บทที่ 225 หม้อไฟและการร้องเพลง
เอลฟ์ป่าหลายคนกำลังตรวจสอบสถานที่ที่ปีศาจและผู้เล่นสู้รบกัน
“มันเหม็นกลิ่นกำมะถันและมีกลิ่นนรกจาง ๆ บนพืชที่ได้รับผลกระทบ ผู้พิทักษ์ดวงจันทร์ที่ไปตรวจสอบตราประทับพูดว่าอะไรบ้าง” เอลฟ์ป่าผมเขียวถามเอลฟ์ป่าที่รับผิดชอบในการติดต่อกับเอลฟ์ตนอื่น ๆ หลังจากที่เขาตรวจสอบที่เกิดเหตุ
เอลฟ์ป่ารับไอริสมาคอว์ที่ร่อนลงมาบนไหล่เขาและฟังรายงานของมันก่อนจะตอบว่า “ถ้ำที่นำไปสู่อาร์คานัมที่ปีศาจถูกผนึกอยู่ได้พังทลายลง แต่เมื่อพิจารณาจากอัญมณีที่อยู่รอบ ๆ ตราประทับ มันแตกแน่นอน”
“งั้นมนุษย์เหล่านั้นก็ไม่ได้โกหก พวกเขาต่อสู้กับปีศาจที่หลบหนีออกมาจริง ๆ…” เอลฟ์ผมเขียวพึมพำพร้อมกับขมวดคิ้ว
“จริง ๆ แค่พื้นที่ตรงนี้เพียงอย่างเดียวก็ยืนยันได้แล้ว” เอลฟ์ป่าอีกคนยักไหล่
พื้นที่โล่งขนาดใหญ่ปรากฏขึ้นกลางป่าทึบต้นไม้และพืชพันธุ์ถูกทำลายลงด้วยพลังมหาศาล เมื่อมองจากด้านบน มันก็ดูเหมือนกับหัวล้านของคน ๆ หนึ่งที่มีผมรกครึ้มขึ้นรอบ ๆ
ไม่ยากที่จะสังเกตเห็นจากร่องรอยต่าง ๆ ว่าการต่อสู้ที่เกิดขึ้นที่นี่นั้นน่าสยดสยองเพียงใด
สิ่งเดียวที่ทำให้เอลฟ์ป่างงงวยก็คือ เหตุใดจึงไม่มีร่างหรือเลือดแม้แต่หยดเดียวอยู่ที่นี่ทั้ง ๆ ที่มีการต่อสู้รุนแรงเกิดขึ้น
“ครั้งสุดท้ายที่ข้าออกจากทริเนียคือเมื่อประมาณ 300 ปีก่อน มนุษย์ใช้เพียงอาวุธและแทบจะไม่มีการใช้เวทมนตร์หรือศาสตร์ศักดิ์สิทธิ์เลย…”
เอลฟ์ผมเขียวกำลังถอนหายอย่างเหลือเชื่อ “300 ปี พวกเขาก้าวหน้าขึ้นอย่างน่ากลัว…”
ความจริงพัฒนาด้านวิทยาศาสตร์ทั้งหมดช้าลงมากในโลกที่ปกครองโดยศาสนา
ในช่วง 300 ปีที่ผ่านมา ไม่ต้องพูดถึงเวทมนตร์หรือศาสตร์ศักดิ์สิทธิ์ พวกเขาเกือบทั้งหมดยังพึ่งแต่อาวุธเย็นกันอยู่เลย
แน่นอนว่าศาสตร์ศักดิ์สิทธิ์และเวทมนต์จะได้รับการปรับปรุงตามความก้าวหน้าของยุคสมัย และศาสนจักรที่มีอิทธิพลบางแห่งซึ่งมีเทพเจ้าที่แข็งแกร่งก็เชียวชาญการใช้ศาสตร์ศักดิ์สิทธิ์ที่ทรงพลัง แต่เมื่อเทียบกับ 300 ปีที่แล้ว น่าเสียดายที่ไม่มีความก้าวหน้าอะไรที่สำคัญ
“ก็อย่างที่ข้าเคยบอกไป มนุษย์เหล่านั้นคือวีรบุรุษ พวกเขาช่วยเราจากการโจมตีของปีศาจและยังพาเซลีนกลับมายังทริเนีย” เอลฟ์ยักไหล่ขณะพูด “ไม่ว่าเอลฟ์ตนอื่นจะคิดอย่างไร แต่ข้าจะไม่เลือกปฏิบัติกับพวกเขา”
“วีรบุรุษ? ข้าไม่คิดเลยว่าวันหนึ่งข้าต้องเรียกมนุษย์ว่าวีรบุรุษของเรา...”
