ตอนที่แล้วตอนที่ 183 ครอบครัวสามคน
ทั้งหมดรายชื่อตอน
ตอนถัดไปตอนที่ 184 คฤหาสน์ตระกูลอู่

ตอนพิเศษฟรี เสี่ยวซิง 2


กลิ่นเนื้อย่างที่ลอยออกมาจากด้านหลังห้องของผู้อำนวยการสถานรับเลี้ยงเด็กกำพร้า ทำให้จูล่งรู้สึกอึดอัดและไม่สบายใจเป็นอย่างมาก

ความรู้สึกเเละลางสังหรณ์ของเขาเริ่มแย่ลงเรื่อยๆราวกับว่า…กำลังจะมีเรื่องราวร้ายๆ มาเยือนอีกครั้งหนึ่ง

สำหรับเด็กชายเเล้ว ชีวิตในทุกวันนี้ก็ถือว่าไม่สุขเเละทุกข์จนเกินไป ถึงเเม้ในทุกๆวันเขาทั้งกินไม่อิ่ม นอนไม่หลับและถูกรังแกอยู่เสมอ

เเรกๆ เขาอาจจะเป็นทุกข์เเละพยายามหลบหน้า เเต่เเล้ววันหนึ่งเขาก็สำนึกได้ว่าการหลบนั้นมันไม่ช่วยอะไรเลย เพราะเขาก็ถูกรังเเกไม่ทางตรงก็ทางอ้อมอยู่ดี…ไม่ว่าทางไหนเขาก็ล้วนเเต่ถูกรังเเก

ดังนั้นเขาจึงได้เเต่ปล่อยวางมันไปเเละได้เเต่หวังว่าวันหนึ่งเด็กพวกนั้นจะโตขึ้นเเละรู้จักความรู้สึกผิดชอบชั่วดี เติบโตเป็นคนที่ดีเเละเลิกรังเเกเขาอย่างไร้ประโยชน์

สำหรับเด็กชายเเล้ว…เมื่อมันเกิดเรื่องแบบนี้ทุกวัน นานวันเข้าเด็กชายก็เริ่มจะรู้สึกชาชิน จนมันกลายเป็นเรื่องปกติสำหรับตัวเขาไปแล้ว ดังนั้นเขาจึงไม่รู้สึกว่าชีวิตแบบนั้นมันแย่หรือเลวร้ายอย่างไร

แต่มันก็ไม่ได้หมายความว่าเขาปรารถนาให้ทุกอย่างมันแย่ลงไปกว่านี้!

เขาเอ่ยถามผู้อำนวยการสถานรับเลี้ยงเด็กกำพร้าไปอย่างกล้าหาญ ทั้งๆที่ในใจเขาปราถนาว่า…ขอให้เกิดเรื่องเลวร้ายอะไรกับกระต่ายน้อยของเขาเลย ขอให้เป็นอย่างอื่นเถอะ

“ผู้อำนวยการครับ ผมได้กลิ่นอะไรไหม้…คล้ายกลิ่นของเนื้อ อาจจะเป็นไปได้ว่า…..” จูล่งเอ่ยถามไม่ทันจบก็โดนผู้อำนวยการเอ่ยปากสวน

“เเล้วเเกเกี่ยวอะไรด้วย! เด็กไม่มีพ่อเเม่อย่างเเกริอาจจะกินเนื้อกวางรมควันรึ? ไปตายเเล้วเกิดใหม่ไม่ง่ายกว่าเหรอ? เผื่อเเกจะเจอพ่อเเม่ดีๆไง” ผู้อำนวยการสถานรับเลี้ยงเด็กกำพร้าชักสีหน้าตึงเครียดใส่ทันที ในขณะนี้เขากำลังกังวลกลัวว่าเด็กชายจะมาเเย่งเนื้อกวางชั้นดีจากเขา

