บทที่ 63 สเต็ปเด็กๆ
“พวกคุณทำการบ้านกันหรือยัง?” ฉันนั่งลงบนโพเดียมเพื่อที่ฉันจะได้เห็นมุมมองของชั้นเรียนได้ดีขึ้นในขณะที่ฉันกำลังแต่งผม
ฉันได้งีบหลับในห้องเรียนเรื่องพื้นฐานของการจัดการมานาดังนั้นฉันจึงรู้สึกดีขึ้นมาก เมื่อมองไปรอบๆ จากตรงกลางลานฉันเห็นนักเรียนของฉันมองหน้ากันอย่างหมดหวังด้วยความหวังว่าหนึ่งในนั้นจะมีคำตอบสำหรับคำถามที่ฉันถามเมื่อวานนี้
“ดูเหมือนว่าจะไม่มีทางเลือกอื่นนอกจากฉันเป็นคนตอบคำถาม” เฟย์ริธถอนหายใจในที่สุดก่อนจะลุกขึ้นยืน
“แกนมานาเป็นวิธีที่ยอดเยี่ยมในการวัดระดับพลังของนักเวทย์ได้อย่างง่ายดายและแม่นยำเนื่องจากมีความสัมพันธ์กับความพยายามและเวลาที่นักเวทย์ใช้ในการกลั่นและปรับแต่งมานาจากสิ่งรอบๆตัวให้กลายเป็นแกนกลาง” เขาพูดจบพร้อมกับการเสยผมขณะนั่งลง
“ไม่ถูกไปทั้งหมด” ฉันกระโดดลงจากเวทีแล้วเดินไปหาเฟย์ริธที่กำลังตกใจ
“แน่นอนว่ามันเป็นวิธีที่ง่ายในการวัดพลังของนักเวทย์แต่ละคน แต่ก็ยังห่างไกลจากคำว่าแม่นยำ เจ้าหญิงแคธลีนถ้าคุณเห็นนักสู้ธรรมดาๆที่สูงเกือบสองเมตรและมีน้ำหนักเกือบสามร้อยปอนด์เต็มไปด้วยกล้ามเนื้อคุณจะประเมินนักสู้คนนั้นว่าอย่างไร?” ฉันหันไปมองเจ้าหญิงที่นั่งอยู่ข้างๆเอลฟ์ที่กำลังอาย
“ฉันคาดหวังว่านักสู้คนนั้นจะมีพละกำลังที่แข็งแกร่ง” เธอกล่าวหลังจากไตร่ตรองคำถามง่ายๆของฉัน
"ถูกต้อง! ทั้งหมดที่เราสามารถบอกได้ก็คือว่าเจ้ายักษ์ทื่มนั้นน่าจะแข็งแกร่งอย่างไม่น่าเชื่อ แต่มีอะไรที่บอกเกี่ยวกับความสามารถในการต่อสู้ของเขาหรือไม่? ใช่เขาอาจจะแข็งแกร่ง แต่การที่จะเป็นนักสู้ที่ยอดเยี่ยมนั้นมันมีปัจจัยอื่นๆอีกมากมายเช่นความคล่องตัวเทคนิคความแข็งแกร่งทางจิตใจประสบการณ์ ฯลฯ ระดับของแกนมานาของนักเวทย์เป็นเพียงตัวกำหนดว่าเขามี 'กล้ามเนื้อ' มากแค่ไหน แต่มันไม่สามารถอธิบายเกี่ยวกับปัจจัยอื่นๆได้เลย แน่นอนว่าการที่มีมานาคอร์ในระดับที่สูงขึ้นนั้นก็มีความสำคัญ แต่ถ้านั่นเป็นปัจจัยเดียวที่ใครก็ตามจะใช้ในการวัดระดับของคู่ต่อสู้ คนๆนั้นก็เตรียมพร้อมความพ่ายแพ้ได้เลย ฉันเห็นนักเรียนบางคนเริ่มจดโน้ตฉันจึงหยุดหายใจ
นักเรียนที่อวดฉลาดที่ใส่แว่นยกมือขึ้นหลังจากจดโน้ตเสร็จ "คำถามค่ะ!" เธอประกาศ