เมื่อ 300 ปีก่อนเขาได้ปลอมตัวเป็นมนุษย์ และได้สัมผัสกับความชั่วร้ายในสังคมของมนุษย์ เอลฟ์ผมเขียวรู้สึกแย่
ไม่ใช่ว่าเขามีอคติกับมนุษย์ทุกคน แต่เขามองเห็นความเลวทรามของมนุษย์อย่างแท้จริงในช่วงเวลาที่เขาอยู่ท่ามกลางมนุษย์ มนุษย์มักเลือกที่จะทำแต่เรื่องที่เป็นประโยชน์กับตัวเองเมื่อใดก็ตามที่พวกเขาต้องเลือก โดยไม่คำนึงว่าสิ่งที่พวกเขาเลือกจะทำร้ายหรือแม้กระทั่งฆ่าผู้อื่นอย่างไร
ในความเป็นจริงนี่ไม่ใช่สถานการณ์ที่หายาก อย่างไรก็ตามแม้จะอยู่คนละโลก แต่ความเห็นแก่ตัวก็ยังคงเป็นส่วนหนึ่งของ DNA สิ่งมีชีวิตทุกชนิด สิ่งมีชีวิตที่ไม่เห็นแก่ตัว ไม่มีวันอยู่รอด นับประสาอะไรกับการสร้างเผ่าพันธ์หรือสังคม
แม้แต่เอลฟ์ป่าที่ให้ความสำคัญกับคนในเผ่าพันธุ์ ก็ยังเป็นพวกเห็นแก่ตัวที่ยอดเยี่ยม ความแตกต่างเพียงอย่างเดียวคือพวกเขามีระบบนิเวศคล้ายกับแมลงเช่นผึ้งและมด และ 'ตัวตน' ของพวกเขาส่วนใหญ่หมายถึงทั้งเผ่า ไม่ใช่ตัวตนในฐานะปัจเจกบุคคล
ตามธรรมชาติของมนุษย์ โดยพื้นฐานแล้วถูกนิยามว่าชั่วร้าย แต่ถึงกระนั้นก็เป็นเพราะสภาพความเป็นอยู่ที่ยากลำบาก และต้องดิ้นรนเอาชีวิตรอด นั่นหมายความว่าด้านที่ดีงามของของมนุษย์จะถูกระงับไว้ในส่วนลึกของจิตใจ แต่หลังจากที่พวกเขาแก้ไขความต้องการขั้นพื้นฐานได้แล้ว และมีความมั่นใจว่าจะสามารถเมตตาผู้อื่นได้ มนุษย์ก็จะค่อย ๆ ดีขึ้น
“การตรวจสอบที่นี่ใกล้เสร็จแล้ว จากนี้พวกเจ้าวางแผนจะทำอะไรต่อ” เอลฟ์ป่าที่ยังคงมีไอริสมาคอว์เกาะอยู่บนไหล่ถามเอลฟ์อีก 2 ตน
“ข้าอาจจะไปพบมนุษย์ที่เอาชนะปีศาจได้” เอลฟ์อีกตนตอบ “แม้ข้าจะรู้ว่ามีมนุษย์มาที่ทริเนีย แต่ข้าไม่เคยชอบพวกมุนษย์ และด้วยบรรยากาศในเวลานั้นในทริเนีย ข้าจึงไม่เคยแม้แต่จะเห็นพวกเขาเลย”
“ถ้าอย่างนั้นเจ้าพลาดความสนุกไปแล้ว ข้าได้ยินมาว่า ‘งานเลี้ยง’ ของพวกเขาน่าสนใจเป็นพิเศษ” เอลฟ์พูดพร้อมกับเล่นกับไอริสมาคอว์บนไหล่เขา
"เจ้าเคยเข้าร่วมรึ" เอลฟ์อีกตนถามด้วยความอยากรู้อยากเห็น
“ไม่ ข้าได้ยินเรื่องนี้จากเจมี่”
“เอาล่ะหยุดคุยโม้ รอจนกว่าเราจะกลับไปที่ทริเนีย” เอลฟ์ผมเขียวหยุดการสนทนาของเอลฟ์อีก 2 ตนและสั่งว่า “ค่อยไปดูด้วยตาตัวเอง ว่าวีรบุรุษเหล่านั้นกำลังทำอะไรอยู่”
