ตอนที่ 68 - หนึ่งปีผ่านไปอย่างรวดเร็ว
ตอนที่ 69 - หนึ่งปีผ่านไปอย่างรวดเร็ว
บนยอดเขาเสียงสวดคัมภีร์ยังดังขึ้นอย่างไม่รู้จักจบสิ้น น่าหลงใหลอย่างแท้จริง
สือฮ่าวได้รับการฝึกฝนอย่างเต็มทั้งทางด้านร่างกายและจิตใจจนเกิดความกลมกลืนของทั้งสองอย่าง ทำให้ความเข้าใจเกี่ยวกับเต๋าของเขาลึกล้ำเกินกว่าทุกคนที่อยู่ในรุ่นเดียวกัน เขาจมอยู่ภายใต้วิธีการบ่มเพาะแบบใหม่ที่ได้รับมา
เขาต้องการแข็งแกร่งขึ้นให้เร็วที่สุดทั้งเพื่อตัวเองและเพื่อผู้อื่น!
เป็นเพราะเมื่อเข้าสู่แดนรกร้างเขาจะต้องพบกับอันตรายมากมายที่อาจทำให้เสียชีวิตอย่างง่ายๆ หากไม่มีความแข็งแกร่งมากพอพูดในแง่ร้ายหน่อยก็จะเทียบเท่ากับการมุ่งสู่ขุมนรก
นั่นคือเหตุผลที่สือฮ่าวต้องการที่จะแข็งแกร่งขึ้นและต้องการยึดเวลานี้ให้ยาวนานที่สุดเพื่อทำให้ตัวเองมีพลังมากขึ้นเรื่อยกว่านี้อีกสักนิดก็ยังดี
แต่ในความเป็นจริงเขาไม่มีเวลาให้เตรียมตัวมากนัก เขาได้ตัดสินใจแล้วที่จะมุ่งหน้าไปยังชายแดนรกร้างเพื่อขัดเกลาตัวเองถึงจะมีอันตรายมากมายแต่ก็มีโชควาสนาไม่น้อยเช่นกัน!
เมืองโบราณแห่งนั้นเป็นที่ที่สือฮ่าวอยากไปมากที่สุด เขาต้องการดูด้วยตาของตัวเองว่ายังมีใครในเจ็ดราชาที่ยังมีชีวิตอยู่ หรือพวกเขาร่วงหล่นไปหมดสิ้นแล้ว?
นอกเหนือจากนี้สิ่งที่สำคัญที่สุดคือเขาต้องการเผชิญหน้ากับศัตรูต่างมิติอย่างแท้จริง เขาต้องการเผชิญหน้ากับบุคคลสำคัญของตระกูลจักรพรรดิยิ่งต้องการต่อสู้กับผู้ที่แข็งแกร่งที่สุดเท่าที่เขาสามารถสู้ได้เพื่อทำความเข้าใจเพิ่มเติมเกี่ยวกับศัตรู
การเผชิญหน้ากันในสนามรบคือการลับคมที่ดีที่สุด!
คัมภีร์อมตะเล่มนั้นยังคงทำให้ผู้คนอิจฉาอย่างถึงที่สุด การแสดงผลของมันชัดเจนเกินไป ผิวของสือฮ่าวเปล่งประกายลึกลับราวกับว่าเขาเดินออกมาจากบ่อชุบทอง
นี่เป็นการดูดซับพลังเซียนจากฟ้าดินตลอดเวลาเข้ามาทำให้ร่างกายแข็งแกร่งขึ้นอย่างช้าๆ! หากเป็นเวลาไม่นานจะไม่เห็นความแตกต่างมากนักแต่สำหรับอัจฉริยะแล้ว ถ้าโชคชะตาไม่เลวร้ายเกินไปจนประสบกับความตายระหว่างทาง ย่อมต้องมีอายุยืนยาวอย่างไม่มีที่สิ้นสุดอาจจะหลายหมื่นปีถึงหลายแสนปี หากเป็นเช่นนั้นต่อให้เขาไม่อยากเป็นเซียนก็ทำไม่ได้แล้ว
นี่คือรัศมีแห่งเซียนที่แท้จริง!
