ตอนที่ 13 - เหตุการณ์ฉุกเฉินที่ชายแดนรกร้าง
ตอนที่ 13 - เหตุการณ์ฉุกเฉินที่ชายแดนรกร้าง
ในขณะที่พายุใหญ่กำลังพัดไปทั่วทุกดินแดน ความวุ่นวายก็ปะทุขึ้นอย่างไรก็ตามกลุ่มอำนาจหลายกลุ่มในเก้าสวรรค์สิบพิภพยังไม่ทราบถึงเรื่องนี้
ที่พรมแดนที่อยู่ติดกับอีกฝั่งซึ่งเป็นกำแพงกั้นขนาดใหญ่ที่ยังคงปิดผนึกไว้อย่างหนาแน่นไม่มีใครทราบทราบว่าเกิดรอยร้าวขึ้นตั้งแต่เมื่อใด!
คำสั่งของตระกูลหวังถูกส่งไปทั่ว ทุกดินแดนสั่นสะเทือน!
เฉพาะครั้งนี้มันแตกต่างจากก่อนหน้า นี่ไม่ใช่การแสดงอำนาจของตระกูลหวัง
การต่อสู้ของผู้อาวุโสใหญ่กับเซียนอมตะหวังทำให้โลกต่างตกตะลึง
ชื่อของฮวงก็ยิ่งถูกส่งต่อไปยังทุกตระกูลดึงดูดความสนใจจากทุกด้านเตือนสาวกของพวกเขาอย่างเคร่งครัดว่าอย่าได้ยั่วยุ
ผลของการต่อสู้ครั้งนี้สามารถเห็นได้อย่างชัดเจน ตระกูลใหญ่ต่างๆล้วนแสดงท่าทีว่าพวกเขาจะไม่เป็นศัตรูกับสือฮ่าว พวกเขาทั้งหมดเห็นว่าผู้อาวุโสใหญ่มีทัศนคติแบบไหนต่อสถานการณ์นี้โดยรู้ว่าเขาจะไม่ยอมให้มีการยั่วยุใดๆเกิดขึ้น
“นี่เรื่องจริงเหรอ…” เฉาอวี้เซิงรู้สึกมึนงง เมื่อได้รับข่าวเขาก็อึ้งสงสัยเล็กน้อยว่านี่เป็นข่าวจริงหรือข่าวปลอม
เป็นเพราะความวุ่นวายในครั้งนี้มากเกินไป เพื่อผลประโยชน์ของฮวงผู้อาวุโสใหญ่ได้ต่อสู้กับตระกูลอมตะด้วยตัวคนเดียวด้วยขั้นพลังที่สูงส่งแข็งแกร่ง
หนุ่มสาวหลายคนเช็ดเหงื่อเย็นๆพวกเขาอดรู้สึกอิจฉาไม่ได้ ผู้ที่แข็งแกร่งที่สุดใน 9สวรรค์ 10 พิภพ เมิ่งเทียนเจิ้งแสดงจุดยืนปกป้องศิษย์ของเขาใครจะกล้ายั่วโมโห?
ด้วยปรมาจารย์ระดับนี้สามารถเดินผ่านเก้าสวรรค์สิบพิภพได้อย่างง่ายดาย ไม่ว่าจะไปที่ไหนก็ไม่มีที่ให้หลบซ่อน
“ ตระกูลหวังสมควรจะถูกจัดการซะบ้าง พวกเขาคงหลงคิดว่าพวกเขาเป็นเจ้าเหนือหัวของ เก้าสวรรค์สิบพิภพสามารถตัดสินชีวิตและความตายของผู้อื่นได้?
