WS บทที่ 23 อุบัติการณ์ PART 1
*บูม!!!!*
ลูกไฟกระแทกพื้นอย่างรุนแรง ห้องใต้ดินได้สั่นสะเทือน เมอร์ลินได้ล้มลงบนพื้น
“แค่ก แค่ก”
ฝุ่นได้ตลบอบอวล ตัวเขาเปื้อนไปด้วยฝุ่น เขาหันไปมองที่ ๆ ลูกไฟได้กระทบกับพื้น ที่ตรงนั้นได้เกิดเป็นหลุมขนาดใหญ่ราว ๆ ครึ่งเมตร มันแสดงให้เห็นว่าพลังของมันน่ากลัวมากแค่ไหน
เมอร์ลินได้กลับไปตรวจสอบจิตใต้สำนึกของเขาอีกครั้ง เขาสังเกตเห็นว่าขอบของโครงสร้างเวทมนต์กลับกลายเป็นสีเทาอีกครั้ง ส่วนโครงสร้างเวทมนต์ยังเหมือนเดิม ยกเว้นแค่พลังเวทย์ที่อยู่ภายในนั้นไม่เหลือแล้ว
เขารู้สึกว่าเรื่องนี้มันต้องเกี่ยวข้องกับขอบสีเทาแน่นอน
หลังจากนั้นเมอร์ลินได้กลับไปตรวจสอบโครงสร้างเวทมนต์อย่างละเอียด ทำให้เขาได้พบว่า หลังจากที่เมอร์ลินร่ายคถาลูกไฟไป 3ครั้ง จะทำให้ขอบเปลี่ยนจากสีเทาเป็นสีแดง หากเขาในพลังจิตไปกระตุ้นมัน เขาจะสามารถปลดปล่อยพลังลูกไฟขนาดมหึมาออกมา มันจะรุนแรงกว่าลูกไฟปกติถึงสามเท่า
เมอร์ลินไม่รู้ว่าเพราะอะไรถึงเกิดขอบพวกนี้ขึ้นมา บางทีอาจเป็นเพราะเดอะเมทริกซได้ออกแบบโครงสร้างเวทมนต์แบบใหม่หรือเป็นเพราะเขาได้ข้ามโลกมา
แม้เขาจะไม่รู้ว่าเป็นเพราะอะไร แต่มันก็เป็นประโยชน์ต่อเขา เขาสามารถเก็บมันไว้ใช้เป็นไพ่ลับได้ ดังนั้นเมอร์ลินจึงชื่อคาถาลูกไฟที่ถูกกระตุ้นด้วยขอบสีแดงว่า ลูกไฟยักษ์ ซึ่งมันง่ายและตรงตัวดี
หลังจากที่ทุกอย่างสงบลงแล้ว เมอร์ลินก็ยังฝึกฝนคาถาลูกไฟต่อในห้องใต้ดิน
เวลาได้ล่วงเลยไปจนถึงกลางคืน เมอร์ลินไปออกมาจากห้องใต้ดินและกลับมาในห้อง
ตอนนี้เขานั่งอยู่บนเก้าอี้และกำลังพลิกตำราเวทมนต์บนโต๊ะเขียนหนังสืออย่างระมัดระวัง
โดยตำราเวทมนต์ของชายชราอีธานมีทั้งหมดสามส่วน โดยส่วนแรกพูดถึงบทนำ เรื่องราวที่มาที่ไปของพ่อมดและประสบการณ์ในการร่ายเวทย์
ส่วนที่สองเป็นเนื้อหาเกี่ยวกับโครงสร้างเวทมนต์ที่ชายชราอีธานใช้เวลาหลายสิบปีในการเพียรพยายามสร้างมันขึ้นมา
เมอร์ลินได้อ่านสองส่วนแรกเสร็จแล้วและได้สร้างโครงสร้างเวทมนต์ของเขาขึ้นมาใหม่ อย่างไรก็ตามในระหว่างที่เขาฝึกฝนคาถาลูกไฟอยู่ห้องใต้ดินนั้น เขาได้พบจุดอ่อนที่ร้ายแรงที่เขามีในตอนนี้