“เนื้อกวางเหรอครับ? ไม่ใช่กระต่าย….” เพื่อความเเน่ใจ เด็กชายจึงเอ่ยถามอย่างกล้าๆกลัวๆ

“นั่นคือเนื้อลูกกวางที่เพื่อนของฉันในเมืองให้มาเมื่อวานนี้ มันเป็นเนื้อที่ดีและอร่อยมาก เเละนั่นมันก็แปลว่าเนื้อพวกนั้นมันดีไปสำหรับสวะสังคมอย่างแกไง จะบอกให้แค่เศษเนื้อกวางสักชิ้นหนึ่งก็มีค่ามากกว่าชีวิตแกทั้งชีวิตแล้ว เป็นบุญแค่ไหนเเล้วที่คนอย่างแกมีโอกาสได้ดมกลิ่นของเนื้อกวางชั้นเยี่ยมที่มีมูลค่าสูงขนาดนี้ ถ้าดมจนพอใจแล้วก็ไสหัวไปซะ!”

ผู้อำนวยการพูดด้วยวาจาที่กระทบกระแทก แต่คำตอบนี้แม้จะกระทบกระแทกต่อจิตใจของเด็กชายมาก แต่เขาก็รู้สึกสบายใจ อย่างน้อยสิ่งที่เขาคิดเอาไว้มันก็ไม่ได้เกิดขึ้น

อย่างน้อยนางฟ้าต้องสาปเเห่งโชคร้ายก็ไม่ได้ส่งจูบมาให้แก่เขา!

เด็กชายเต็มไปด้วยความโล่งอกเขาเดินออกจากห้องผู้อำนวยการทันทีโดยไม่หันกลับไปมองให้เสียสายตาอีก

เขาเดินผ่านไปยังลานเลี้ยงวัวของสถานรับเลี้ยงเด็กกำพร้า และมองดูบรรยากาศโดยรอบ เขามองเห็นวัวตัวโตที่เดินไปมาและนกกำลังหยอกเย้ากันอยู่ สภาพแวดล้อมโดยรอบเต็มไปด้วยธรรมชาติที่เเสนสดใส มีแสงแดดที่สว่างไสวสาดส่องลงมา อากาศโดยรอบเองก็ไม่ได้ร้อนจนเกินไป ลมอุ่นพัดมาถูกผิวกายของเด็กชายทำให้เขารู้สึกสบายไปทั่วทั้งตัว

แต่จิตใจของเขานั้นไม่ได้รู้สึกโล่งใจเลยเเม้เพียงนิด….

ภายจิตใจของเขานั้นคล้ายกับว่ามันกำลังหนักหน่วง เหมือนใครเอาหินโสโครกมาถ่วงรั้งเขาเอาไว้

ความรู้สึกนี้มันทำให้เด็กชายรู้สึกไม่สบายใจเลย... เด็กชายมองขึ้นไปบนท้องฟ้าที่สว่างไสว และคิดในใจอย่างมีสติ

วันนี้เป็นวันที่อากาศดีมาก…ฉันไม่ควรอารมณ์เสียในวันนี้!

เด็กชายสูดหายใจเข้าปอดลึกๆ เเละเรียกความเยือกเย็นของตนเองกลับมาได้ จากนั้นเด็กชายก็ถอนหายใจอย่างเหน็ดเหนื่อย…นี่อาจจะเพราะเขาคิดมากเกินไป เเละพักนี้มีเเต่เรื่องร้ายๆ คงทำให้เขากลายเป็นคนที่ขี้ระเเวง บางทีคงไม่มีอะไร..มันก็เเค่ความคิดชั่ววูบ ฝันร้ายตื่นหนึ่ง ไม่มีอะไรมากไปกว่านั้น

หลังจากปลอบขวัญตนเองเสร็จ จูล่งก็เดินกลับไปที่ห้องพักรวมสำหรับเด็กผู้ชายที่อยู่ในสถานรับเลี้ยงเด็กกำพร้าด้านหลังด้วยความเร็วปกติเหมือนอย่างที่เคยเดิน

