ตอนที่ 12 - ความโกลาหลครั้งใหญ่
ตอนที่ 12 - ความโกลาหลครั้งใหญ่
ผู้นำของตระกูลหวังรู้สึกถึงความลังเลไม่กล้าเชื่อในสิ่งที่หูของตัวเองได้ยิน ตะกูลของเขาจะประนีประนอมยอมรับเงื่อนไขแบบนี้ได้อย่างไร
ยิ่งไปกว่านั้นพวกเขาต้องประกาศให้โลกรับรู้!
ในเนื้อหาของประกาศมีเพียงเพื่อบอกให้โลกรู้ว่าตระกูลหวังจะไม่สร้างความยุ่งยากให้สือฮ่าวอีกต่อไป ความบาดหมางระหว่างทั้งสองได้สิ้นสุดลงแล้ว
ดูเหมือนทั้งสองจะมีข้อตกลงบางอย่างที่จะอยู่ร่วมกันอย่างสันติจากที่นี่เป็นต้นไปและจะไม่มีข้อพิพาทระหว่างกันอีก แต่ในไม่ช้ารายละเอียดภายในจะไม่เป็นความลับอีกต่อไป แต่จะแพร่กระจายอย่างรวดเร็วเมื่อถึงตอนนั้นใบหน้าของตระกูลหวังไม่เหลือที่ให้ขายอีกอีกแล้ว
ทั้งหมดทั้งมวลนี้เกิดจากเมิ่งเทียนเจิ้งบุกเข้าไปถึงตระกูลหวังและบังคับให้พวกเขา เขียนคำสั่งนี้ นี่จะสร้างความวุ่นวายอย่างแน่นอน!
สำหรับตระกูลหวังที่เป็นตระกูลอมตะนี่คือความอัปยศครั้งใหญ่
ตั้งแต่อดีตจนถึงปัจจุบันตระกูลหวังไม่เคยถูกบังคับให้ทำอะไรด้วยความไม่เต็มใจ นับประสาอะไรกับการลงนามในสัญญาที่ไม่เอื้อประโยชน์ต่อตัวเองแม้แต่น้อย อย่างไรก็ตามตอนนี้เหตุการณ์เปลี่ยนไปแล้ว !
เมื่อมีประกาศคำสั่งออกมามันจะก่อให้เกิดคลื่นลูกใหญ่อย่างแน่นอนโลกภายนอกจะมองไปที่ตระกูลหวังด้วยด้วยความกังขาพร้อมกับคำวิจารณ์ทุกประเภท สถานะของตระกูลหวังจะถูกสั่นคลอน
เป็นเพราะทุกคนรู้สึกเหมือนว่าตระกูลหวังยอมรับความพ่ายแพ้ในครั้งนี้ นี่เป็นสัญญาณของความอับจนหนทาง!
“นี่เป็นเรื่องน่าอับอายเกินไป…ข้าไม่เพียงแต่จะอับอายในฐานะผู้นำตระกูลรุ่นนี้ แต่นี่ยังเป็นความอัปยศที่สุดของตระกูลหวังข้าขอตายดีกว่าแทนที่จะทำสิ่งนี้ เราจะแสดงความอ่อนแอถึงขั้นนี้ได้อย่างไร” ผู้นำตระกูลหวังถอนหายใจยาว
ตอนนี้ผู้อาวุโสใหญ่ได้นำสือฮ่าวเข้ามาในสวนยาศักดิ์สิทธิ์ของตระกูลหวัง โดยพยายามค้นหายาขั้นเทพหลายต้นโดยไม่สนใจเรื่องประกาศของตระกูลหวังจะกระจายไปทั่วโลกตอนไหน
ก้อนหินสีม่วงมากมายสุดคณานับวางตัวเรียง มีตั้งแต่ขนาดสูงเท่าโต๊ะไปจนถึงสูงกว่าสิบจ้างเป็นหินที่มีรูปร่างและขนาดแตกต่างกัน นี่คือป่าหินสีม่วงที่ส่องประกาย อย่างไรก็ตามผู้อาวุโสใหญ่กลับบอกสือฮ่าวว่านี่คือสวนยาเซียนของตระกูลหวัง
ไม่มีแปลงยาไม่มีดินแล้วสมุนไพรศักดิ์สิทธิ์สจะเติบโตที่นี่ได้อย่างไร?