‘ตอนนี้พลังจิตของฉันมันน้อยเอามาก ๆ’
หากสร้างโครงสร้างเวทมนต์ได้ คน ๆ นั้นก็จะกลายเป็นพ่อมด แต่การที่จะบ่งบอกว่าใครเป็นพ่อมดที่แข็งแกร่งได้นั้น มันอยู่ที่พลังจิต ยิ่งพ่อมดมีพลังจิตกล้าแกร่งมากเพียงใด คน ๆ นั้นก็จะสามารถใช้เวทมนต์อย่างมีประสิทธิภาพได้
ซึ่งวิถีเพิ่มพลังจิตมีอยู่ทางเดียวก็คือการทำสมาธิ
ด้วยพลังจิตที่เมอร์ลินมีในตอนนี้ มันแทบจะควบคุมโครงสร้างเวทมนต์ไม่ได้ ดังนั้นจึงไม่มีประโยชน์ที่จะสร้างคาถาอันที่สองในตอนนี้ แต่ถึงอย่างนั้น เขายังเชื่อว่าชายชราอีธานคงจะทิ้งวิธีการทำสมาธิไว้ในตำราเวทมนต์
เมอร์ลินได้ค่อยพลิกหน้ากระดาษของตำราไปยังส่วนที่สาม เขาก็พบวิธีทำสมาธิเพียงไม่กี่วิธี ดูเหมือนมันจะเป็นเพียงการทำสมาธิสำหรับผู้เริ่มต้นเท่านั้น ทำให้ผลลัพธ์ของมันค่อนข้างจำกัด
โดยวิธีการทำสมาธิล้วนมีความแตกต่างเป็นเอกลักษณ์ของตัว บางอันก็มีผลการฟื้นฟูพลังจิต หากพลังจิตหมดมันจะฟื้นตัวขึ้นอย่างรวดเร็ว
ส่วนเมอร์ลินสนใจ อันที่เพิ่มพลังจิต ให้จำนวนพลังจิตที่มีเพิ่มมากขึ้น
เมื่อเลือกวิธีได้แล้ว เขาก็เริ่มทำตาม โดยเขาหลับตาและพยายามทำให้พลังจิตอยู่ในสภาวะที่สงบ
การทำสมาธินั้นต้องมีการฝึกฝนเป็นเวลานานและสม่ำเสมอเพื่อให้เห็นการเปลี่ยนแปลง
หลังจากที่เมอร์ลินพอจะเข้าใจวิธีการแล้ว เขาก็ได้ลืมตาและลึกขึ้นยืน เขาไม่ได้ตรวจสอบสถานะของพลังจิต เนื่องจากเขาไม่คาดหวังวิธีการนี้จะมีผลในทันที
*ก๊อก ก๊อก ก๊อก*
“คุณชายเมอร์ลินคะ” เป็นลูเซียที่ก๊อกประตู
“เข้ามา”
ลูเซียเปิดประตูพร้อมกับโน้มศีรษะลง “คุณชายเมอร์ลิน พ่อบ้านได้สั่งให้ฉันมาวัดร่างกายของคุณชายเพื่อตัดชุดใหม่ให้คุณชายค่ะ”
เมอร์ลินก้มลงไปมองร่างกายของเขา เขารู้สึกรูปร่างของเขาเปลี่ยนไปทำให้เสื้อผ้าดูเล็กลงเล็กน้อย คงเป็นเพราะกล้ามเนื้อที่ใหญ่ขึ้นในช่วงที่ผ่านมาไม่กี่เดือนจึงทำให้เสื้อผ้าที่เขาใส่มันคับ เคลื่อนไหวไม่ค่อยสะดวก
“เอาสิ ได้เลย”
เมอร์ลินลังเลอยู่ครู่หนึ่ง ก่อนจะตัดสินใจถอดเสื้อโค้ทออก เหลือบางเสื้อเชิ้ตตัวบางที่อยู่ท่านบนเท่านั้น เขาได้กางแขนออกและส่งสัญญาณให้ลูเซียมาวัดตัวเขา