สถานรับเลี้ยงเด็กกำพร้านั้นเดิมเป็นเพียงแค่ความวัวฟาร์มคอกม้าเก่า ทำให้มีห้องพักและอุปกรณ์ที่ไม่ครบครัน แม้กระทั่งไฟฟ้า…จะมีใช้เเค่ห้องพักของผู้อำนวยการเท่านั้น

สำหรับจูล่งที่เป็นเพียงเด็กที่ถูกรับมาเลี้ยงในสถานรับเลี้ยงชนบทที่ห่างไกล ทั้งห้องพักเเละห้องน้ำล้วนเเต่ไร้ไฟฟ้าเเละน้ำประปา ดังนั้นทุกๆเช้าเด็กชายเเละเด็กคนอื่นๆจะต้องเดินไปที่หมู่บ้านบนเขาเเละตักน้ำที่อยู่ในบ่อน้ำกลางหมู่บ้านกลับมาที่นี่

จากตีนเขาขึ้นมาบนภูเขา…เเค่ 1 กิโลเมตรเท่านั้นเอง!

จากเด็กที่อ่อนเเอจึงกลายเป็นเด็กมีพละกำลังในเวลาในกี่ปี เขาถูกงานหนักขัดเกลาจนเติบใหญ่

สำหรับวันนี้แม้เขาจะกลับไปนอนพักเล่นๆอยู่ที่ห้องเนื่องทำงานประจำวันเสร็จเเล้ว เเต่จูล่งก็ไม่ได้คิดว่าชีวิตของเขานี่วันนี้จะสุขสบายนัก เพราะวันนี้อาจจะมีเวรยามกลางคืนหรือไม่ก็ต้องไปรับจ้างเเรงงานที่หมู่บ้านอีก เเต่ขอเเค่พักช่วงสั้นๆ เเละเล่นกับเจ้ากระต่ายน้อยพักหนึ่ง เเค่นี้ก็เติมพลังให้เขาได้มากเเล้ว

เขาเหลือบมองไปที่แอปเปิ้ล 2 ลูกที่อยู่ในกระเป๋า เขาก็นึกไปถึงเจ้ากระต่ายน้อยทันที มันคงกำลังรอคอยของอร่อยจากเขาอยู่

เมื่อคิดได้อย่างนั้นจูล่งก็รีบวิ่งกลับไปที่ห้องพักทันที และพอไปถึงเขาก็พบรองเท้าเก่าๆ กว่า 10 คู่ที่วางระเกะระกะอยู่ เขาก็คาดว่าเด็กชายคนอื่นๆ ก็กลับมาถึงแล้ว

จริงๆ จูล่งน่าจะกลับมาพร้อมกับเด็กพวกนี้ด้วย เเต่ว่าจูล่งนั้นเป็นตัวเเทนรับเงินในครั้งนี้ เขาจึงต้องไปรายงานผลการทำงานและจ่ายค่าจ้าง ของวันนี้ให้ผู้อำนวยการทั้งหมดก่อน เลยทำให้เขากลับถึงห้องช้ากว่าคนอื่น

เด็กชายเปิดประตูเข้าไปในห้องด้วยความเงียบ ด้วยนิสัยของเขาแล้ว เขาได้รับการอบรมมาอย่างดีจากบ้านตระกูลจู ดังนั้นเวลาเปิดประตูจึงแทบจะไม่มีเสียง ทำให้คนในห้องไม่รู้เลยว่าเขาได้มาถึงแล้ว

ก้าวแรกของเด็กชายที่เปิดประตูเข้าไปเขาก็ได้กลิ่นของเนื้อย่างหอมๆลอยมาเตะจมูกเข้าเต็มๆ กลิ่นของเนื้อย่างนั้นมีกลิ่นคาวของเลือดผสมอยู่เล็กน้อย ทำให้เด็กชายถึงกับยกมือขึ้นมาบังจมูกของตัวเองเอาไว้ก่อนที่จะหันไปหาใครสักคนเพื่อตอบคำถามของเขา

“พวกนายกำลังทำอะไรกันอยู่?”