“ว่ามาเลยคุณไมร์เทิล?” ฉันพบว่ามันตลกเพียงใดที่ชื่อของเธอนั้นเหมาะสมกับหน้าตาและนิสัยของเธอมาก
“ถ้าการพยายามตรวจสอบแกนมานาของคู่ต่อสู้ไม่ใช่วิธีที่ถูกต้องในการวัดระดับของเขาหรือเธอเราควรจะทำอย่างไร?” เธอถามด้วยการแสดงออกที่ทำให้ดูเหมือนว่าเธอกำลังทดสอบฉัน
“คุณก็ไม่ต้องทำ สิ่งที่ทุกคนต้องทำก็คือให้สมมติว่าฝ่ายตรงข้ามนั้นแข็งแกร่งกว่าคุณเสมอ การวัดระดับมานาหลักของทุกคนควรใช้เพื่อปรนเปรอความอยากรู้อยากเห็นของพวกคุณเท่านั้น แต่จะไม่มีอะไรนอกเหนือไปจากนั้น ถ้าเกิดว่าการรับรู้ระดับแกนมานาจะสามารถวัดความแข็งแกร่งของคู่ต่อสู้ได้อย่างแม่นยำ คุณจะทำอย่างไรหากความแข็งแกร่งในการต่อสู้ของคู่ต่อสู้นั้นอยู่ในระดับที่ต่ำกว่าคุณ ออมมือ? หยอกเขาเล่นเพราะคุณรู้ว่าคุณจะชนะหรือ? แล้วคุณจะทำอย่างไรถ้าพลังในการต่อสู้ของเขาสูงกว่าของคุณ? วิ่งหนี? มีโอกาสที่ที่ทั้งคู่ได้รับรู้มานาของกันและกันดั่งนั้นการวิ่งหนีจึงไม่ใช่ทางเลือก” ฉันหยุดชั่วขณะ
“การมั่นใจมากเกินไปเพราะคุณพบว่าแกนมานาของคุณสูงกว่าของคู่ต่อสู้สามารถทำให้คุณประมาทและพลาดได้ และหากแกนมานาของคู่ต่อสู้อยู่ในระดับที่สูงกว่าของคุณก็อาจทำให้คุณรู้สึกสิ้นหวังได้ สิ่งที่สำคัญที่สุดก็คือชีวิตมันไม่ได้เรียบง่ายจนใครก็สามารถรู้ได้อย่างแม่นยำว่าคนที่ได้รับชัยชนะคือคนที่มีระดับของแกนมานาที่สูงกว่า มีหลายกรณีที่นักสู้ธรรมดาๆไล่ต้อนนักเวทย์ที่ประมาทเพียงเพราะนักเวทย์พวกนั้นมีความหยิ่งผยองเกินไป ให้คิดอยู่เสมอว่าคู่ต่อสู้นั้นแข็งแกร่งกว่าคุณและพยายามอย่างเต็มที่ หากคู่ต่อสู้คนนั้นอ่อนแอกว่าคุณ คุณก็ต้องยุติการต่อสู้โดยเร็วเพื่อช่วยให้เขาไม่ต้องได้รับความอัปยศอดสู ถ้าคู่ต่อสู้คนนั้นแข็งแกร่งกว่าก็ขอแสดงความยินดีด้วยที่คุณสามารถเอาชนะขีดจำกัดทางจิตใจที่พวกคุณยึดมั่นมาทั้งชีวิตได้แล้ว” ฉันรู้สึกเหมือนเป็นนักพูดที่สร้างแรงบันดาลใจมากกว่าจะเป็นวิทยากร
ฉันเดินกลับไปที่โพเดี้ยมซึ่งตอนนี้ซิลวีกำลังงีบหลับและพูดต่อ
“ตอนนี้สำหรับการบ้านชิ้นต่อไป มีใครพอจะทราบบ้างไหมว่าคลาสสุดท้ายที่ฉันทำกับคาถาลมทั้งสองแบบนั้นเป็นอย่างไร” ฉันถามโดยพิงหลังให้กับโพเดี้ยม
ความเงียบงันเต็มไปทั่งห้อง
ฉันถอนหายใจออกมา ฉันเดาว่าการที่พวกเขามักได้รับคำตอบโดยไม่ได้พยายามคิดเองล้วนส่งผลต่อทักษะการคิดวิเคราะห์ของพวกเขาจริงๆ