ตอนนี้พลังนี้กำลังเติบโตในร่างกายของสือฮ่าว อย่างไรก็ตามมันไม่ได้กลายเป็นดอกไม้เต๋าดอกที่สี่ แต่หยั่งรากลงในกายเนื้อของเขา
ดอกไม้เต๋าสามดอกบนศีรษะของสือฮ่าวสูญสลายไปแล้ว มันกลายเป็นริ้วแสงแทรกซึมลงไปในกระดูกของเขาเสริมความแข็งแกร่งให้ร่างกายอีกชั้นหนึ่ง
สิ่งนี้ทำให้ผู้คนเกิดความเข้าใจผิดว่าทั้งร่างของสือฮ่าวกลายเป็นร่างเซียนที่แท้จริงไปแล้ว!
แต่ความจริงก็ไม่ได้แตกต่างเท่าไหร่นัก!
ก่อนหน้านี้สือฮ่าวสะสมพลังเซียนจากภายนอกมามากพอแล้ว หลังจากที่พลังเซียนทั้งสามเส้นควบแน่นสำเร็จ มันก็เทียบเท่ากับการเก็บเกี่ยวเมล็ดพันธุ์ที่มีค่าที่สุด ตอนนี้ถึงเวลาที่เมล็ดพันธุ์จะเกิดใหม่แล้ว
ตอนนี้กายเนื้อของเขาเป็นเหมือนกับดิน ส่วนพลังเซียนที่ถูกดูดซับจากภายนอกก็คือน้ำและปุ๋ยที่ช่วยให้เมล็ดพันธุ์เจริญงอกงาม
หลังจากที่พลังเซียนทั้งสามเส้นกลายเป็นริ้วแสงพวกมันก็ซ่อนตัวอยู่ในเนื้อหนังของเขาทุกตารางนิ้ว สือฮ่าวได้ปฏิบัติทุกอย่างตามวิธีการบ่มเพาะที่ถูกบันทึกไว้ในคัมภีร์โบราณอย่างสมบูรณ์แบบ
ฮ่อง!
ราวกับว่าประตูสวรรค์ถูกเปิดออก แสงศักดิ์สิทธิ์สีทองถูกปลดปล่อยออกมาจากร่างของสือฮ่าว!
กระดูกในร่างกายของเขาทุกชิ้นสั่นสะเทือนมากขึ้นเรื่อยๆ ราวกับทองคำเซียนกำลังปะทะกัน ในขณะเดียวกันเลือดที่ไหลอยู่ในร่างกายของเขาก็คุ้มคลั่งเหมือนทะเลคำราม
นี่เป็นเพียงจุดเริ่มต้นของความรู้แจ้งเต๋า ซึ่งเป็นเพียงการบ่มเพาะพลังเซียนในช่วงเวลาอันสั้น แต่เขาก็ยังได้รับการเปลี่ยนแปลงที่น่าตกใจเช่นนี้
"นั่นคืออะไร?" ทุกคนตกตะลึง เป็นเพราะฮวงได้ฝึกฝนมาจนถึงระดับที่ร่างกายไม่มีสิ่งสกปรกอีกต่อไป
“เป็นกระดูกเซียนของเขาถูกสร้างขึ้นมาใหม่ กระดูกเก่าในร่างกายเขากำลังถูกขับออกมา!” ผู้อาวุโสบนหน้าผากล่าวว่า
ในขณะที่พูดสิ่งเหล่านี้เขารู้สึกตื่นตระหนกอย่างมากไม่เคยคาดหวังว่าคัมภีร์อมตะเล่มนี้จะมีความศักดิ์สิทธิ์ถึงขนาดนี้จริงๆ
ทุกคนต่างเห็นร่างสือฮ่าวเปียกโชกไปด้วยเหงื่อ นี่เป็นกระบวนการที่มีความเจ็บปวดอย่างมากมายมหาศาลแน่นอน แต่มันก็เป็นการรู้แจ้งเต๋าของตัวเองอีกด้วย
“คัมภีร์อมตะเล่มนี้จะไม่ท้าทายสวรรค์ไปหน่อยหรือ?” หลายคนส่งเสียงร้องอย่างตื่นตระหนก การเปลี่ยนแปลงของสือฮ่าวน่าอัศจรรย์เกินไป?