เสียงของจูล่งดังขึ้น ทำให้บรรดาเด็กชายทั้งหลายที่กำลังอยู่ในห้องรวมส่วนกลางของห้องพักต้องหันหน้ามามองเขาทั้งหมด

เด็กชายคนหนึ่งที่อยู่ในห้อง เขาอายุประมาณ 14-15 ปี ตัวของเขาสูงใหญ่กว่าจูล่งเเละห่างไกลจากคว่าเด็กไปไกลโข เเละอีกไม่กี่เดือนเขาก็ต้องออกจากสถานรับเลี้ยงเเห่งนี้เเล้ว เเละทันทีที่เขาเห็นจูล่งเดินเข้ามาเขาก็หัวเราะทักทาย

“อ้าว! เสี่ยวจู นายกลับมาพอดีเลย พวกเรากำลังทำเนื้อย่างกินอยู่เนี่ย เฮ้อ! ไปทำงานทั้งวันเลยปวดเมื่อยเนื้อตัวไปหมด เขาว่ากันว่ากินเนื้อช่วยฟื้นฟูพลังได้นะ”

เขาก็คือ หลี่ซิ่ว เขาเป็นหนึ่งในเด็กกำพร้าที่อายุมากที่สุดของสถานรับเลี้ยงเด็กกำพร้าแห่งนี้ ดังนั้นจึงจัดได้ว่าไม่ได้อยู่ในวัยเดียวกับจูล่ง แต่ด้วยความที่เขาเป็นผู้ใหญ่ เขาจึงไม่ได้ค่อยได้รังแกจูล่งเหมือนกับที่เด็กคนอื่นทำ ทำให้เขาเป็นมิตรกับจูล่งได้เเบบไม่ขัดเขิน

“เนื้ออะไร?”

จูล่งถามด้วยความสงสัย สำหรับเนื้อย่างแล้ว มันเป็นของหายากในหมู่บ้านที่ห่างไกลอีกทั้งยังมีสัตว์ป่าน้อยนิดเช่นนี้ด้วย ดังนั้นการหาเนื้อไม่ใช่เรื่องง่ายๆ

กระทั่งไก่สักตัว ถ้าจะกินยังต้องรองานปีใหม่ เพราะแถวนี้ไม่ได้มีป่าที่อุดมสมบูรณ์ที่เต็มไปด้วยสัตว์ป่าหรือห้างสรรพสินค้าให้ซื้อของได้ทั่วไป

ดังนั้นแล้วการมีเนื้อกินจึงเป็นเรื่องที่แปลกสำหรับที่นี่อย่างมาก จึงไม่แปลกที่จูล่งจะเอ่ยถาม

“อ๋อ! เนื้อเหรอ วันนี้พวกเราโชคดีมากเลย ตอนที่เสี่ยวกู้กำลังเก็บห้องรวมส่วนกลางอยู่ เขาก็ไปเจอกระต่ายตัวหนึ่ง กระต่ายตัวนั้นกำลังเพ่นพ่านอยู่หน้าห้องนอนของนาย พวกเรากลัวมันจะมาขโมยของในห้องนี้ก็เลยจับมัน... ฮ่าๆๆ แต่เจ้ากระต่ายน้อยนี่ดวงไม่ดีเลย เสี่ยวกู้จับแรงไปหน่อยมันถึงกับคอหักตายคามือ พวกเราก็เลยเอามันมาถลกหนังแล้วก็ย่างกินกันเนี่ย มันตัวใหญ่มากไม่ต้องห่วงนะ พวกเราปรุงรสแล้วรับรองว่าถูกใจเด็กที่มาจากในเมืองอย่างนายแน่นอน”