คราวนี้ผู้อาวุโสใหญ่จัดการพวกเขาลงไปมันเป็นเรื่องที่น่ายินดีจริงๆ!” มีคนแสดงความยินดีจำนวนไม่น้อย
หลายคนมาจากสำนักเทพสวรรค์
การสำรวจถ้ำเซียนอมตะใต้ดินสิ้นสุดลงแล้วผู้เชี่ยวชาญรุ่นเยาว์เหล่านั้นก็ออกมารวมถึงราชันย์สวรรค์อาทิตย์ม่วง, มหาโสดา, หลานเซียน, ซีกู้และคนอื่น ๆ
เมื่อหวังซีได้ยินเสียงวิพากษ์วิจารณ์ของทุกคนใบหน้าของนางก็แปรเปลี่ยนเล็กน้อย นางอยากจะออกไปจากที่นี่ทันที
เมื่อเทียบกันแล้วองค์หญิงเหยาเยว่มีความสุขมากกว่า เมื่อเห็นคู่แค้นต้องทนทุกข์ทรมาน ไม่มีอะไรที่ทำให้มีความสุขไปกว่านี้เพราะทั้งสองตระกูลเป็นศัตรูเก่า
พ่อขององค์หญิงเหยาเยว่คือซูหมิงซวน คราวนี้ตระกูลซูยืมธงสงครามโบราณอมตะให้กับผู้อาวุโสใหญ่สำนักเทพสวรรค์ เป็นการแสดงออกชัดเจนว่าสำนักเทพสวรรค์กับตระกูลราชวงศ์ร่วมรุกร่วมถอยด้วยกัน ผู้อาวุโสใหญ่เข้ามาในดินแดนบรรพบุรุษของตระกูลหวังด้วยพลังของผ้าห่อศพและแสดงให้เห็นถึงพลังสมบัติเซียนขั้นสูงสุดของตระกูลซูถือได้ว่าช่วยให้พวกเขามีหน้ามีตาไปด้วย
“เทพธิดาหวังซีไม่จำเป็นที่เจ้าต้องกังวล ด้วยความที่บรรพบุรุษของท่านเซียนอมตะหวังเป็นที่ทราบกันว่าเขามาถึงขึ้นเซียนอมตะได้ไม่มีทางที่เขาจะพ่ายแพ้ในศึกครั้งนี้” มีคนปลอบใจหวังซี
บรรดาคนจากสำนักปราชญ์เชื่อมั่นว่าจินซานกำลังจะออกจากการกักตัว เมื่อถึงเวลานั้นเขาอาจต่อสู้ขั้นสุดท้ายกับฮวง
จินซาน นับเป็นความภาคภูมิใจของศิษย์สำนักปราชญ์ไม่มีใครสามารถประเมินความแข็งแกร่งของเขาได้ ตั้งแต่เริ่มบ่มเพาะมา เขากวาดล้างทุกอย่างที่ขวางหน้า
แต่ถึงปากจะกล่าวอย่างเชื่อมั่นแต่ในใจลึกๆแล้วพวกเขายังคงรู้สึกหนักอึ้งอยู่บ้างเพราะ สือฮ่าวใช้ร่างกายเป็นเมล็ดพันธุ์ซึ่งเหนือกว่าคนรุ่นก่อนๆทั้งหมดเขาเป็นคนเดียวที่ประสบความสำเร็จ พรสวรรค์ของเขาน่ากลัวเกินไปแล้ว
“ฮวงฝึกฝนชิชาเซียนโบราณพี่ใหญ่จินซานฝึกฝนวิชาของโลกปัจจุบัน ส่วนใครจะแข็งแกร่งกว่าและใครอ่อนแอกว่าเราจะได้รู้หลังจากการต่อสู้ครั้งนี้”
“ยิ่งไปกว่านั้นข้าได้ยินมาว่าเขาเพิ่งฝึกฝนเท่านั้น ยังมีช่องว่างอีกมากให้ไขว่คว้าในบรรดาคนรุ่นใหม่แม้ว่าเขาจะไม่ติดอันดับ 1 แต่ก็ต้องติด 1 ใน 3 อย่างแน่นอน” ผู้คนจากสำนักปราชญ์ต่างให้เชื่อมั่นต่อจินซาน
“ทำไมเราไม่จัดวันให้พวกเขาประลองกันล่ะ? ข้าจะช่วยพวกเจ้านัดหมายฮวงให้ ที่พวกเจ้าต้องทำก็แค่เชิญจินซานออกมา?” องค์หญิงเหยาเยว่กล่าวพลางหัวเราะคิกคัก