ลูเซียเข้ามาอย่างรีบร้อน เธอเริ่มวัดความสูงของเมอร์ลินด้วยเทปวัดร่างกาย
ด้วยความที่เมอร์ลินสูงขึ้นมากในช่วงไม่กี่เดือนที่ผ่านมา จนทำให้ลูเซียเอื้อไม่ถึงศีรษะของเขา เธอได้ยืนเขย่งบนปลายเท้าและร่างกายของเธอใกล้ชิดกับเขา
ลูเซียได้เงยหน้าขึ้นขณะวัด เธอสวมชุดแม่บ้านสีอ่อนและคอเสื้อค่อนข้างกว้าง
เมอร์ลินได้เห็นผิวขาวเนียนในขณะที่ก้มหน้าลงมาเล็กน้อย
ลูเซียนั้นเป็นผู้หญิงที่สวย แม้เธอจะมีผ้ากระบนใบหน้าแต่มันก็ไม่ส่งผลต่อความสวยของเธอ กลับกันมันทำให้เธอมีสเน่ห์น่าดึงดูด
เมอร์ลินได้จ้องมองไปยังเรือนร่างของลูเซีย
แม้ว่าภายนอกปราสาทจะหนาวเหน็บ แต่เมอร์ลินกลับรู้สึกรุ่มร้อนในกายาของเขา
“เรียบร้อยแล้วค่ะ คุณชายเมอร์ลิน”
ดูเหมือนลูเซียจะรู้สึกได้ถึงสายตาที่จับจ้องของเมอร์ลิน มันทำให้เธอรู้สึกประหม่า เธอได้ถอยหลังไปโดยไม่รู้ตัส เธฮไม่กล้าสบตาเมอร์ลิน
“โอเค งั้นเธอออกไปได้แล้ว”
เมอร์ลินได้โบกมือไล่ลูเซียออกไป จากนั้นเขาเดินไปหน้ากระจกและจ้อมมองไปที่ใบหน้าของเด็กหนุ่ม เขายิ้มเล็กน้อยและพึมพำออกมา “ดูเหมือนว่าฉันจะห่างจากเรื่องพวกนี้มานานเกินไป...”
ตั้งแต่ที่เขาข้ามโลกมา เขาก็ระแวดระวังตลอดเวลาจึงทำให้ก่อนที่จะทำอะไรเขาจะพิจารณาอย่างรอบคอบ
จากนั้นเขาก็ได้พบกับเวทมนต์ ทำให้เขาได้หมกมุ่นอยู่กับมัน
แต่ยังไงร่างกายนี้ก็ยังมีอายุเพียง 16ปี ซึ่งอยู่ในช่วงวัยเจริญพันธุ์ แม้ว่าเขาจะไม่คิดอะไรแต่ร่างกายก็ตอบสนองโดยที่เขาไม่รู้ตัว
เมอร์ลินได้หยิบเสื้อโค้ทขึ้นมาสวมและลงไปที่ชั้นล่าง เขามองไปรออบ ๆ แต่ไม่พบเมซี่ส์เลย
“พ่อบ้าน เมซี่ส์อยู่ไหน”
“คุณหนูเมซี่ส์ออกไปฝึกที่โบสถ์แล้วครับ”
เมอร์ลินพยักหน้า เนื่องจากในช่วงนี้เขาได้ฝึกฝนคาถาลูกไฟมากตลอด บางครั้งก็ไม่ได้เห็นเมซี่ส์เลย เธอฝึกฝนหนักแทบทุกวัน ดูเหมือนว่าเธอจะพบอุปสรรคทำให้ยังไม่สามารถเป็นนักดาบธาตุได้ซะที
เขามีข้อมูลเรื่องนักดาบธาตุน้อยมากแต่เขาพอจะรู้มาว่าสิ่งสำคัญของนักดาบธาตุก็คือการสะสมพลังงานธาตุ
ดังนั้นเมซี่ส์ที่มีปฏิสัมพันธ์พลังธาตุไฟและโครงสร้างเวทมนต์ของเขาก็สามารถดูดซับธาตุให้ได้ เขารู้สึกว่าทั้งสองอย่างนี้มีความเกี่ยวข้องกัน
