้ฉันกินหน่อยสิ อีกอย่าง หาอะไรให้ฉันอ่านด้วย หนังสือประวัติศาสตร์ก็ได้ มันทำให้ฉันนึกถึงการอ่านนิยายแฟนตาซีและมันทำให้ฉันมีความสุขด้วย”
ฉันพยักหน้าและโบกมือให้กับฮาร์แมน เมื่อเขากำลังเดินออกไปจากคุก
สัปดาห์นึง?
ฉันได้รับเวลาพักผ่อนระยะยาวมาโดยที่ไม่ได้คาดคิด
ฉันตรวจสอบภายในคุก มันสะอาดกว่าที่ฉันคิดไว้ มันไม่ใช่คุกที่มีบรรยากาศมืดหม่น อับชื้น รวมทั้งกลิ่นเหม็นเน่าที่รับไม่ได้
ฉันเดาว่ามันเป็นพื้นที่เก็บของที่ไม่ได้ใช้แล้ว ซึ่งถูกทำความสะอาดไว้ให้ฉันเข้าไปอยู่ มันยังมีแม้แต่เตียงด้วยซ้ำ มันไม่ได้เหมือนกับนักโทษคนอื่นเลย นอกจากมีเสียงพึมพำที่บอกระยะทางไม่ได้จากด้านนอกกำแพง มันก็ค่อนข้างจะเงียบมากภายในนี้
มันเหมือนกับว่าฉันถูกแยก ‘จับขัง’ ไว้ในห้องพิเศษเสียมากกว่า
นั่นหมายความว่า สถานที่แห่งนี้ถูกทำให้โล่งให้กับฉัน ดังนั้น ถึงแม้ว่ามันจะเป็นคุกธรรมดาทั่วไป มันก็เหมือนกับห้องที่มีหนึ่งห้องนอนมากกว่า มันให้บรรยากาศที่น่านอนแบบนั้นเลย
การใช้เวลาอยู่ในนี้หนึ่งสัปดาห์มันน่าจะสบายมาก
ที่จริงแล้ว ฉันจำเป็นต้องให้เวลากับ ‘ฉัน’ บ้าง เอาเถอะ ฉันต้องการใช้เวลาจมอยู่กับการเรียนรู้เวทย์มนต์ด้วยเช่นกัน
ด้วยเหตุผลบางอย่าง มันค่อนข้างสนุกกับการเรียนรู้อะไรแบบนี้
ในชีวิตก่อนหน้านี้ ฉันเคยเรียน.....หนังสือในโรงเรียนมาก่อน แต่ในตอนนี้? มันให้ความรู้สึกสำเร็จอย่างมาก หลังจากที่ได้เรียนรู้เวทย์มนต์และใช้มันได้สำเร็จ
เพียงแค่ฉันกำลังหยิบตำราไสยเวทออกมาจากหน้าต่างไอเทม ใครบางคนก็เดินเข้ามาภายในห้องขัง ซึ่งคนนั้นก็คือชาร์ลอตต์ เธอน่าจะได้รับอนุญาตให้เข้ามาโดยพาลาดิน
เนื่องจากเธอไม่ค่อยแสดงสีหน้าออกมาเท่าไหร่ มันจึงกลายเป็นเรื่องยากที่จะคาดเดาว่าเธอคิดอะไรอยู่ในหัว แต่อย่างครั้งนี้ เธอดูเหมือนกำลังตกอยู่ในปัญหา ซึ่งเขาดูจากหน้าผากย่นของเธอ
“ฉันขอโทษ มันเป็นเพราะฉันเอง”
ชาร์ลอตต์ก้มหัว
“เธอกำลังพูดเรื่องอะไร?”
ฉันไม่ได้วางแผนจะช่วยเธอเลยสักนิด หญิงสาวคนนี้ค่อนข้างเป็นคนหัวไว แม้ว่าฉันจะไม่ได้ทำอะไรสักอย่าง มันก็เห็นได้ชัดว่าเธอคิดว่ามันเป็นอีกอย่างหนึ่งอยู่ดี
“สุดท้ายฉันก็เอาแต่ได้รับการช่วยเหลือจากคุณอยู่ตลอดเลย”
ฉันไม่รู้จริงๆว่าเธอกำลังพูดถึงเรื่องอะไร
พูดตามตรงฉันไม่ได้คิดว่าฉันตั้งใจที่จะช่วยเธอมากขนาดนี้....อ๊า เธอขอบคุณฉันสำหรับครั้งแรกที่เราเจอกัน เมื่อตอนที่ฉันช่วยเธอไว้งั้นเหรอ?