หลังจากนั้นไม่นานสือฮ่าวก็เข้าใจว่าทำไมยาเหล่านี้ถึงเป็นยาระดับเทพที่หายากซึ่งมีเพียงตระกูลหวังเท่านั้นที่ครอบครอง หลังจากเดินเข้าไปในส่วนลึกขอสวนหินม่วงแห่งนี้เขาได้เห็นก้านสมุนไพรศักดิ์สิทธิ์เจ็ดหรือแปดก้านฝังอยู่ในก้อนหินสีม่วง
“นี่คือตำหนักสมุนไพรม่วง ยาศักดิ์สิทธิ์หายากบางอย่างหาจากที่อื่นไม่ได้นอกจากที่นี่” ผู้อาวุโสใหญ่อธิบาย สมุนไพรเหล่านี้สามารถเสริมสร้างวิญญาณดั้งเดิมของคนทำให้แข็งแกร่งขึ้นยากต่อการถูกทำลาย
สามารถบอกได้ว่ามันหายากเพียงใดจากชื่อของมัน เพราะตำหนักม่วงคือจุดที่มีวิญญาณดั้งเดิมสถิตย์อยู่ หากมันแข็งแกร่งขึ้นวิญญาณดั้งเดิมก็จะได้รับการปกป้องจากอันตรายทั้งปวง!
“ต้นกำเนิดของสถานที่แห่งนี้ลึกลับยิ่ง เจ้าไม่ควรดูถูกหินสีม่วงเหล่านี้โดยคิดว่ามันเป็นของธรรมดา หินสีม่วงเหล่านี้คือตำหนักม่วงของเซียนอมตะที่เสียชีวิตลง” ผู้อาวุโสใหญ่บอกเขาเกี่ยวกับรายละเอียดภายในเหล่านี้
สิ่งนี้ทำให้สือฮ่าวตกใจ ชิ้นส่วนตำหนักม่วงของเซียนอมตะ? ตอนนี้เขาต้องการที่จะนำหินสีม่วงเหล่านี้กลับไปด้วย ของสิ่งนี้ล้ำค่าเกินจะเอามาปลูกสมุนไพร!
ไม่น่าแปลกใจที่พวกเขาสามารถสร้างสมุนไพรขั้นเทพออกมาได้ตั้งมากมายหากมีหินสีม่วงเหล่านี้
“ช่างน่าเสียดายที่ภายใต้การกัดกร่อนของกาลเวลาแม้แต่แก่นแท้ของสิ่งที่ดีที่สุดก็จะถูกกัดกร่อนและจางหายไป เจ้าจะเห็นได้ว่ามีสมุนไพรขั้นเทพเหลือเพียงต้นเดียวมี 7 ถึง 8 ก้านเท่านั้น ยิ่งไปกว่านั้นในช่วงในช่วงต้นปีที่แล้วได้มีต้นยาเซียนถูกตระกูลหวังเก็บเกี่ยวไปนั่นคือสมุนไพรเซียนตำหนักม่วง” ผู้อาวุโสใหญ่ถอนหายใจ
สือฮ่าวไม่สามารถสงบสติอารมณ์ได้ รากฐานของตระกูลหวังนั้นยอดเยี่ยมจริงๆ! ต้นกำเนิดของสวนสมุนไพรแห่งนี้น่ากลัวเกินไป! นำชิ้นส่วนที่หลงเหลือจากตำหนักม่วงของเซียนอมตะ
ผู้อาวุโสใหญ่เลือกเพียงก้านเดียวของสมุนไพรตำหนักม่วงที่นี่
ตามที่เขาพูดแค่ครึ่งก้านก็เพียงพอแล้วการกินมากขึ้นก็ไร้ผล
หากใช้อย่างถูกวิธีก็ถือเป็นสมบัติล้ำค่าที่เหล่าผู้แข็งแกร่งขั้นเหนือกว่าเจ้าสำนักแค่ได้ยินชื่อก็น้ำลายไหล
“ตระกูลหวังมีวิชาสยบความวุ่นวายที่สามารถบ่มเพาะวิญญาณดั้งเดิมให้เป็นกระบี่ได้ดังนั้นคุณค่าของสมุนไพรตำหนักม่วงนี้จึงให้ผลดีแก่พวกเขามากกว่าปกติถึง 2 เท่า”