“อืม...ไว้เมซี่ส์กลับมาเมื่อไหร่ ฉันจะลองดูว่าฉันจะสามารถช่วยเธอให้เป็นนักดาบธาตุได้มั้ย”
หลังจากที่ทานอาหารเช้าเสร็จแล้ว เขาได้หยิบผ้าพันคอสีเทามาสวมและมุ่งตรงออกจากปราสาท
“คุณชายครับ คุณชายกำลังจะออกไปไหนครับ” พ่อบ้านถามด้วยความประหลาดใจ
“ฉันจะออกไปเดินเล่น”
“คุณชายรอก่อนครับ เดี๋ยวผมจะตามมอสส์มาให้”
เมอร์ลินส่ายหัว “ไม่ต้อง ฉันอยากออกไปเดินเล่นคนเดียว”
หลังจากนั้นเขาก็หันหน้าเดินออกไปนอกปราสาท โดยทิ้งให้พ่อบ้านที่ลำบากใจไว้ข้างหลัง
เมอร์ลินได้เดินเท้าอยู่พักใหญ่ ไปถึงบ้านไม้ของชายชราอีธาน เขามองดูเบื้องหน้าด้วยสายตาที่สับสน
บ้านไม้แห่งนี้ถูกทิ้งร้างอย่างโดดเดี่ยว เนื่องจากที่นี่เป็นที่อยู่ของพวกนอกรีตอันชั่วร้าย
เมอร์ลินได้เอามือสอดเข้าไปในกระเป๋ากางเกงและมองไปรอบ ๆ หลังจากที่แน่ใจว่าไม่มีใครอยู่แถวนี้ เขาได้ผลักรั้วเหล็กขึ้นสนิมและเข้าไปข้างใน
เขาถอดหมวกออกและปัดหิมะออกเบา ๆ ในขณะที่เขากำลังจะก้าวเข้าไป ทันใดนั้นเขาได้รู้สึกถึงบางอย่างอยู่ข้างใน เขาหรี่ตามองอย่างสงสัย
‘นั่นเสียงฝีเท้าใครนี่’
เขาสังเกตเห็นรอยเท้าที่ชัดเจนบนบันไดที่มันเต็มไปด้วยฝุ่น มันยังใหม่ ๆ อยู่เลย แสดงว่ามีใครบางคนอยู่ในบ้านไม้ในตอนนี้
เมอร์ลินมองขึ้นไปอย่างไม่ระมัดระวัง เขาได้ตัดสินใจเดินขึ้นอย่างเบา ๆ และให้เงียบที่สุด
*กึก กึก*
เสียงข้างบนยังคงดังอย่างต่อเนื่อง เขาได้มาถึงหน้าประตูบานหนึ่ง ตรงลูกบิดแทบไม่มีฝุ่นจับเลยราวกับว่าเพิ่งจะมีคนเปิดเมื่อไม่นานมานี้
‘นั่นใครน่ะ’
เขาไม่รีบเข้าไปข้างในทันที เขาได้มองไปรอบ ๆ และสังเกตเห็นรอยเท้าที่อยู่บนพื้นมันค่อนข้างเล็ก ราวกับรองเท้าของผู้หญิง
‘หรือว่าจะเป็นของคุณคาริซ’
หลังจากที่ชายชราได้ถูกเปิดโปงว่าเป็นพวกนอกรีต คนในเมืองแบล็กวอเตอร์แทบจะไม่กล้าเฉียดที่นี่เลย ดังนั้นคนที่น่าจะมาที่นี่นอกจากเขาแล้วก็มีแค่คาริซ
*ตึง ตึง ตึง*
ในจังหวะนั้นเอง จู่ ๆ ก็มีเสียงฝีเท้าดังขึ้นมา โดยส่งมุ่งหน้าตรงมาที่ประตูซึ่งเป็นที่ ๆ เขาอยู่
*ปัง*
เมอร์ลินรีบเข้าไปซ่อนทางซ้ายอย่างรวดเร็ว สายตาของเขาจับจ้องไปที่ประตูบานใหญ่ที่ตอนนี้ได้ถูกกระแทกเปิดออกมาอย่างรุนแรง