“ฉันจะสาธิตเล็กน้อยสำหรับคำตอบของนักเวทย์สายเสริมพลังก่อน” ฉันกลิ้งซิลวี่ไปด้านข้างฉันและหยิบกระดาษสองแผ่นออกมาจากข้างใต้เธอ ฉันขยำกระดาษแผ่นหนึ่งเป็นลูกบอลเล็กๆ แล้วนำไปแสดงให้ชั้นเรียนดู
"ดูนี้" ฉันวางลูกบอลไว้บนฝ่ามือขวาและหายใจเข้าลึกๆ สร้างความกระวนกระวายใจในห้อง
“ฟู่ๆ” ฉันใช้อากาศทั้งหมดในปอดของฉันและจัดการเป่ากระดาษที่ยับยู่ยี่ในมือและมันก็กระเด็นห่างจากฉันไปประมาณหนึ่งเมตร
นักเรียนจ้องมองมาที่ฉันด้วยใบหน้าที่ว่างเปล่าจากผลของการสาธิต
ฉันชูนิ้วของฉันขึ้นเพื่อทำให้นักเรียนที่จะโต้แย้งเงียบไปก่อน ฉันม้วนกระดาษอีกแผ่นที่ฉันให้คลายๆกับหลอดและบรรจุลูกบอลไว้ที่ปลายด้านหลังของหลอดให้แน่นๆฉันสูดหายใจเข้าลึกๆอีกครั้ง
ฉันเป่าลมอีกครั้งและลูกบอลกระดาษที่ยับยู่ยี่ก็ถูกยิงออกไปไกลกว่าสิบห้าฟุตต่อหน้าฉันก่อนที่จะกระเด้งลงบนพื้น
ใบหน้าของนักเรียนบางคนสว่างขึ้นด้วยความเข้าใจในขณะที่คนอื่นๆ แสดงความประหลาดใจ ฉันอดไม่ได้ที่จะยิ้มขณะที่นักเรียนทุกคนสดใสขึ้นและจดบันทึก เจ้าหญิงแคธลีนเขียนในสมุดบันทึกของเธออย่างโกรธเกรี้ยวขณะที่เฟย์ริธจ้องมองไปที่ลูกบอลกระดาษที่อยู่บนพื้นด้วยสีหน้าว่างเปล่า
“เนื่องจากพวกคุณหลายคนดูเหมือนจะเข้าใจในสิ่งที่ฉันเพิ่งทำไปใครก็ได้ช่วยบอกกับคนอื่นๆในชั้นเรียนให้กระจ่างหน่อยได้ไหม?” ฉันถามขณะที่เดินไปเก็บกระดาษที่ฉันเพิ่งเป่าไป
“มันเกี่ยวข้องกับการจดจ่อมานาให้ไปที่จุดๆเดียวจากนั้นก็บีบอัดและยิงออกไปใช่ไหมค่ะศาสตราจารย์?” หญิงสาวขี้อายที่มีหอกขนาดใหญ่อยู่ข้างๆเธอตอบด้วยน้ำเสียงที่เงียบสงบ
"ถูกต้อง! ผู้เสริมพลังได้รับการสอนให้ใช้ช่องมานาที่พวกเขามี ดังนั้นเราจึงใช้ช่องมานาของพวกเรามากจนเกินไปโดยไม่รู้ตัว นั้นทำให้คาถาส่วนมากของเราเจือจางลง มันจะไม่ส่งผลอะไรเลยหากคุณใช้มันเสริมร่างกายของคุณ แต่คาถาจะอ่อนแอลงอย่างมากเมื่อพวกเขาพยายามร่ายเวทย์ระยะไกล” ฉันแสดงให้เห็นโดยการขยายหลอดกระดาษที่ม้วนขึ้น เป่าผ่านปลายด้านหนึ่งของลูกบอลโดยที่ฉันใส่เอาไว้ข้างในอย่างหลวมๆ และแล้วมันก็แค่หล่นลงมาตรงหน้าฉัน
“ในตอนแรกมันจะยากที่ทำให้มันชิน แต่การที่คุณสามารถควบคุมช่องมานาของคุณได้ดีขึ้นจะช่วยพวกคุณได้อย่างมาก ตอนนี้ถึงคราวของผู้ร่ายเวทย์บ้าง” ฉันหยิบกระดาษที่ยับยู่ยี่ที่เป่าออกมาอีกครั้ง