นี่เป็นสาเหตุที่ทำให้ตระกูลหวังให้ความสำคัญกับของสิ่งนี้ราวกลับเป็นชีวิตของพวกเขา หากผู้อาวุโสใหญ่ต้องการก้านที่สองเซียนอมตะหวังจะไม่ยอมนิ่งดูดาย
สมุนไพรตำหนักม่วงทุกต้นใช้เวลากว่าหมื่นปีในการเจริญเติบโตดังนั้นมูลค่าของมันจึงมากมายมหาศาล
จากนั้นผู้อาวุโสใหญ่ก็พาสือฮ่าวไปที่สวนสมุนไพรอีกแห่งในของตระกูลหวัง ทุกทิศทางในสวนแห่งนี้ต่างเต็มไปด้วยปราณศักดิ์สิทธิ์ เขาเลือกสมุนไพรขั้นเทพอีกหลายชนิด
แน่นอนว่าแม้ว่าทั้งคู่จะเป็นยาระดับเทพเหมือนกัน แต่สำหรับตระกูลหวังความสำคัญของมันก็ไม่ได้ยอดเยี่ยมเท่ากับสมุนไพรตำหนักม่วงเพราะว่ายาศักดิ์สิทธิ์อื่นๆสามารถถูกแทนที่ด้วยสมุนไพรขั้นเทพที่ให้ผลคล้ายกันได้ แต่ยาศักดิ์สิทธิ์ตำหนักม่วงไม่มีสิ่งใดสามารถทดแทนได้ มันจำเป็นอย่างมากต่อการฝึกฝนวิชาสยบความวุ่นวาย
“อันที่จริงยาเหล่านี้หาได้ยากยิ่งในโลกภายนอก สวนสมุนไพรของตระกูลหวังอุดมสมบูรณ์จริงๆข้าไม่รังเกียจที่จะอาศัยระยะยาวที่นี่” ผู้อาวุโสใหญ่กล่าวพร้อมกับถอนหายใจ
ผู้อาวุโสที่เฝ้าสวนสมุนไพรหน้าตาดำคล้ำ แต่ก็ไม่กล้าพูดอะไร เพราะเมื่อเทียบกับผู้อาวุโสใหญ่แล้วความแข็งแกร่งของพวกเขาสามารถเรียกได้ว่ามดแมลงเลยก็ว่าได้
“นั่นคืออะไร” สือฮ่าวพบสวนสมุนไพรศักดิ์สิทธิ์ถูกซ่อนเร้นอยู่ในสวนแห่งนี้อีกทีนึง
“สวนยาเซียนตระกูลหวัง ตั้งอยู่ใจกลางสวนยาศักดิ์สิทธิ์ซึ่งเป็นดินแดนหวงห้าม นอกเหนือจากเซียนอมตะหวังแล้วไม่มีใครสามารถเข้าไปข้างในได้แม้แต่ครึ่งก้าว” ผู้อาวุโสใหญ่กล่าว
“ตระกูลนี้มีแม้กระทั่งยาขั้นเซียน?”สือฮ่าวตกตะลึง เขารู้สึกหวั่นไหวอย่างมาก นี่เป็นโอกาสที่จะทำให้คนคนหนึ่งไปถึงเซียนอมตะได้
“มันเป็นเพียงรากสมุนไพรที่แห้งแล้วซึ่งเป็นสิ่งที่ค้นพบจากสนามรบโบราณและได้รับการเลี้ยงดูมาตลอดจนถึงปัจจุบัน ไม่มีใครรู้ว่าสิ้นเปลืองน้ำพุศักดิ์สิทธิ์ไปมากเท่าไหร่แล้วแต่ก็ไม่สามารถคืนชีพมันขึ้นมาได้”
แน่นอนว่ารากสมุนไพรนี้ยังคงแสดงอาการฟื้นตัว มันไม่แห้งอีกต่อไปตอนนี้มีพลังชีวิตเล็กน้อย มันอาจจะฟื้นขึ้นมาอย่างแท้จริงในอนาคต
สือฮาวพูดไม่ออก ช่างสมกับเป็นตระกูลอมตะสามารถรักษาความหวังที่จะฟื้นคืนชีพได้แม้จะผ่านยุคสมัยรุ่งโรจน์มาแล้วก็ตาม นี่เป็นการท้าทายสวรรค์เกินไป!