ฉันเอียงคอ แต่ชาร์ลอตต์เอาแต่ยืนเฉยอยู่ตรงนั้น ไม่ได้พูดอะไรต่อ ในขณะที่จ้องมายืนฉัน
ฉันพึมพำ “เอาละ เอาละ ไปหาอะไรให้ฉันกินก่อนได้ไหม?”
“...?”
“ไม่ใช่สิ่งที่พวกเขาทำไว้ให้ฉันกินที่นี่นะ ฉันหมายถึงอาหารที่เธอเคยทำให้ฉันกินตอนอยู่ในโบสถ์หน่ะ พวกมันรสชาติอร่อยมากเลยละ”
ความสามารถในการทำอาหารของเธอนั้นเป็นเชฟชั้นหนึ่ง เธอทำอาหารอร่อยมาก แม้ว่าจะเป็นวัตถุดิบธรรมดาทั่วไปที่หาได้ง่ายๆ เธอก็สามารถที่จะทำอาหารออกมาอร่อยได้ถึงขนาดนั้น ดังนั้นด้วยวัตถุดิบชั้นสูงที่เจ้าเมืองส่งมาให้ อาหารของเธอคงจะดียิ่งกว่าแต่ก่อน
“ถ้าเจ้าไปบอกเจ้าเมืองว่าฉันส่งเจ้าไป เขาน่าจะให้เจ้าใช้ห้องครัวรวมกับวัตถุดิบด้วย ฉันค่อนข้างหิวมากเลย ไปหาอะไรดีๆให้ฉันกินหน่อยสิ”
“...ค่ะ”
ชาร์ลอตต์ยิ้มอย่างอ่อนโยนและก้มหัวให้
(ในมุมมองบุคคลที่ 3)
พาลาดินฮาร์แมนกำลังสั่งการนักโทษที่อยู่ด้านนอกปราสาทโรเนีย
พายุหิมะมันหนักมากจนเขาแทบจะเดินไปโดยที่มองไม่เห็นเลย อากาศนี้มันอันตรายอย่างมาก – หิมะได้กองสูงขึ้นมากเกินไป เนื่องจากพายุหิมะที่มาอย่างต่อเนื่องไม่มีหยุด
กำแพงของโรเนียมันเป็นกำแพงที่ต่ำมาก กำแพงของมันสูงแค่สิบสองเมตรเท่านั้น ถ้าหิมะที่ตกลงมาทับถมกันมากขึ้น มันก็จะกลายเป็นสะพานที่ทำให้อันเดทสามารถปีนข้ามกำแพงขึ้นมาได้ ซึ่งมันเป็นเหตุผลที่ว่าทำไมพวกเขาจำเป็นต้องทำงานอย่างรวดเร็วในการตักหิมะออกไป
‘มันผ่านไปได้สัปดาห์หนึ่งแล้ว’
หลังจากเขาทำหน้าที่จบลงตรงนี้ เขาจะไปปล่อยตัวเจ้าชายออกมาจากกรงขัง
-เจ้าชายที่ทำแบบนั้นไป มันเป็นเพราะฉันค่ะ ได้โปรดยกโทษให้กับสิ่งที่เขาทำด้วยค่ะ
หญิงสาวจากโบสถ์ได้มาหาฮาร์แมนก่อนเป็นอันดับแรก เธออธิบายถึงเหตุผลที่เกิดขึ้นในวันนั้น แน่นอนละว่าเขาสงสัยกับสิ่งที่เขาได้ยิน
จากคำพูดของเธอแล้ว คนที่เริ่มต้นเหตุการณ์ทะเลาะก่อนหน้านี้คือไฮส์ ซึ่งเขาเป็นบุตรชายคนโตของเคานต์เฮอดอนและเจ้าชายก็พยายามที่ทำให้เขาหยุดทำตัวน่ารังเกียจแบบนั้น
‘มันไม่เหมือนการหยุดอีกฝ่าย แต่มันเหมือนกับการทำตัวรุนแรงมากกว่านะ แต่ว่า…’
ตอนที่เขาปฏิบัติเช่นนั้น เจ้าชายได้แสดงด้านใหม่ของเขาที่ไม่เคยเห็นมาก่อน ในชั่วเวลานั้นเองเขาได้แสดงให้เห็นถึงบรรยากาศของผู้ที่มีอำนาจ รวมทั้งความอหังการซึ่งมันเหมาะสมกับการเป็นลูกหลานจากราชวงศ์ – เขาได้พิสูจน์ว่าเขาเป็นคนที่ได้รับการสืบทอดจากสายเลือดชนชั้นสูง
ไม่เพียงแค่นั้น เด็กหนุ่มคนนี้ยังได้ใช้ ‘วาจาจิตวิญญาณ’ ออกมาอีกด้วย