“เนื่องจากนักร่ายเวทย์มีช่องมานาที่น้อยกว่ามากเมื่อเทียบกับเส้นมานา พวกเข้าจึงยิงเวทย์ออกมาในรูปแบบของการบีบอัดโดยธรรมชาติไม่ว่าจะออกมาจากร่างกายโดยตรงหรือโดยส่งผลกระทบต่อพื้นที่เพื่อให้มานาเปลี่ยนเป็นรูปแบบของคาถาที่พวกเขาต้องการ สิ่งที่ผู้ร่ายเวทย์ต้องก็ทำคือการใช้มานาดิบที่พวกเขาสามารถดูดซับได้เพื่อชดเชยช่องมานาที่ขาดหายไป หลับตาแล้วลองนึกภาพตามนี้” นักเรียนมองหน้ากันอย่างสับสน แต่พวกเขาก็หลับตาลงและรอคำแนะนำต่อไปของฉัน
“ลองนึกภาพร่างกายของผู้ร่ายเวทย์และผู้เสริมพลังให้เป็นแอ่งน้ำ หากเราให้ใบไม้เป็นอนุภาคของมานา สำหรับร่างกายของผู้เสริมพลังให้ลองนึกภาพของใบไม้เล็กๆหลายๆใบที่ถูกทิ้งอยู่ทั่วสระว่ายน้ำ ในขณะที่ใบไม้พวกนี้อาจมีขนาดเล็กเนื่องจากมันมีจำนวนมาก แต่พวกมันจะสามารถกระจายและเชื่อมต่อกับใบไม้อื่นๆ ที่กระจายมาจากทิศทางอื่นจนปกคลุมพื้นผิวของน้ำได้ นั่นคือสาระสำคัญของการเพิ่มประสิทธิภาพของร่างกาย ตอนนี้สำหรับผู้ร่ายเวทย์ลองนึกภาพของใบไม้ขนาดมหึมาเพียงใบเดียวที่หล่นลงไปในแอ่งน้ำ เนื่องจากมันมาจากสถานที่เดียวมันอาจจะใช้เวลานานกว่าที่จะแพร่กระจายแต่สุดท้ายใบไม้ก็ยังคงสามารถปกคลุมพื้นผิวของสระว่ายน้ำได้ นั่นคือวิธีการเสริมประสิทธิภาพของร่างกายสำหรับผู้ร่ายเวทย์” ชั้นเรียนยังคงเงียบในขณะที่พวกเขาลืมตาและไตร่ตรองถึงสิ่งที่ฉันเพิ่งพูดไป
“สาเหตุที่พวกคุณที่เป็นผู้ร่ายเวทย์ได้รับบาดเจ็บในขณะที่พยายามดูดซับเวทที่คุณร่ายเวทย์นั้นเป็นเพราะคุณไม่ได้ใช้มานาจากแกนของคุณ มานาชนิดเดียวที่คุณมีภูมิคุ้มกันอย่างสมบูรณ์แบบก็คือมานาที่กลั่นในแกนมานาของคุณ ดังนั้นมานาที่ส่งผลต่อสภาพแวดล้อมจนกลายเป็นคาถานั้นเลยสามารถทำร้ายคุณได้ ผู้ร่ายเวทย์จะต้องใช้มานาทั้งจากชั้นบรรยากาศและมานาจากแกนมานาของพวกเขาพร้อมๆกันและรวมมันเข้ากับร่างกายของพวกเขา มันก็คือการทิ้งกองของใบไม้ขนาดใหญ่เพื่อให้มันกระจายไปทั่วแอ่งน้ำนั้นเอง” เมื่อฉันอธิบายเสร็จฉันก็ขอให้ชั้นเรียนลงมาบนเวทีและเริ่มฝึกซ้อม สำหรับชั้นเรียนที่เหลือฉันช่วยพวกเขาพร้อมกับให้คำแนะนำเล็กๆ น้อยๆ เพื่อทำให้พวกเขาเห็นภาพของสิ่งที่พวกเขาต้องฝึกทำ