“นี่ไม่ใช่ผลจากคัมภีร์เล่มนั้นเพียงอย่างเดียว แต่พลังเซียนสามเส้นของเขามันมีความสมบูรณ์มาตั้งนานแล้ว!” ผู้อาวุโสกล่าวพร้อมกับถอนหายใจ
ทุกคนปากค้าง เมื่อพวกเขาเห็นการเปลี่ยนแปลงของสือฮ่าว เขากำลังมุ่งหน้าไปสู่ความสมบูรณ์แบบ ไปสู่สิ่งที่เรียกว่าร่างกายเซียนที่แท้จริง!
“แทนที่จะรู้สึกอิจฉาคนอื่นมันจะดีกว่าหากเดินไปในเส้นทางของตัวเอง!”ราชันย์สวรรค์น้อยกล่าว เขานั่งลงบนยอดเขาแล้วเริ่มบ่มเพาะด้วยวิธีการของเขาเอง
ครู่ต่อมาภูเขาทั้งลูกก็สว่างไสวด้วยคลื่นหมอกที่ลอยขึ้นสู่ท้องฟ้า เขาถูกล้อมรอบไปด้วยรัศมีแห่งเซียน กลายเป็นเทพในหมอกแห่งความโกลาหล!
ในอีกด้านหนึ่งจินซานก็หลับตาลง เขาไม่ได้ให้ความสนใจในตัวสือฮ่าวมานานแล้ว เขาฝึกฝนปรับสภาพร่างกายและจิตใจของตัวเองเท่านั้นจนทำให้ความรู้แจ้งในเต๋าอันยิ่งใหญ่ของเขาพัฒนาไปอย่างมาก
จากนั้นผู้บ่มเพาะรุ่นเยาว์หลายคนเริ่มทำสมาธิ พวกเขายืมเส้นโลหิตบรรพบุรุษโลกเริ่มบ่มเพาะและทำความเข้าใจในญาณวิเศษของตัวเอง
สามวันผ่านไปในพริบตา ผู้อาวุโสบนหน้าผาเริ่มบรรยายอีกครั้ง
หลายคนลืมตาตื่นบนยอดเขาของตัวเอง แต่ยังมีอีกหลายคนที่ยังจมอยู่ในสมาธิ เส้นโลหิตบรรพบุรุษโลกนั้นลึกลับอย่างยิ่ง การดูดซับเข้าไปตรงๆมันทำให้เกิดการรู้แจ้งได้ง่ายกว่าปกติ
สือฮ่าวตื่นขึ้นมาแล้ว นี่เป็นครั้งแรกที่เขาได้สัมผัสกับวิธีบ่มเพาะแบบใหม่นี้ เขายังไม่เข้าใจมันมากนัก
“ฮ่าๆๆ คัมภีร์เล่มนี้อัศจรรย์จริงๆหรือ? มีการบันทึกอะไรไว้บ้าง” กระต่ายน้อยไม่ได้สงวนท่าทีไว้ แต่เลือกจะวิ่งเข้าไปสอบถามตรงๆ
สือฮ่าวไม่ได้วางแผนที่จะปกปิดเนื้อหาในคัมภีร์นี้ไว้เขากล่าวว่า“พวกเจ้าทุกคนสามารถศึกษาได้เช่นกัน”
บรรดาผู้คนจากสามพันแคว้นที่เขาสนิทด้วยต่างตกใจเมื่อได้ยินเรื่องนี้ นี่เป็นสมบัติล้ำค่าโดยปกติแล้วไม่มีผู้ใดจะยอมแบ่งปันออกมาง่ายๆ?