คนของปราชญ์แกล้งมองข้ามคำพูดของนางไปทันที
จากที่ห่างไกลราชันย์สวรรค์อาทิตย์ม่วงก็เก็บตัวเงียบ ก่อนหน้านี้เขาเคยเป็นจุดความสนใจของทุกคน เป็นที่รู้กันว่าเป็นหนึ่งในผู้แข็งแกร่งที่ทรงพลังที่สุดในยุคนี้ แต่หลังจากการต่อสู้กับฮวงซึ่งเขาประสบกับความพ่ายแพ้ครั้งใหญ่เขาก็สูญเสียคุณสมบัติที่จะมุ่งสู่อันดับหนึ่ง
มหาโสดา , ซีกู้ และคนอื่น ๆยังคงดีกว่าแม้ว่าพวกเขาจะต่อสู้กลับสือฮ่าวอยู่ด้วย แต่ก็ไม่สามารถพูดได้เต็มปากว่าพ่ายแพ้ให้แก่ฮวง
“ เวลาไม่เช้าแล้ว?พวกเจ้าทุกคนยังคุยกันอย่างไม่สนใจระเบียบ พวกเจ้าควรสนใจเพิ่มระดับบ่มเพาะของตัวเองให้ได้มากที่สุดสิ่งมีชีวิตอีกฝั่งอาจข้ามมาเมื่อไหร่ก็ได้ ผู้อาวุโสจากสำนักปราชญ์สั่งสอนเสียงดัง
ในตอนนั้นเองลมสวรรค์พัดมาผู้อาวุโสใหญ่พาสือฮ่าวกลับมาแล้ว
ในความเป็นจริงพวกเขาควรจะกลับมาถึงเมื่อสองวันก่อน แต่พวกเขาหยุดพักเพื่อหลอมยาเสริมความแข็งแกร่งให้กับตำหนักม่วงของสือฮ่าว จำเป็นต้องใช้สมุนไพรเก่าแก่หลายประเภทเป็นส่วนผสมเสริม
น่าเสียดายที่พวกเขายังไม่สามารถรวบรวมทุกอย่างได้ครบ มียาศักดิ์สิทธิ์บางอย่างที่หายากเกินไปแม้แต่คนที่มีอำนาจอย่างผู้อาวุโสใหญ่ยังไม่สามารถเสาะหาได้
อย่างไรก็ไม่ต้องรีบเร่งมากนัก สมุนไพรตำหนักม่วงสามารถเสริมสร้างวิญญาณดั้งเดิมได้และมันก็มีผลเช่นเดิมไม่ว่าจะถูกนำมาใช้เมื่อใด ไม่นานหลังจากสือฮ่าวกลับมาถึง จากความเงียบสงบเพียงไม่นานมานี้กลายเป็นความวุ่นวายในทันที
“ผู้อาวุโสใหญ่!” หลายคนร้องเอะอะเดินขึ้นไปคำนับทักทาย
สือฮ่าวก็ถูกล้อมรอบเช่นกัน กระต่ายจันทราชางกงเหยียน เฟิงหวู่และคนอื่นๆต่างก็มีความสุขมาก หลังจากนี้สือฮ่าวแทบจะไม่ได้รับอันตรายใดๆอีกต่อไป ไม่มีใครกล้าทำร้ายเขาอย่างแน่นอน
“เฮ้เฮ้เฮ้พวกเจ้าทุกคนระวังหน่อย! หยุดตบไหล่เขาสักที! ต่อหน้าราชาองค์นี้พวกเจ้าควรทำตัวสงบเสงี่ยมหน่อย!” มดตัวน้อยบนไหล่ของสือฮ่าวร้องอย่างไม่พอใจและหลีกเลี่ยงมือขนาดใหญ่เหล่านั้น
สือฮ่าวหัวเราะไปด้วย ความปั่นป่วนที่เกิดขึ้นในครั้งนี้เป็นเรื่องใหญ่มากเขารู้สึกขอบคุณผู้อาวุโสใหญ่จากก้นบึ้งของหัวใจ
ตอนนี้จิตใจของเขาไม่ค่อยสงบนักเพราะเขามีเรื่องไม่เข้าใจ 2-3 ข้อ ด้วยความแข็งแกร่งที่ไม่มีใครเทียบได้ของเซียนอมตะหวังทำไมเขาถึงยอมประนีประนอมเช่นนี้?
