บทที่ 220 อัครมุขนายก
หลังจากมาถึงห้องรับรอง แองโกร่าก็ได้พบกับฮาโดร อัครมุขนายก ผู้นำสูงสุดของศาสนจักรสีขาวอันสว่างไสวในทุนย่า
อีกฝ่ายเป็นชายชราอายุ 70 ปี ในโลกนี้ที่มนุษย์มีอายุขัยเฉลี่ยเพียง 40 ปีเขาถือได้ว่าเป็นผู้สูงอายุที่สุดคนหนึ่ง แม้ว่าอัครมุขนายกของเทพเจ้าแห่งแสงจะมีอายุยาวนานกว่ามนุษย์ปกติมาก แต่ฮาโดรเองก็ดูเหมือนว่าเขาเพิ่งจะอายุ 50
“ขอให้พรของพระเจ้าจงมีแด่เจ้า” เขาค่อย ๆ ลุกขึ้นยืนแตะมือที่หน้าอก เมื่อเห็นฮอร์รันและแองโกร่าเดินเข้ามา
มันเป็นท่าทางการทักทายที่สุภาพของศาสนจักรสีขาวอันสว่างไสว ความจริงต้องโค้งคำนับด้วย แต่อัครมุขนายกคิดว่าเขาไม่จำเป็นต้องโค้งคำนับเนื่องจากเขาอายุมากแล้ว และศาสนาที่เขานับถือก็เป็นศาสนาที่มีอิทธิพลมากที่สุดในปัจจุบัน
“ขออภัย แต่เทพเจ้าแห่งสงครามได้ให้พรแก่ครอบครัวของข้าแล้ว ดังนั้นเราจึงไม่ควรรับพรจากเทพของท่าน” ฮอร์รันตอบเสียงแข็งและเห็นได้ชัดว่าเขาไม่ค่อยชอบฮาโดร
“ข้าเข้าใจ… แต่ก็เป็นเรื่องจริงเช่นกัน ที่ลอร์ดคราตอสไม่ได้ช่วยท่านตอนที่พวกโจรบุกเข้าโจมตีปราสาทของท่าน”
เห็นได้ชัดว่าอัครมุขนายกกำลังอารมณ์ดี ไม่เพียงแต่เขาจะไม่ใส่ใจกับคำพูดของฮอร์รันเท่านั้น เขาเสนอความเห็นต่าง “ตามที่ข้าได้ยินมา ลูกชายคนโตของท่านประสบอุบัติเหตุคในรั้งนี้ แน่นอนท่านควรรู้ว่าแม้สาวกของวิหารแห่งความรุ่งโรจน์จะเต็มไปด้วยคนที่แข็งแกร่งและทรงพลัง แต่พวกเขาทั้งหมดก็ไม่มีความน่าเชื่อถือทุกครั้งที่มีเรื่องสำคัญเกิดขึ้น”
แองโกร่าสังเกตเห็นว่าสีหน้าของพ่อบ้านคนใหม่หมองคล้ำและกำหมัดแน่น
เขาเข้าใจทันทีว่าพ่อบ้านถูกส่งมาที่นี่จากวิหารแห่งความรุ่งโรจน์
'ไม่น่าแปลกใจที่ตาแก่ให้เขาออกไปก่อนที่จะพูดกับข้า...'
ขณะเดียวกันฮอร์รันก็ยกมือขึ้นหยุดฮาโดรไม่ให้พูดต่อ
“หากท่านมาที่นี่เพื่อชักชวนให้ข้าเปลี่ยนศาสนา อย่างนั้นก็ไม่จำเป็นต้องพูดอะไรอีก”
"หลังเทศกาลเก็บเกี่ยว อาหารจำนวนมากที่เก็บไว้ในปราสาทเมื่อปีที่แล้วจะต้องถูกบริโภคให้หมดโดยเร็ว หากท่านไม่ติดขัดอะไร ท่านสามารถพักรับประทานอาหารที่นี่ก่อนกลับได้"
แม้ว่าฮอร์รันจะไม่ได้พูดอย่างชัดเจน แต่ความหมายของเขาก็แฝงว่า 'ออกไปทันทีหลังจากที่เจ้ากินเสร็จ' อย่างชัดเจน
“ข้าเข้าใจ อย่าโกรธเลย ท่านไม่สามารถตำหนิได้ที่ข้าพยายาม” ฮาโดรหัวเราะอย่างร่าเริงโดยไม่รู้สึกผิด แม้ว่าใบหน้าของเขาจะดูจริงจังขึ้นมาเล็กน้อย “ข้ารู้มาตลอดว่าดยุคอินทรีเงินจะไม่เปลี่ยนใจง่าย ๆ…”
ความจริงมันคงไม่ใช่เรื่องง่ายสำหรับฮอร์รัน ที่จะเปลี่ยนใจไปเลื่อมใสศาสนาอื่นแม้ว่าเขาจะต้องการก็ตาม แม้วิหารแห่งความรุ่งโรจน์จะไม่ยิ่งใหญ่เท่าศาสนจักรสีขาวอันสว่างไสว แต่พวกเขาก็จะไม่นั่งดูผู้ศรัทธาคนหนึ่งที่เป็นถึงดยุควิ่งหนีไปเข้าร่วมกับคู่แข่งของพวกเขา
“แล้วทำไมท่านถึงให้ความสำคัญกับเราด้วยการมาเยือนที่นี่ด้วยตนเอง” ฮอร์รันถามอย่างหมดความอดทน
แน่นอนว่ามันเป็นเพียงการแสดง หากจำเป็นดยุคสามารถลากการสนทนาไปได้ทั้งวัน โดยไม่พูดถึงประเด็นสำคัญ เหตุผลที่เขานำบทสนทนามาทางนี้ก็เพื่อต้องการจะสื่อว่า 'เลิกอ้อมค้อมและพูดในสิ่งที่เจ้าอยากจะพูด'
ฮาโดรเข้าใจอย่างชัดเจน เขาหยุดอ้อมค้อมและเข้าประเด็น “แองโกร่ายังไม่ได้เข้าพิธีล้างบาปใช่หรือไม่”
แองโกร่าที่เป็นเพียงฉากหลังมานานรู้สึกประหลาดใจ
'ข้ามาที่นี่เพื่อเรียนรู้ ทำไมข้าถึงถูกกล่าวถึง?'