คำพูดของเขาเต็มไปด้วยพลังศักดิ์สิทธิ์และมันทำให้บรรยากาศรอบข้างหนักอึ้งมากยิ่งขึ้น ซึ่งมันทำให้เขารู้สึกได้ถึงแรงกดดันที่ถาโถมเข้าใส่ตัวเขาอย่างมากมาย
‘แต่มันเหมือนว่าเจ้าชายยังไม่รู้ตัวเกี่ยวกับเรื่องนี้’
มีเพียงแค่ผู้บังคับบัญชาจำนวนไม่กี่หยิบมือเท่านั้นที่มีความสามารถมากพอในการใช้วาจาจิตวิญญาณตามใจปรารถนาและคนที่ใช้มันออกมาโดยไม่รู้ตัวมันยิ่งหาได้ยากกว่าเดิม ไม่ว่าจะเป็นนักเรียนที่ศึกษาเวทมนตร์หรือจะเป็นผู้ศรัทธาในพลังศักดิ์สิทธิ์หรือจะเป็นบุคคลที่มีพลังมาร
ฮาร์แมนมีคำถามมากมายที่ต้องการจะถามเจ้าชาย เขาสงสัยมากว่าเด็กหนุ่มใช้วาจาจิตวิญญาณได้ยังไงกัน และเขาได้ไปเรียนรู้การใช้มันมาจากที่แห่งใด
มันเกิดการเปลี่ยนแปลงบางอย่างขึ้นกับเขาเมื่อสามเดือนก่อนงั้นเหรอ? หลังจากการฆ่าตัวตายครั้งนั้น? เขาเหลือบสายตากลับไปมองนักโทษที่วุ่นวายกับการทำงานของพวกเขา พวกเขาต่างถือพลั่วและขุดหิมะกันอยู่
“...มันเงียบมากเกินไป”
พายุหิมะหนักหนาเช่นนี้มันได้บดบังวิสัยทัศน์ของเขา มันเงียบมากเกินไปและมีเพียงแต่เสียงของลมที่พัดอย่างรุนแรงเท่านั้น ไม่สิ มันยังมีเสียงโอดครวญจากนักโทษและเสียงของพลั่วที่ขุดหิมะอีกด้วย
นี่มันแปลกเกินไป
วันนี้คือวันที่ 25 ธันวาคม มันคือวันที่ราชาเนโครแมนเซอร์เอม่อนได้ถูกกำจัดไป มันเป็นวันที่พลังมารจะแข็งแกร่งที่สุดในดินแดนวิญญาณแห่งความตาย
แม้ว่าจะเป็นแบบนั้นก็ตามที เสียงร้องโหยหวนและเสียงกรีดร้องอย่างเจ็บปวดจากเหล่าอันเดทก็ไม่ได้ดังก้องไปทั่วดินแดนต้องคำสาปนี้
ด้วยความที่สงบสุขนี้เอง ซึ่งมันแตกต่างไปจากปีก่อนหน้านี้ มันทำให้นักโทษต่างมีสีหน้าที่ผ่อนคลาย
ยังไงก็ตาม ฮาร์แมนกังวลอยู่ในหัวใจอยู่ดี นี่มันเหมือนความเงียบสงบก่อนที่พายุจะเข้าอย่างมาก มันสงบสุขมากเกินไป ปราสาทโรเทียน่าจะอันเดทบุกมาอย่างน้อยก็หนึ่งร้อยตัวขึ้นไปแล้ว แต่มันกลับไม่โผล่ออกมาเลยสักตัว
‘...มันมีอะไรบางอย่างผิดปกติที่นี่ เหตุการณ์แบบนี้มันเป็นครั้งแรกที่เกิดขึ้น หลังจากการตายของราชาเนโครแมนเซอร์’
มันเป็นเวลากว่าห้าสิบปีแล้วหลังจากที่มหาวีรบุรุษ จักรพรรดิศักดิ์สิทธิ์องค์ปัจจุบัน เคลต์ ออโฟเซ่ได้สังหารราชาเนโครแมนเซอร์
นานนับทศวรรษที่อันเดทคอยรวมตัวกันอย่างต่อเนื่องในดินแดนแห่งนี้ และมันได้ถูกกำจัดทิ้งไปในทุกปี
และในวันนี้ของปี วันที่ราชาเนโครแมนเซอร์ได้ตายลง วันที่ 25 ธันวาคม มันเป็นวันที่เหล่าอันเดทเกรี้ยวกราดและเหี้ยมโหดที่สุดของปี ยังไงก็ตาม บรรยากาศที่เงียบสงบนี้มันทำให้เขารู้สึกขนลุกซู่แทน