ต้องเข้าใจว่าการต่อสู้ของเขากับผู้อาวุโสใหญ่จบลงด้วยผลเสมอ ไม่คุ้มค่ากับชื่อเสียงของเขาเสียไปในฐานะผู้แข็งแกร่งที่สุดในโลก
ในตอนนั้นสีหน้าของผู้อาวุโสใหญ่ดูจริงจังด้วยการถอนหายใจเบา ๆ เขาบอกว่าเป็นเพราะสายตาของเซียนอมตะหวังเฉียบคมเกินไปเขามองเห็นบางสิ่งบางอย่างต้องการหลีกเลี่ยงการจมอยู่ในพายุนี้
การต่อสู้ครั้งนี้ทำให้เซียนอมตะหวังมีข้ออ้างในการพาตัวเข้าสู่ความสันโดษชั่วคราว เขาจะไม่ออกมาอีกในเร็วๆนี้
นั่นคือเหตุผลที่ขากลับสือฮ่าวมักจะรู้สึกไม่สบายใจอยู่เสมอ ไม่ว่าจะเป็นผู้อาวุโสใหญ่หรือเซียนอมตะหวังทั้งคู่ต่างก็เป็นผู้แข็งแกร่งที่สุดในโลก เรื่องที่เซียนอมตะหวังต้องการหลีกเลี่ยงย่อมไม่ใช่เรื่องเล็กๆ
“ในเมื่อทุกคนอยู่ที่นี่แล้วพวกเราก็ควรคุยกันดีกว่าถึงความร่วมมือของ 3 สำนัก” ผู้อาวุโสจากสำนักปราชญ์กล่าว
นี่ไม่ใช่การตัดสินใจอย่างกะทันหันแต่ได้รับการกล่าวถึงล่วงหน้ามานานแล้ว สำนักเซียนสำนักปราชญ์สำนักเทพสวรรค์กำลังจะรวมตัวกันเพื่อให้เหล่าลูกศิษย์มีปฏิสัมพันธ์แลกเปลี่ยนคำชี้แนะเพื่อกระตุ้นให้พวกเขาแข็งแกร่งยิ่งขึ้น
แน่นอนว่าสาเหตุหลักเป็นเพราะพวกเขาค้นพบถ้ำเซียนอมตะทรัพยากรที่นั่นถูกค้นกลับมาแล้วสามารถเลี้ยงดูลูกศิษย์ 3 สำนักได้อย่างสบาย
ก่อนหน้านี้ผู้อาวุโสใหญ่สำนักเทพสวรรค์ไม่ได้อยู่ที่นี่แต่นำสือฮ่าวไปเมื่อเขากลับมาในฐานะบุคคลสำคัญเห็นได้ชัดว่าพวกเขาต้องขอความเห็นจากผู้อาวุโสใหญ่
นั่นเป็นเหตุผลว่าทำไมครั้งนี้ผู้ปกครองของเหล่าศิษย์ทั้งสามสำนักจำนวนไม่น้อยมาถึงที่นี่เป็นการส่วนตัว
อีกอย่างคนเหล่านี้ยังต้องการถามเกี่ยวกับรายละเอียดการต่อสู้ของผู้อาวุโสใหญ่กับเซียนอมตะหวังหลายคนยังตกใจและรู้สึกสงสัย
“ดินแดนโบราณเป็นดินแดนสวรรค์ที่ท้าทายอย่างยิ่งมีถ้ำเซียนอมตะมากมาย หากพวกมันถูกขุดค้นทั้งหมดแล้วย้ายไปอยู่ในพื้นที่เดียวมันจะทำให้เกิดดินแดนล้ำค่าที่ไม่อาจจินตนาการได้” ผู้อาวุโสสำนักเซียนกล่าว
“ความตั้งใจของเจ้าคือการย้ายถ้ำเหล่านั้นออกไปและรวมเข้าด้วยกัน? เรื่องนี้มีความยากลำบากมากเกินไปเพราะมันเป็นถ้ำของเซียนอมตะที่แท้จริงในถ้ำต้องมีกับดักค่ายกลทรงพลังมากมาย” ใครบางคนขมวดคิ้ว
ทุกคนพูดคุยกันและพยายามตัดสินใจว่าพวกเขาจะไปทำอะไร และที่ไหนกันแน่ที่จะใช้ก่อตั้งสำนัก
ในเวลานี้คลื่นแห่งความผันผวนที่น่าตกใจเกิดขึ้นระหว่างสวรรค์กับโลก มิติถูกแยกออกเรือรบโบราณสภาพยับเยินพุ่งออกมาพร้อมกับหมอกสีเลือดและพลังชั่วร้ายน่าสะอิดสะเอียน
“ใครกล้าล่วงเกินสถาบันเทพสวรรค์” ผู้อาวุโสบางคนตะโกน
ผู้อาวุโสใหญ่โบกมือของเขาไม่ให้ผู้อาวุโสคนนั้นตะโกนออกไป การแสดงออกของเขาดูจริงจังอย่างไม่น่าเชื่อขณะที่จ้องไปที่เรือรบทองแดง
ทุกคนต่างตกตะลึง พวกเขามองขึ้นไปบนท้องฟ้าทุกคนจ้องไปที่เรือทองแดงที่เปื้อนเลือดลำนั้น
เกิดอะไรขึ้น? ทำไมเรือผุพังลำนี้ถึงเข้ามาในสำนักเทพสวรรค์ได้ มีหยดเลือดที่หยดลงมาจากพื้นผิวเรืออย่างต่อเนื่อง
“มันมาจากชายแดน!” การแสดงออกของผู้อาวุโสใหญ่นั้นรุนแรง เมื่อเขาพูดคำนี้ทุกคนที่นี่รู้สึกถึงความหนาวเย็นทันที
รูปแบบของเรือลำนี้เป็นลักษณะเฉพาะของพื้นที่ชายแดน นอกจากนี้ยังมีตราสัญลักษณ์สงครามที่ชัดเจนบนพื้นผิวถูกแกะสลักไว้ ยังมีของอีกสิ่งหนึ่งมันคือธงสงครามที่เต็มไปด้วยเลือด!