หลังจากระฆังยักษ์ดังขึ้นซิลวีก็ตื่นและกระโดดขึ้นมาบนหัวของฉันขณะที่ฉันปล่อยให้เลิกเรียน ฉันรู้สึกประหลาดใจเมื่อได้ยินนักเรียนบางคนบ่นกับเพื่อนๆ ว่าชั้นเรียนของฉันนั้นสั้นเกินไป
ฉันใช้เส้นทางอ้อมไปยังชั้นเรียนถัดไปเพื่อให้มีเวลามากขึ้นในขณะที่ฉันจะเฝ้าสำรวจได้มากขึ้น ฉันส่งคลื่นลมที่แผ่วเบาเพื่อลองใช้มันเป็นเรดาร์สามมิติ แต่มันพิสูจน์แล้วว่าไม่มีประโยชน์อย่างที่คิด ส่วนคลื่นดินนั้นก็แทบจะไม่มีประโยชน์เช่นกันเนื่องจากฉันสามารถตรวจจับได้เฉพาะข้อมูลง่ายๆเท่านั้นเช่นจำนวนคนที่อยู่ในพื้นที่และยังไม่สามารถตรวจจับได้ว่าพวกเขากำลังต่อสู้กันอยู่หรือเปล่า ที่แย่ไปกว่านั้นคืออาคารและต้นไม้ทำให้ความแม่นยำนั้นลดลงไปด้วย
ฉันมาถึงชั้นเรียนของกิเดี้ยนสาย แต่เขาก็แค่บอกให้ฉันรีบไปที่นั่งก่อนที่เขาจะกลับมาคุยต่อ
“เฮ้ทำไมนายมาถึงช้าจัง?” เอมิลี่กระซิบกับฉัน
“หน้าที่ของคณะกรรมการวินัยนะ ฉันต้องตรวจรอบๆโรงเรียนจนกว่าชั้นเรียนจะเริ่มสักสิบนาที” ฉันตอบและลดเสียงลงเพื่อที่กิเดี้ยนจะไม่ได้ยิน
“เอาล่ะ! มาจับคู่กันและทำงโครงการของเราดีกว่า วัสดุอยู่ด้านหลังแล้วนะ แต่พวกคุณไม่จำเป็นต้องไปพร้อมกันทั้งหมดในครั้งเดียว” เขานั่งและเริ่มอ่านอะไรบางอย่างในขณะที่ชั้นเรียนลุกขึ้นเพื่อรวบรวมวัสดุที่จำเป็นสำหรับสิ่งประดิษฐ์ที่ผลิตด้วยแสง ฉันกำลังจะเดินไปเช่นกันเมื่อเอมิลี่หยุดฉันไว้
“ฉันมีวัสดุทั้งหมดที่เราต้องการสำหรับ สปผส (สิ่งประดิษฐ์ที่ผลิตแสง) อยู่แล้ว มาเริ่มกันเลย” เธอควานกระเป๋าขนาดใหญ่ของเธอค้นหาส่วนประกอบที่จำเป็นต่างๆ หลังจากจัดเตรียมทุกสิ่งที่เราต้องการแล้วเธอก็มองมาที่ฉันและส่งท่าทางเพื่อที่ให้เราเริ่มทำทันที
การสร้าง สปผส นั้นไม่ใช่เรื่องง่ายๆ แต่ดูเหมือนว่าเอมิลี่จะประทับใจกับความรวดเร็วในการเข้าใจของฉัน แม้ว่าเธอจะอายุเพียงสิบสองปี แต่ความเป็นอัจฉริยะของเธอก็ทำให้ฉันรู้สึกดีเล็กน้อย
ชั้นเรียนที่เหลือหมดไปกับการซ่อมแซมชิ้นส่วนต่างๆของสิ่งประดิษฐ์ที่เอมิลี่นำมาด้วยจนกระทั่งกิเดี้ยนเลิกชั้นเรียน ในขณะที่ฉันกำลังจะออกไปเขาก็จับฉันที่ด้านหลังคอเสื้อและดึงฉันเข้าหาเขา
“ไอ้เด็กบ้า ถ้าวันไหนว่างก็แวะมาด้วย เรามีเรื่องต้องคุยกันอีกมาก” เขายิ้มให้ฉันอย่างมีเลศนัยแต่ก็แค่ตบเบาๆที่หลังของฉัน