“ประกาศเขียนเสร็จหรือยัง”
เมื่อพวกเขากลับออกมาผู้อาวุโสใหญ่สอบถามกับเซียนอมตะหวังโดยตรง สิ่งนี้ทำให้หลายคนโกรธ แต่พวกเขาไม่กล้าตอบโต้กลับไป
เซียนอมตะหวังไม่ได้พูดสิ่งใด
มังกรทั้ง 9 ก็ไม่ได้พูดอะไรถึงแม้ว่าพวกเขาจะแสดงออกถึงความไม่พอใจเล็กน้อย
“ได้ข้าจะเขียนมัน!” ผู้นำตระกูลรุ่นนี้ถอนหายใจยาว เป็นเพราะเขาเห็นว่ามังกรเก้าตัวไม่ได้พูดอะไรเลยจึงไม่มีประโยชน์อะไรเลยที่เขาจะต่อต้าน
“มันเป็นแบบนี้ได้อย่างไร?ข้าาต่อต้านสิ่งนี้นี้! ตระกูลหวังของเราไม่เคยถูกบังคับให้ต้องทำอะไรแบบนี้แม้แต่ตอนสงครามเซียนโบราณ แล้วนับประสาอะไรกับยุคปัจจุบันทำไมเราต้องยอมถอย ปล่อยให้เมิ่งเทียนเจิ้งคนเดียวบังคับให้เราทำนั่นทำนี่แล้วทำไมเราต้องทำ!”
ในเวลานั้นผู้เฒ่าผมขาวคนหนึ่งเดินออกมาร่างของเขาสูงใหญ่และดูกล้าหาญมาก เขามองไปที่หวังต้านี่คือหลานชายของหวังต้าซึ่งเป็นหนึ่งในบุคคลที่มีอำนาจมากที่สุดของตระกูลวัง
“บรรพบุรุษของตระกูลเจ้าสั่งการลงไปแล้วแต่เจ้ายังอยากหยุดเรื่องนี้อีกหรือ” ผู้อาวุโสใหญ่กล่าวด้วยเสียงหัวเราะ
“ข้าต่อต้าน! ประกาศนี้ห้ามเขียน!” สายตาของเขาจ้องไปที่ผู้นำตระกูลหวังรุ่นนี้
หวังด้าอยากจะพูดอะไรบางอย่างเช่นกัน แต่ในที่สุดเขาก็ไม่ได้พูดอะไร ดวงตาของเขามีประกายชั่วร้ายมองไปสือฮ่าวที่อยู่ห่างไกลจากนั้นก็มองไปที่ผู้อาวุโสใหญ่
“ข้าจะไม่ยอมให้ประกาศนี้หลุดออกไปอย่างเด็ดขาดตระกูลหวังของเราไม่สามารถแสดงความอ่อนแอได้!” ผู้อาวุโสผมขาวคนนั้นพูดพร้อมกับแสดงความคิดเห็น
“โอ้ในเมื่อเจ้าเป็นคนที่มีอำนาจในตระกูลหวังมากขนาดนี้ข้าขอถามว่าวันนี้มีคนไปลอบสังหารลูกศิษย์ข้าเขาได้รับคำสั่งจากเจ้าหรือเปล่า?” การแสดงออกของผู้อาวุโสใหญ่เริ่มเย็นลงเล็กน้อย
ผู้อาวุโสที่มีผมสีขาวยืนอยู่ใกล้กับผู้อาวุโสใหญ่เขาไม่ได้แสดงความหวาดกลัวแต่อย่างใดน้ำเสียงของเขาเยือกเย็น “ด้วยความแข็งแกร่งของเขายังไม่พอจะทำให้ข้าสนใจ ข้าเพิ่งเคยได้ยินเรื่องของเขาไม่กี่วันมานี้เองมีคนบอกข้าว่าเราไม่ควรจะมองดูความล่มจมของตัวเองในอนาคต”
“นั่นหมายความว่าทุกอย่างในวันนี้เริ่มต้นขึ้นจากเจ้า” ผู้อาวุโสใหญ่ตำหนิอย่างรุนแรง
“ก็แล้วยังไง? การตัดสินใจของตระกูลหวังของข้าคนนอกมีสิทธิอะไรเข้ามายุ่ง? แม้ว่าความสามารถอันสูงส่งของท่านจะไม่มีใครเทียบได้ แต่ก็ยังคงเป็นเรื่องยากสำหรับท่านที่จะแสดงพลังในตระกูลของข้า!”