“ยุคแห่งความมืดครั้งยิ่งใหญ่กำลังจะมาถึง ความแข็งแกร่งที่เพิ่มขึ้นอีกเล็กน้อยย่อมหมายถึงโอกาสรอดชีวิตมากขึ้นอีกส่วน ข้าหวังว่าหลังจากเรื่องราวทุกอย่างจบลงพวกเจ้าจะยังคงอยู่ที่นี่ ยิ่งไปกว่านั้นสิ่งที่ทุกคนศึกษามานั้นก็แตกต่างกันผลลัพธ์ที่ได้จากคัมภีร์ก็ย่อมแตกต่างกันด้วย”
อย่างที่เขาพูดทุกคนที่อยู่ที่นี่ต่างศึกษาญาณวิเศษที่แตกต่างกัน 'เมล็ดพันธุ์' ที่ทุกคนมีก็ไม่มีส่วนเกี่ยวข้องกัน เหมือนกับการปลูกต้นไม้คนละชนิดเมื่อมันเจริญเติบโตผลที่ได้ย่อมแตกต่างกัน
ชิงยี่, ฉางกงเอี๋ยน และคนอื่น ๆ ล้วนต้องการศึกษาคัมภีร์นี้เป็นอย่างมากและแม้ว่าเฉาอวี่เซิ่งที่มีไขมันอยู่ไม่น้อยจะได้รับการฝึกฝนตามวิธีการของโลกในปัจจุบัน แต่เขาก็ยังต้องการศึกษามันอยู่เช่นเดียวกัน
“มาฟังคำบรรยายของผู้อาวุโสก่อน มันจะทำให้เรามีความเข้าใจสิ่งต่างๆเกี่ยวกับศัตรูมากยิ่งขึ้น”
นอกเหนือจากคนที่ยังอยู่ในสมาธิ ผู้ฝึกตนรุ่นเยาว์ต่างมาชุมนุมกันที่ใต้หน้าผารอฟังคำบรรยายจากผู้อาวุโส
“สงครามเซียนโบราณผู้อมตะทั้งหลายใครเป็นคนสังหารพวกเขา? ตัวอย่างเช่นมดเขาสวรรค์ผู้ยิ่งใหญ่เขาถูกแทงโดยหอกทองคำของบรรพบุรุษโบราณของตระกูลอันหลานจนถึงแก่ความตาย?”
...
ผู้แข็งแกร่งรุ่นเยาว์ที่ต้องการมุ่งหน้าไปสู่ชายแดนรกร้าง พวกเขาอยากทราบเกี่ยวกับความแข็งแกร่งของศัตรูให้มากที่สุด
“ยิ่งไปกว่านั้นราชาอมตะ 2 คนที่เสียชีวิตจนร่างถูกห่อกลับมาด้วยธงสงครามพวกเขาเป็นใครบ้าง และใครเป็นผู้สังหารพวกเขา?” ราชันสิบสมัยถาม
“ราชาอมตะไร้สิ้นสุดและราชาอมตะหกดาราอวตาร” ผู้อาวุโสถอนหายใจ
“พวกเขาตายภายใต้มือของใคร” มหาโสดาฉวีโต้วถามด้วยความสงสัยเรื่องนี้ติดอยู่ในใจของพวกเขามานานแล้วแต่ไม่มีใครสามารถให้คำตอบพวกเขาได้
“สาเหตุการตายของราชาอมตะทั้งสองนั้นซับซ้อนมาก พวกเขาต่อสู้กับศัตรูจำนวนมากเกินไปไม่มีผู้ใดสามารถขึ้นต่อสู้แทนพวกเขาได้ ในที่สุดพวกเขาก็ล้มลงจากการสิ้นเรี่ยวแรง ผู้ที่สังหารราชาอมตะไร้สิ้นสุดยังคงเป็นปริศนามาจนถึงปัจจุบัน แต่สำหรับราชาอมตะหกดาราอวตาร การโจมตีครั้งสุดท้ายคือผู้ที่มาจากตระกูลเทพแมลงกู่ เป็นหนึ่งในผู้ที่แข็งแกร่งที่สุดของฝ่ายตรงข้าม” ผู้อาวุโสตอบ
“ตระกูลเทพแมลงกู่?”