“อืมให้ผมเตรียมชาไปด้วยมั้ยละศาสตราจารย์?” ฉันโบกมือก่อนจะเดินออกจากห้องไปพร้อมกับเอมิลี่
‘ปาป๊าเอเวียร์บอกให้ปาป๊าตรงไปที่ห้องฝึกอีกครั้ง’ ซิลวี่ตบจมูกของฉันด้วยอุ้งเท้าเพื่อดึงดูดความสนใจของฉัน
‘นกฮูกสีเขียวอาเวียร์คือนกฮูกของผอ.กู๊ดสกี้ใช่มั้ย? แล้วเธอสื่อสารกับเขาได้อย่างไร?’ ฉันถามซิลวีแต่เธอก็ไม่รู้จริงๆว่าทำไมเธอถึงทำได้เหมือนกัน
“เฮ้เอมิลี่ฉันต้องตรงไปที่ห้องสมุดฉันคงงดมื้อเที่ยงไป ไปโดยไม่มีฉันเลยนะ!” ฉันโบกมือให้เพื่อน
“นายอยากให้ฉันไปกับนายด้วยไหม?” เธอมองมาที่ฉันแต่ฉันก็ส่ายหัว
"ทุกอย่างปกติดี ไปหาอาไลจาห์ที! เขาคงจะเหงาแน่ถ้าหากฉันไม่อยู่ที่นั่น” ฉันยิ้มให้เธอก่อนจะวิ่งไปทางห้องสมุด / ห้องฝึกอบรม
“สวัสดีตอนบ่ายค่ะคุณเลย์วิน” โคลอี้ทักทายฉันด้วยรอยยิ้มอย่างมืออาชีพและโค้งคำนับก่อนจะพาฉันไปที่ประตูหลัง
“ยินดีที่ได้พบคุณอีกครั้งเช่นกันนะโคลอี้” ฉันยิ้มตอบและเดินตามหลังเธอโดยที่ซิลวีกระดิกหางอยู่บนศีรษะ
หลังจากผ่านชายที่น่ากลัวไปแล้วฉันก็เดินลงไปชั้นล่างโดยไม่ต้องให้โคลอี้ช่วยเหลือในครั้งนี้ หวังว่าอาไลจาห์จะไม่เบื่อที่จะอยู่กับเอมิลี่ใช่ไหมซิลวี?
“คยู ~” ‘เขาจะไม่เป็นไร!’ ความผูกพันของฉันทำให้ฉันมั่นใจ
เมื่อไปถึงห้องของฉัน ฉันวางฝ่ามือขวาไว้กับประตูบานยักษ์ที่เย็นและมีแสงสว่างจ้าทักทายฉันอีกครั้ง
“แบร์!” เทสเซียกระโดดออกมาจากด้านข้างของประตูพร้อมกับยื่นมือออกไป
“เฮ้ว่าไงเทส” ฉันตอบแบบสบายๆ
“อ๊ะ…นายไม่ตกใจเลยหรอ ไม่สนุกเลย” เธอบ่นขณะจับซิลวี่ที่กระโดดลงจากหัวฉัน
“เธอคงจะต้องพยายามให้มากกว่านั้น เอาละเรามาเริ่มกันเลยดีกว่า” ฉันพาเธอไปตรงกลางห้องฝึก มันน่าทึ่งมากที่อากาศในห้องนี้หนาแน่นแค่ไหนเมื่อเทียบกับข้างนอก แม้แต่ความจริงที่ว่ามันมีหญ้าและน้ำตกก็ทำให้ฉันรู้สึกกลัวทุกครั้งที่เข้ามา
“ช่วงนี้ร่างกายของคุณรู้สึกเป็นอย่างไรบ้าง? คุณยังคงได้รับอาการปฏิเสธจากเจตจำนงของสัตว์มานาอยู่หรือไม่?” ฉันถามในขณะที่เทสนั่งอยู่ใกล้กับบ่อน้ำ
“ฉันไม่รู้สึกอะไรเลยตั้งแต่ครั้งสุดท้ายที่เราอยู่ที่นี่” เธอตอบแต่หลังจากนั้นก็เงียบไป
เทสมองผ่านไหล่ของเธอและจ้องมาที่ฉันผ่านขนตายาวสีเทาของเธอ “นี้...อาร์ต?”