เมื่อผู้อาวุโสผมขาวพูดเช่นนี้ดวงตาของเขาก็กระพริบด้วยแสงเพราะเขาปรารถนาตำแหน่งผู้นำตระกูลมาโดยตลอด ตอนนี้เขาเห็นโอกาสที่ดี
ตอนนี้ผู้นำตระกูลคนปัจจุบันต้องเขียนประกาศแห่งความอัปยศในขณะที่เขายังคงมีมุมมองที่ขัดแย้งเรื่องนี้ชัดเจนหากเขาเดิมพันถูกต้องจะเป็นโอกาสที่ดีที่จะเข้าแทนที่อีกฝ่าย
“หวังต้าเจ้ามีหลานชายอันประเสริฐจริงๆ” ผู้อาวุโสใหญ่หัวเราะอย่างเย็นชา
“เมิ่งเทียนเจิ้ง เจ้าจะทำอะไร?” หวังต้าตื่นตระหนกตะโกนออกมาอย่างสุดเสียง
“ข้าได้พูดไปแล้วว่าถ้าตระกูลหวังของเจ้ากล้าแตะต้องศิษย์ของข้า ข้าจะเริ่มต้นด้วยมังกรทั้งเก้าตามล่าพวกเจ้าทีละคน และแน่นอนจะไม่มีความเมตตาใดๆจากข้า อย่างไรก็ตามเนื่องจากเราบรรลุข้อตกลงแล้วข้าจึงตัดสินใจแล้วว่าจะไม่ใส่ใจในเรื่องนี้ อย่างไรก็ตามตอนนี้ตัวการหลักคนนี้กล้าปรากฏตัวต่อหน้าข้า เขาเป็นตัวการที่ทำให้ลูกศิษย์ข้าได้รับอันตรายจึงเป็นธรรมดาที่ข้าจะทวงหนี้จากเขา” ผู้อาวุโสใหญ่กล่าวอย่างเฉยเมย
จู่ๆผู้อาวุโสผมขาวคนนั้นก็รู้สึกขาดความมั่นใจอย่างรุนแรงโดยตระหนักว่าตัวเขาแสดงออกมากเกินไปจนอาจทำให้ตัวเองตกอยู่ในอันตราย
“เจ้า…เจ้าจะทำอะไร? นี่คือตระกูลหวังเป็นตระกูลอมตะตลอดกาล!” เขาตะโกนเสียงดังภายนอกเขาแสดงความเข้มแข็งแต่จิตใจเขากำลังนึกหาวิธีเอาตัวรอด
ปัง! ผู้อาวุโสใหญ่โจมตีออกด้วยฝ่ามือ เมื่อหวังต้าเห็นดังนั้นเขาก็รีบลุกขึ้นแลกฝ่ามือกับอีกฝ่ายส่งผลให้เขาเซไปด้านข้างไม่สามารถหยุดผู้อาวุโสใหญ่ไว้ได้
ปู!