☆
ในเวลานั้น 'วีรบุรุษ' ที่เอลฟ์ผมสีเขียวพูดถึงกำลังนั่งล้อมรอบหม้อไฟ
มันไม่ใช่งานเลี้ยงปิ้งย่างอย่างแน่นอน เพราะมันเป็นเพียงงานเลี้ยงเล็ก ๆ ที่จะจัดขึ้นเมื่อใดก็ตามที่พวกเขาเอาชนะบอสที่ทรงพลังได้
แม้ว่าเลเวลของปีศาจครั้งนี้จะสูงกว่าเมื่อเทียบกับยักษ์แห้งแล้ง แต่เมื่อพิจารณาจากเลเวลของผู้เล่นที่เพิ่มขึ้นด้วย พวกเขาก็กลัวว่าในแง่ของความยากเพียงอย่างเดียว มันยังด้อยกว่ายักษ์ที่ทำให้พวกเขาทำอะไรไม่ถูกในตอนนั้น
ถึงกระนั้นหลังจากที่เกือบจะตายหมู่ไป 2 ครั้งซ้อน ผู้เล่นก็ตัดสินใจที่จะให้รางวัลตัวเองด้วยงานเลี้ยงเล็ก
ผู้เล่นนำเนื้อสัตว์มาจากที่อื่น ในขณะที่ผักและผลไม้ได้รับการสนับสนุนจากเอลฟ์ป่า
แต่เดิมหม้อไฟไม่ได้มีอยู่ในโลกใบนี้ แต่ซีเว่ยก็ได้วางมันไว้ในร้านอาหารของระบบด้วยความอยากรู้อยากเห็น ซึ่งทำให้ธุรกิจของที่นั่นเติบโตขึ้นทันที และบดบังโรงเหล้ากาต้มน้ำเหล็กโดยตรง…ถ้าไม่ใช่เพราะเจ้าของโรงเหล้าอย่างไอรอนคิดได้อย่างรวดเร็วว่าอาหารประเภทนี้มีวิธีการทำอย่างไร (หากไม่เพราะสามารถซื้อหม้อได้แค่ที่ร้านอาหารของระบบเท่านั้น ร้านคงจะร้างไปแล้ว)
ฤดูหนาวผ่านไปแล้ว แต่อากาศยังไม่อบอุ่น หากเป็นบนโลก ช่วงต้นฤดูใบไม้ผลินี่แหละเป็นเวลาที่เหมาะสมที่สุดสำหรับหม้อไฟ
ดังนั้นผู้เล่นจึงมารวมตัวกันรอบหม้อไฟ ร้องเพลงเต้นรำ หรือวิ่งไปที่มุมหนึ่งเพื่อพูดคุยเรื่องตลก แม้ว่าจะครื้นเครงน้อยกว่างานเลี้ยงทางการ แต่ก็คึกคัก
แถมครั้งนี้ความพยายามของผู้เล่นก็ไม่สูญเปล่า เอลฟ์ป่ายอมรับในความสามารถของผู้เล่นหลังจากที่เซลีนฟื้นขึ้นมา และทัศนคติส่วนใหญ่ที่พวกเขามีต่อมนุษย์ก็เปลี่ยนไปในทางที่ดีขึ้น ความจริงเอลฟ์บางคนได้เข้าร่วมงานเลี้ยงของผู้เล่นด้วยแรงยุยงของเจมี่
งานเลี้ยงเต็มไปด้วยความสุขและสามัคคี...
จนกระทั่งมีโพสต์ในฟอรัมโผล่มาขัดจังหวะช่วงเวลาแห่งความสุขของผู้เล่นทุกคน
[แองโกร่า: @ทุกคน ข้าต้องการความช่วยเหลือจากพวกเจ้า]
----------------------------------------------------------------------
เพจ FC-Translate