“ถูกต้องเป็นตระกูลที่น่ากลัวอย่างยิ่ง หากทุกคนมุ่งหน้าไปที่ชายแดนรกร้าง พวกเจ้าจะได้พบผู้แข็งแกร่งจากตระกูลนี้ไม่ช้าก็เร็ว จำนวนของพวกเขามีน้อยมาก แต่ความแข็งแกร่งนับว่าอยู่ลำดับต้นๆในโลกของศัตรู!” ผู้อาวุโสกล่าวด้วยเสียงที่เคร่งเครียดคลื่นแห่งความโกรธปรากฏในดวงตาของเขา
“เป็นไปได้อย่างไร! ตระกูลนี้ดูเหมือนจะมาจากสิบอสูรผู้ยิ่งใหญ่?” นักพรตซีกู้ถามด้วยความสับสน
“ถูกต้องแล้วพวกเขาเป็นหนึ่งในสิบอสูรผู้ยิ่งใหญ่ แต่กลับทรยศพวกเราเข้าร่วมกับศัตรู จนได้สถานะตระกูลเทพ!”
"อะไร? สิบอสูรผู้ยิ่งใหญ่ทรยศต่อพวกเดียวกัน?!” ทุกคนตกตะลึง
---
เวลาผ่านไปอย่างรวดเร็วในพริบตากำหนดหนึ่งปีก็มาถึงแล้ว ใกล้ถึงเวลาที่ตกลงกันแล้วคนที่ต้องการมุ่งหน้าไปยังชายแดนรกร้างกำลังจะเดินทาง
ในช่วงปีนี้ผู้ฝึกตนรุ่นเยาว์ล้วนได้รับการฝึกฝนด้วยความพยายามอย่างมากโดยยืมเส้นโลหิตบรรพบุรุษโลกมาขัดเกลาร่างกายบำรุงวิญญาณดั้งเดิมของพวกเขา พวกเขาทุกคนต่างมีรัศมีพลังอมตะห่อหุ้มร่างกายไว้
ในขณะเดียวกันความเข้าใจเกี่ยวกับศัตรูของพวกเขามีเพิ่มขึ้นอย่างมากมาย
“เหลือเวลาอีกไม่นานแล้วหากพวกเจ้ามีสิ่งใดที่ต้องการสอบถามก็อย่าได้ชักช้า!” ผู้เฒ่ากล่าว.
“ข้ารอไม่ไหวแล้ว! ขอเพียงให้ข้าได้สังหารศัตรูต่างมิติแก้แค้นให้ตระกูลมดเขาสวรรค์ข้าก็พอใจแล้ว!” มดน้อยสีทองกล่าว มันทนมาเป็นปีแล้ว!
ฉวีโต้ว, ราชันย์สวรรค์น้อย, จินซาน สือยี่ และคนอีกมากมายต่างมุ่งไปข้างหน้า เตรียมเข้าสู่ชายแดนรกร้าง
มีคนจำนวนไม่น้อยที่ต้องการมุ่งหน้าไปยังสนามรบชายแดนรกร้าง มันน่าประหลาดใจจริงๆ พวกเขาไม่ได้หวาดกลัวต่อความยากลำบากและอันตรายจากความตาย พวกเขาทุกคนต้องการที่จะลับคมตัวเองในช่วงเวลาที่มืดมนที่สุด!