ในชั่วพริบตาต่อมาสมองของผู้อาวุโสผมขาวคนนั้นก็แตกกระจายเป็นเสี่ยงๆ ราวกับผ่าแตงโม
“คนอย่างข้าเมิ่งเทียนเจิ้งไหนเลยจะให้คนมาต่อปากต่อคำได้ ยิ่งพยายามทำร้ายศิษย์ของข้าครั้งแล้วครั้งเล่าข้ายิ่งยอมไม่ได้!” ผู้อาวุโสใหญ่พูดอย่างเย็นชา
“เจ้าแก่สาระเลว…” วังต้าโกรธมาก หลานชายของเขาถูกฆ่าต่อหน้าต่อตา เขาจะทนได้อย่างไร? อย่างไรก็ตามเขารีบดึงสติกลับมาอย่างรวดเร็วเมื่อมองไปที่ผู้สาวใหญ่เขารู้สึกหวาดกลัวไม่สามารถส่งเสียงคำรามต่อ
"ลาก่อน!" ผู้อาวุโสใหญ่กล่าวเขาพาสือฮ่าวมาด้วยจากนั้นสะบัดแขนเสื้ออันกว้างใหญ่ของเขาออกไป
เป็นเพราะผู้นำตระกูลหวังรุ่นปัจจุบันได้เขียนประกาศเสร็จแล้ว
หลังจากนั้นไม่นานผู้อาวุโสใหญ่กับสือฮ่าวก็ออกจากดินแดนโบราณตระกูลหวัง
“เมิ่งเทียนเจิ้งเจ้าแก่สาระเลวข้าจะไม่ยอมเลิกรากับเจ้า!” วังต้าคำราม เขาโกรธแค้นถึงขีดสุด ประสบการณ์ในวันนี้ทำให้เขาคุ้มคลั่ง
ผู้อาวุโสใหญ่นำสือฮ่าวออกเดินทาง ตลอดทางเขาได้ถ่ายทอดคำสั่งไปยังนิกายที่สังกัดสำนักเทพสวรรค์ให้กระจายข่าวออกไปถึงประกาศของตระกูลหวัง
เป็นผลให้เนื้อหาของคำสั่งนี้แพร่กระจายไปทั่วสวรรค์ดุจไฟไหม้ลาม กินแค่วันเดียวทุกคนก็ทราบถึงเนื้อหาประกาศนี้
"อะไร? ตระกูลหวังทำตัวอ่อนแอขนาดก้มศีรษะลงเปลี่ยนจากอาวุธเป็นแพรพรรณ เกิดอะไรขึ้นกันแน่?”
หลายคนไม่กล้าเชื่อในสิ่งที่พวกเขาเห็น แต่ความเป็นจริงอยู่ต่อหน้าต่อตาพวกเขา
นอกจากนี้หลายคนได้ตรวจสอบสิ่งนี้ผ่านช่องทางลับส่วนตัวจนทราบว่าผู้อาวุโสใหญ่สำนักเทพสวรรค์ได้ต่อสู้กับเซียนอมตะหวัง
สิ่งนี้กระตุ้นให้เกิดคลื่นอันน่าตกใจไม่เพียงแต่จำกัดอยู่ที่สวรรค์แห่งนี้เท่านั้นแต่ยังสั่นสะเทือนแดนสวรรค์อื่นๆ
ถึงจะรู้กันเพียงแค่ตระกูลอมตะไม่กี่ตระกูลนิกายโบราณไม่กี่แห่งในเก้าสวรรค์สิบพิภพ ฮวงเป็นศิษย์ของผู้อาวุโสใหญ่สำนักเทพสวรรค์เขาไม่ใช่คนที่สามารถถูกรังแกได้
นี่เป็นเหตุการณ์สำคัญอย่างยิ่งเมิ่งเทียนเจิ้งเพื่อลูกศิษย์ตัวน้อยถึงกับกล้าโจมตีตระกูลอมตะโดยไม่ลังเลและฝีมือที่แสดงออกมานั้นก็ถึงขั้นสะเทือนแดนสวรรค์ทั้ง 9
“เด็กคนนี้ไม่สามารถแตะต้องได้ ดูเหมือนว่าผู้อาวุโสใหญ่สำนักเทพสวรรค์จะคาดหวังกับเขาไว้มากตอนนี้ใครก็ตามที่แตะต้องเขาจะต้องตาย!”
“นี่เป็นคำเตือนจากสำนักเทพสวรรค์ว่าเจ้าหนูฮวงแตะต้องไม่ได้มิเช่นนั้นจะได้รับผลอย่างไรเจ้าต้องชั่งน้ำหนักตัวเองด้วย”
นี่คือบทสนทนาที่บุคคลสำคัญในตระกูลอมตะบางตระกูลกำลังปรึกษากัน จะเห็นว่าผลกระทบของเรื่องนี้มีมากเพียงใด!
ในเก้าสวรรค์เบื้องบน นิกายโบราณสองสามแห่งกำลังเตือนพวกพ้องของพวกเขาไม่ให้กระทำโดยประมาท