กองทัพไม่ได้รับอนุญาตให้ใช้สัญลักษณ์นี้เมื่อเคลื่อนที่ผ่านเก้าสวรรค์สิบพิภพ จะทำเช่นนี้ได้ที่ชายแดนเท่านั้น
หลังจากที่เรือรบทองแดงซ์พุ่งออกมาก็ไม่มีสิ่งใดตามมาอีกมันจอดอย่างสงบนิ่ง
จิ!
ผู้อาวุโสใหญ่บินขึ้นไปในอากาศอย่างรวดเร็ว อาวุโสคนอื่นก็รีบตามไปด้วย
"ตื่น!" ผู้อาวุโสใหญ่ปีนขึ้นไปบนเรือทันทีก็สังเกตเห็นชายวัยกลางคนที่หมดสติเหลือเพียงครึ่งร่างของเขาเต็มไปด้วยเลือด
ผู้อาวุโสใหญ่ถ่ายทอดพลังปราณเข้าไปในร่างของเขาเพื่อให้เขาฟื้นคืนสติมา
“แย่แล้ว…กำแพงมิติถูกทะลวงผู้แข็งแกร่งจากอีกฟากหนึ่งได้ปรากฏตัวแล้ว!” ชายวัยกลางคนตะโกน แม้ว่าเขาจะอ่อนแอมาก แต่เสียงของเขาก็ยังคงดังก้องไปทั่วฟ้า
"อะไรนะ?!"
ในขณะนี้เสียงคร่ำครวญนับไม่ถ้วนดังขึ้น จากนั้นทุกคนรู้สึกว่าหนังศีรษะของพวกเขาชาด้านหนาวสั่นไปหมด คำพูดเหล่านี้น่าตกใจเกินไป
นี่เป็นข้อมูลที่สร้างความแตกตื่นทั่วโลก!
ไม่มีอะไรน่ากลัวไปกว่านี้อีกแล้ว สถานการณ์เปลี่ยนไปไม่เป็นไปตามแผนสิ่งที่ทุกคนกังวลมากที่สุดก็เกิดขึ้นแล้ว
ทุกคนต่างรู้ดีว่าวันนั้นจะต้องมาถึงสิ่งมีชีวิตของอีกฝั่งจะปรากฏตัวและเข่นฆ่าพวกเขาในโลกนี้อีกครั้ง เมื่อเวลานั้นมาถึงโลกจะตกอยู่ในความสับสนวุ่นวายเลือดจะไหลนองทะเลกระดูกไม่มีที่สิ้นสุด
เมื่อวันนั้นมาถึงอย่างแท้จริงมันจะเป็นช่วงเวลามืดมนที่โลกคงจะไม่สงบสุขอีกต่อไป
ใครจะไปคาดคิดว่าวันนั้นจะมาถึงในวันนี้ มันเป็นสิ่งที่ยากจะยอมรับ
จิตใจของทุกคนหนาวเหน็บพวกเขายังเตรียมการไม่เสร็จแต่สิ่งมีชีวิตของอีกฝ่ายกำลังจะเข่นฆ่าเข้ามา!
หลายคนสั่นสะท้านภายในใจ บางที…ช่วงเวลาที่น่ากลัวที่สุดได้เริ่มขึ้นแล้ว!