สำหรับเด็กผู้ชายในชนบทแล้ว การตีกัน รังแกกันมันเป็นเรื่องในวัยเด็ก ดั่งคำว่าลูกผู้ชายสามารถสมัครสมานกันได้ด้วยการชกต่อย ฉะนั้นเเล้วความเกลียดชังและความแค้นอะไรมักไม่ค่อยมีทั้งสิ้น เเละสำหรับกรณีของจูล่งที่มักถูกพวกเขารังเเก…นั่นก็เพราะเด็กชายมาจากในเมือง เหตุผลอื่นๆ จริงๆเด็กที่เหลือไม่ค่อยสนใจกันหรอก พวกเขาก็เเค่อยากทุบตีเพราะความหมั่นไส้…ก็เเค่นั้น

“พวกนายว่าเจอกระต่ายอย่างนั้นเหรอ... จะเป็นไปได้ยังไง สถานรับเลี้ยงเด็กกำพร้าอยู่ห่างจากป่าค่อนข้างเยอะ”

วันที่จูล่งพบกระต่ายน้อยนั้นเป็นวันที่ฝนตกในฤดูฝนอันชุ่มฉ่ำ หากแต่ฤดูนี้เป็นฤดูที่สัตว์ออกมาเพ่นพ่านหากินนอกเขตบ่อยๆ แล้วเจ้ากระต่ายน้อยของจูล่งก็ปรากฏตัวในวันนั้นด้วย

ถ้าวันนั้นไม่เหมือนวันนี้ มันเป็นวันที่ไม่ควรจะมีกระต่ายมาปรากฏ!

“เรื่องนี้ฉันก็ไม่รู้เหมือนกัน ไปถามเสี่ยวกู้สิ มันเป็นคนเจอ”

หลี่ซิ่วชี้ไปที่เด็กชายคนหนึ่ง เขาอายุราว 11-12 ปี และเด็กคนนี้กำลังนั่งย่างเนื้ออยู่ที่กลางห้องส่วนกลางรวมอย่างสบายใจ

ห้องส่วนกลางเเบบรวมนั้น จริงๆเเล้วมันคล้ายกับห้องทำอาหารเเละกินอาหารเเบบโบราณ ทำให้มีเตาถ่านเเละช่องระบายอากาศที่กลางห้อง

ในขณะที่เสี่ยวกู้กำลังย่างเนื้ออยู่นั้น จูล่งก็เดินเข้ามาหาและถามด้วยคำถามเรียบง่าย

“เสี่ยวกู้ นายเจอกระต่ายจากที่ไหน?”  คำถามของจูล่งนั้นเต็มไปด้วยความเย็นชา เขากำลังคาดคั้นคำตอบจากเสี่ยวกู้มากกว่าถามดีๆ

เสี่ยวกู้นั้นจริงๆแล้วเขาคือในเด็กเกเรที่ชอบทำร้ายจูล่งอยู่เป็นประจำ แม้เขาจะไม่ใช่แกนนำเเต่ว่า…เขากับจูล่งก็ไม่ได้ถือว่าเป็นมิตรสหายที่ดีต่อกัน... อีกทั้งถ้ามองดีๆอาจจะถือได้ว่าเป็นศัตรูคู่เเค้นกันได้ด้วย

“กระต่ายนะเหรอ? ฉันเจอมันกำลังขโมยสร้อยอยู่น่ะ เดาได้เลยว่ามันต้องมาขโมยของลักขนมในห้องพักแน่ แต่ไม่ต้องห่วงนะ ฉันจัดการมันแล้ว ฮ่าๆๆ โทษฐานที่บุกที่พักของมนุษย์ก็ต้องเจอแบบนี้แหละ”

เสี่ยวกู้ไม่ได้สนใจคำพูดของจูล่ง ในทางกลับกันเขายังชวนให้นั่งลงแล้วมากินกระต่ายกับเขาอีก จริงๆแล้ว เสี่ยวกู้ไม่ใช่คนใจแคบ เขาเเค่เกิดความอิจฉาเเละเกเรเป็นปกติของวัยก็เท่านั้น