“หืม?”
"ฉันขอโทษนะ"
"ขอโทษเรื่องอะไร?"
“ก็…เมื่อเทียบกับนายแล้วฉันชอบใช้แต่อารมณ์และฉันก็รู้สึกเหมือนว่านายต้องรู้สึกเหนือยแน่ๆที่ต้องทำตามเรื่องเห็นแก่ตัวของฉัน” เทสก้มหน้าลงขณะที่เธอพูดสิ่งนี้
“อ๊าคุณก็รู้นิ” ฉันยิ้มเยาะพร้อมกับได้รับรางวัลจากเธอเป็นการตบเข้าที่แขนของฉัน
“เรารู้จักกันมานานแค่ไหนแล้วเทส? ณ จุดนี้คุณเชื่อได้เลยว่าคุณได้เห็นทุกๆด้านของฉันแล้วอย่างแน่นอนแม้แต่ด้านที่ฉันอยากให้รู้ก็ตาม แม้ว่าคุณจะรู้อยู่แล้วแต่การที่คุณยอมรับฉันได้และอดทนกับฉัน ฉันก็รู้สึกขอบคุณมากพอแล้ว อย่าคิดว่าสิ่งที่ฉันกำลังทำให้คุณอยู่นั้นเป็นหน้าที่” ฉันรวบผมของเจ้าหญิงที่กำลังรู้สึกหดหู่ใจและเริ่มการดูดซึมในทันที
แกนมานาของเทสมาไกลมากแล้ว ในวัยของเธอการเป็นนักร่ายเวทย์ระดับสีส้มถือว่าเป็นระดับของอัจฉริยะ แม้ว่าเธอจะไม่สามารถปรับแต่งแกนมานาของเธอได้จนกว่าการดูดซึมจะสิ้นสุดลง แต่ไม่น่าจะส่งผลกระทบต่อเธอมากจนเกินไป ในขณะที่การดูดซึมของฉันใช้เวลาหลายปีฉันประเมินว่าด้วยความช่วยเหลือของฉันมันน่าจะใช้เวลาอีกแค่สองสามสัปดาห์กว่าเธอจะกลมกลืนกับเจตจำนงของผู้พิทักษ์เอลเดอร์วู้ดได้อย่างสมบูรณ์
“วันนี้เราพอแค่นี่เถอะ” ฉันตบหลังเทสเพื่อส่งสัญญาณว่าเราเสร็จแล้ว
“ขอบคุณนะ” เทสยิ้มอย่างเขินๆให้ฉันขณะที่เราทั้งสองนั่งอยู่บนพื้นหญ้า เสียงเดียวที่ได้ยินคือเสียงของน้ำตกและเสียงหายใจที่แผ่วเบาของซิลวี
“ฉัน - ฉันรู้ว่านายขอเวลาฉัน แต่…นายคิดว่าถ้าฉันจะขอจับมือนายในตอนนี้จะได้ไหม? แค่สักแปบหนึง? ถ้าไม่ได้ก็ไม่เป็นไรฉันจะไม่โกรธ” เทสหลบสายตาของเธอเพื่อหลีกเลี่ยงสายตาของฉัน ในขณะที่ผมหน้าม้าสามารถปกปิดใบหน้าของเธอได้แต่มันก็ไม่สามารถซ่อนหูแดงๆของเธอที่โผล่ออกมาได้
ฉันจับมือขวาของเทสด้วยมือซ้ายและบีบเบาๆ ในขณะที่นิ้วของเราไม่ได้ประสานกันแน่น ความอบอุ่นจากมือของเธอแผ่ซ่านมาที่ฉัน
“แบบนี้โอเคไหม?” ฉันพยายามมองหน้าเทสแต่เธอก็หันหน้าหนีอย่างรวดเร็ว ฉันอดไม่ได้ที่จะยิ้มอย่างช่วยไม่ได้เมื่อเธอพยักหน้าตอบรับ
เวลาเพียงสองสามวินาทีแต่กลับดูเหมือนจะช้าลงเมื่อเรานั่งใกล้ๆกันและจับมือกัน มันทำให้ฉันรู้สึกทึ่งที่การกระทำง่ายๆเช่นนี้สามารถทำให้ฉันรู้สึกสงบได้