ถึงกระนั้นหลังจากที่เขาได้ฝึกฝนตัวเองในเมืองไร้ชื่อ รวมถึงได้พูดคุยและถูกสอนสั่งโดยผู้เฒ่าแวนเค่อ แองโกร่าก็ค่อย ๆ เติบโตขึ้นและคาดเดาเหตุผลที่แฝงอยู่ได้อย่างรวดเร็ว
เซซิลทายาทที่พ่อของเขาเลือกก่อนหน้านี้ได้เสียชีวิตลงจากการอาละวาดของตัวเอง ในขณะที่พี่ชายคนที่สองของเขาถูกสังหารโดยแส้ดำ
แองโกร่าจึงเป็นทายาทเพียงคนเดียวที่เหลืออยู่ของตระกูลเฟาสต์
ตราบใดที่เขาไม่ได้ตายไปก่อนวัยอันควร การสืบทอดตำแหน่งของดยุคอินทรีเงินก็เป็นเพียงเรื่องของเวลา
เนื่องจากพ่อของเขาเป็นสาวกเก่าแก่ของคราตอสมานานหลายทศวรรษ จึงแทบเป็นไปไม่ได้เลยที่แองโกร่าจะเปลี่ยนใจไปเลื่อมใสศาสนาอื่นได้หากไม่มีอุบัติเหตุใด ๆ แต่เนื่องจากเขายังไม่ได้เข้าพิธีล้างบาปในนามของเทพแห่งสงคราม นั่นคือสาเหตุที่อัครมุขนายกตั้งเป้ามาที่เขา
น่าเสียดายที่ชายชราคนนี้ยังคิดผิด
เป็นความจริงที่ว่าแองโกร่าไม่เคยได้รับความโปรดปรานจากฮอร์รัน (หรือถูกละเลยโดยเจตนา) เขาจึงไม่ได้เขาพิธีล้างบาปตั้งแต่เนิ่น ๆ ที่วิหารแห่งความรุ่งโรจน์เหมือนเซซิล และตอนนี้แองโกร่าก็ได้รับการหล่อหลอมให้เป็นผู้ศรัทธาในเทพเจ้าแห่งเกมด้วยความเต็มใจ ทำไมเขาถึงจะต้องเปลี่ยนใจไปเลื่อมใสศรัทธาในเทพเจ้าแห่งแสงด้วย?