ในวันที่เขาพบกับจูล่งเป็นครั้งแรกเขาเเค่อิจฉาอีกฝ่าย จูล่งเเต่งกายด้วยชุดสูทหรูหรา อีกทั้งเขายังมีผิวที่เนียนละเอียด น่ารักน่าชังกว่าเขามากแถมคำพูดคำจาเเต่ละคำก็บ่งบอกถึงชาติตระกูลที่ดี ซึ่งมันเป็นทุกสิิ่งทุกอย่างที่ตรงข้ามกับสิ่งที่เขามีเลยด้วยซ้ำ

เเละที่เขาถูกพ่อแม่ทิ้งก็เพราะว่าเขาไม่มีสิ่งเหล่านี้นั่นแหละ จึงทำให้เขาเกลียดเด็กชายตั้งแต่แรกพบและพยายามรังเเกทุบตีหาเรื่องเขาเท่าที่จะทำได้ แต่ทั้งหมดเขาก็ไม่ได้ทำรุนแรงจนเกินกว่าเหตุ

ดังนั้นวันนี้ที่เขาชวนจูล่งมากินกระต่ายด้วยไม่ใช่เพื่อการสานสัมพันธ์ แต่เป็นการแบ่งปันของกินในฐานะเด็กร่วมห้องพักต่างหาก

ในจังหวะนั้นเอง จูล่งก็หันไปเห็นหนังของกระต่ายที่ถูกถลกทิ้ง หนังนั้นเต็มไปด้วยคราบเลือดเเละวางไว้อยู่บนหนังสือพิมพ์เก่าๆ มันถูกขยุ้มเหมือนขยะอยู่มุมห้อง

หนังกระต่ายนั้นมีรอยปากกาเมจิกรูปดาวอยู่สามดวง…

ทันทีที่เห็นรูม่านตาของเด็กชายก็ขยายกว้างทันทีและความเย็นชาบนใบหน้าก็สลายหายไปจนสิ้น เหลือเพียงความรู้สึกว่างเปล่า ราวกับโลกใบนี้สูญสลายไปเเล้วอย่างไม่มีวันหวนกลับ

ภาพของกระต่ายน้อยในวันนั้นตั้งแต่มันยังเล็กจนเติบใหญ่ ภาพที่จูล่งป้อนอาหารให้มันกิน ภาพที่กระต่ายน้อยนอนอยู่เคียงข้างจูล่งมาโดยตลอด และภาพอื่นๆมากมาย ความทรงจำที่ดีทั้งหมดค่อยๆหวนคืนกลับมาทีละภาพ

จูล่งตกอยู่ในภวังค์ ส่วนเสี่ยวกู้คนนั้นก็ยังชักชวนไม่เลิก เขาอธิบายถึงสรรพคุณของเนื้อกระต่าย และความหายากในการที่จะได้กินออกมา

“อย่างแกคงไม่เคยกินล่ะสิ เนื้อกระต่ายน่ะอร่อย หวานและหอมมากๆ มันสามารถช่วยชูกำลังและฟื้นฟูประสิทธิภาพของท่านชายได้เป็นอย่างดี ตัวมันก็ใหญ่มากเพราะฉะนั้นในฐานะที่ฉันเป็นคนเจอ ฉันจะแบ่งให้แกสักขาหนึ่ง”

เด็กชายยังพูดไม่ทันจบ เขาก็เห็นจูล่งหันกลับมา ดวงตาของจูล่งนั้นเบิกกว้างจนดูน่ากลัว

เเต่เพราะอะไรก็ไม่รู้ แต่เด็กชายรู้สึกว่าวันนี้จูล่งไม่เหมือนเดิม ดวงตาที่เบิกกว้างของเขามันไร้ชีวิตชีวา ไม่เหมือนดวงตาที่เต็มไปด้วยความเศร้าเหมือนสมัยก่อนเลย

ยังไม่ทันที่เสี่ยวกู้จะวิเคราะห์จบ จูล่งก็ใช้หมัดขวาชกตรงมาที่ใบหน้าของเขาแล้ว

ก่อนที่เสี่ยวกู้จะทันได้รู้ตัว เขาก็ถูกชกจนลอยปลิวไปชนกับกล่องเก็บของที่อยู่มุมห้องเเล้ว

เสียงดังสนั่นเกิดขึ้นทันที บรรดาเด็กชายนับสิบที่กำลังนั่งล้อมกองไฟอยู่พวกเขาหันไปทางเสี่ยวกู้ที่กำลังบาดเจ็บด้วยสายตาที่ไม่อยากจะเชื่อ

ชั่วขณะนั้นเองเด็กทั้ง 10 คนรีบลุกขึ้นจากบริเวณรอบกองไฟหมายจะไปจัดการกับจูล่งที่จู่ๆก็มาชกใส่หัวหน้าของเขา

แต่ดูเหมือนทุกอย่างจะช้าเกินไป!

จูล่งชิงบุกเข้ามาก่อนและทยอยชกทีละคนสองคน พวกเขายังไม่ทันลุกขึ้นมาด้วยซ้ำ พวกเขาก็โดนซัดจนร่วงไปนอนกับพื้นแล้ว

ในจังหวะนั้นเอง เด็กที่ตัวใหญ่ที่สุดอย่างหลี่ซิ่วมาเห็นภาพนี้เข้า

“หยุดนะ! พี่น้องกันจะทำร้ายกันไปทำไม นายใจร้อนเกินไปแล้วนะเสี่ยวจู ทุกคนล้วนเป็นเด็กกำพร้าของที่นี่ มีของดีก็ต้องแบ่งกัน นายกินคนเดียวทั้งหมดไม่ได้”

หลี่ซิ่วนั้นเป็นเด็กกำพร้าที่อายุมากที่สุด เขาอยู่อาศัยอยู่ในสถานรับเลี้ยงมานานกว่าใครๆ ทำให้รู้จักนิสัยเด็กดีทั้งหมด ดังนั้นเขาจึงไม่ต้องถามสาเหตุแม้แต่น้อย

เขารู้ได้ทันทีว่าจูล่งต้องการเนื้อย่างเป็นของตัวเองทั้งหมด จึงได้ชกเด็กๆที่เหลือ

แต่นั่นเป็นน้ำพักน้ำแรงที่เสี่ยวกู้เป็นคนได้มา กระต่ายป่าเป็นสิ่งที่หายาก มันไม่ใช่สิ่งที่จูล่งจะมายึดไปกินคนเดียวได้

อย่างไรก็ดี ดวงตาของจูล่งนั้นว่างเปล่าอย่างมาก รูม่านตาของเขาขยายจนเกือบสุด ดวงตาของเขาไร้ชีวิตชีวา ไร้ความหวาดกลัว ไร้ความเศร้า ไร้ความดีใจ มันทำให้หลี่ซิ่วไม่รู้ว่าจูล่งคนนี้กำลังคิดอะไรอยู่

“จูล่ง  หยุดเดี๋ยวนี้! ฉันจะไปฟ้องผู้อำนวยการณ์” หลี่ซิ่วตะโกนออกไป จากนั้นก็วิ่งออกจากห้องหมายมาดจะไปฟ้องผู้ใหญ่โดยที่เขาไม่รู้ว่า…จูล่งที่อยู่ข้างหลังกำลังถือมีดขึ้นสนิมเเล้วมองมาทางเขาอยู่

******************************

ตอนพิเศษถัดไปอาจจะมาวันอาทิตย์หน้านะ ไม่ก็วันหยุดเทศกาลอื่นๆ

0 0 โหวต
Article Rating
0 Comments
Inline Feedbacks
ดูความคิดเห็นทั้งหมด