ลืมความรู้สึกส่วนตัวไปและพูดกันแต่เรื่องของผลประโยชน์ ระบบจากเทพเจ้าแห่งเกมให้ความสะดวกสบายกับเขาทุกรูปแบบ ในทางกลับกันเทพเจ้าแห่งแสงมีสาวกมากมายจนเขาไม่อาจได้รับการดูแลเป็นพิเศษแม้ว่าเขาจะสืบทอดตำแหน่งดยุคจริง ๆ ก็ตาม
อย่างดีที่สุดเขาก็จะถูกล้อมรอบไปด้วยสาวกคนอื่น ๆ ดังเช่นพ่อของเขาเองทุกที่ที่เขาไป ซึ่งเป็นเพียงการเปลี่ยนพนักงานจากวิหารแห่งความรุ่งโรจน์ไปเป็นศาสนจักรสีขาวอันสว่างไสว
ด้วยความคิดนั้น แองโกร่าจึงพูดออกมาตามตรง
“ข้าขอโทษ แต่ข้าไม่สนใจที่จะเข้าร่วมศาสนจักรสีขาวอันสว่างไสว”
ข้างพวกเขา พ่อบ้านคนใหม่ตาเป็นประกาย ดูเหมือนเขาจะพอใจกับปฏิกิริยาของนายน้อย
'ข้าขอโทษ แต่ข้าก็ไม่สนใจวิหารแห่งความรุ่งโรจน์เช่นกัน' แองโกร่าพูดใจในเมื่อเขาสังเกตเห็น
"ทำไม? แทนที่จะเป็นวิหารแห่งความรุ่งโรจน์ที่ฉาวโฉ่ เราศาสนจักรสีขาวอันสว่างไสวนั้นดีกว่าอย่างแน่นอน ท่านก็รู้ใช่ไหม?” อัครมุขนายกวัยชรายังคงพยายามชักชวน
แองโกร่ายังสังเกตเห็นว่าฮาโดรจ้องไปที่พ่อบ้านคนใหม่อย่างเงียบ ๆ ดูเหมือนว่าอัครมุขนายกจะรู้ว่าเขามาจากวิหารแห่งความรุ่งโรจน์ ดังนั้นเขาจึงจงใจพูดแบบนั้นเพื่อยั่วยุพ่อบ้าน
เกือบจะในทันที แองโกร่าก็รู้ว่าฮาโดรกำลังคิดอะไรอยู่
ถ้าพ่อบ้านคนใหม่อดทนต่อการยั่วยุได้ อัครมุขนายกก็ได้แต่พูด แต่ในทางกลับกันถ้าพ่อบ้านคนใหม่ไม่สามารถนิ่งดูดายและตัดสินใจจะโต้เถียง หรือแม้แต่ใช้ความรุนแรงอย่างโจ่งแจ้ง เขาก็จะพิสูจน์ว่าคำพูดของอัครมุขนายกเป็นจริงเกี่ยวกับนิสัยที่ไม่ดีของวิหารแห่งความรุ่งโรจน์
และเมื่อพิจารณาว่าฮาโดรเป็นถึงอัครมุขนายกและไม่ได้อ่อนแอเลย เรื่องนี้อาจเป็นเพียงการแสดงดี ๆ เพื่อหลอกล่อให้แองโกร่าเปลี่ยนใจ
เมื่อเข้าใจแล้ว แองโกร่าก็ไม่ปล่อยให้อัครมุขนายกพูดต่อ
“มันไม่ได้เกี่ยวกับเรื่องนั้น” เขายิ้มอย่างสดใสให้ฮาโดร “แต่สิ่งที่ข้าชอบทำมากที่สุดคือการพูดว่า 'ไม่' เมื่อมีคนจับหัวข้าและบังคับให้ข้าเปลี่ยนใจไปเลื่อมใสศรัทธาเทพเจ้าบางองค์”
ความสงบบนใบหน้าของอัครมุขนายกจางหายไปจากความเป็นศัตรูที่ชัดเจนของแองโกร่า และเริ่มมองไปที่แองโกร่าอย่างจริงจัง
แต่ถึงอย่างนั้นดวงตาของเขาก็ไม่ได้แสดงความโกรธ แต่กลับมีความชื่นชมแทน
"ดูเหมือนว่าข้าจะละเลยความรู้สึกของท่านไป”
ขณะที่ชายชรากำลังจะพูดต่อ แต่ก็มีเสียงวุ่นวายดังขึ้นนอกประตู
ทหารยามคนหนึ่งรีบวิ่งเข้ามาในห้อง “ท่านลอร์ด” เขารายงาน “อธิการคนหนึ่งจากศาสนจักรสีขาวอันสว่างไสวมารออยู่ด้านนอก เขาอ้างว่ามีข่าวด่วนต้องแจ้งไปยังท่านอัครมุขนายก…”
“ให้เขาเข้ามา”
แม้ว่าฮอร์รันจะไม่ได้ชอบฮาโดร แต่เขาก็อนุญาตให้ผู้มาใหม่เข้ามา เนื่องจากเขาไม่ใช่คนประเภทที่ใช้กลอุบายราคาถูก
และในไม่ช้าก็มีชายคนหนึ่งลุกลี้ลุกลนวิ่งเข้ามา
“คัฟฟอน เจ้าเป็นอธิการแล้ว ข้าไม่ได้บอกเจ้าหรือว่าเจ้าควรสำรวมกิริยาตลอดเวลา หรือเจ้าลืมไปแล้ว” ฮาโดรจ้องไปที่นักบวชชุดขาวด้วยความไม่พอใจ
“ท่านเจ้า นี่เป็นเรื่องเร่งด่วน” คัฟฟอนตอบ ดูเหมือนเขาจะลังเลว่าเขาควรจะกระซิบข่าวให้หัวหน้าเขาฟังดีหรือไม่
แต่อัครมุขนายกก็สั่งว่า “พูดมาสิ ข้าเชื่อว่าดยุคเฟาสต์และทายาทของเขาไม่ใช่คนแบบนั้น”
ด้วยคำพูดนั้น อธิการชุดขาวก็ไม่ลังเลอีกต่อไป “ดูเหมือนว่าพวกซอมบี้ได้ปรากฏตัวขึ้นที่สุสานจำนวนมากใกล้ชายแดนโซติมิ…”
อธิการหยุดกลืนน้ำลายก่อนจะพูดต่อว่า “และเราได้สูญเสียการติดต่อกับคณะศักดิ์สิทธิ์ที่ออกไปควบคุมสถานการณ์ที่นั่น!”
--------------------------------------------
เพจ FC-Translate