WS บทที่ 22 คาถาลูกไฟ
ด้านนอกปราสาทอันหนาวเย็น หิมะที่ค่อย ๆ ตกลงมาทีละเล็ก ทีละน้อยจนก่อตัวเป็นชั้นหิมะหนา
แม้ภายนอกจะหนาวเย็นเพียงแต่เมอร์ลินกลับไม่รู้สึกเช่นนั้น เขารู้สึกร้อนมากจนต้องถอดเสื้อโค้ทหนาออกมา
ในที่สุดโครงสร้างเวทมนต์คาถาลูกไฟก็ได้ปรากฏขึ้นในจิตใต้สำนึกของเขา สิ่งที่เขาจะทำต่อไปคือทดสอบความแข็งแกร่งของคาถาลูกไฟ
เขาหันไปมองรอบ ๆ ห้อง เขาไม่พบของที่จะเอามาใช้ทดสอบได้เลย ดังนั้นเมอร์ลินจึงสวมเสื้อโค้ทและออกจากห้องไป
เขาจำได้ว่าในปราสาทวิลสันที่ห้องลับใต้ดินอยู่ มีเพียงเลห์แมน วิลสัน พ่อบ้านและเขาเท่านั้นที่รู้ถึงที่ตั้งของมัน
ที่นั่นเป็นสถานที่ที่สุดในการทดสอบอย่างสมบูรณ์แบบ
เมอร์ลินตรงไปที่ห้องของเลห์แมน เขากดตรงอิฐบนผนังเบา ๆ นั่นคือสวิตช์หาทางไปห้องใต้ดิน
*ครึ่กกก*
เสียงกำแพงที่ค่อย ๆ ขยับออก ทำให้ฝุ่นที่เกาะอยู่ได้ตกลงบนพื้น
หลังจากที่เมอร์ลินรอไม่กี่อึดใจ ได้มีทางเดินมืดปรากฏบนเบื้องหน้าของเขา เขาหยิบเชิงเทียนบนโต๊ะทำงานของเลห์แมน วิลสันขึ้นมาและจุดไฟ จากนั้นก็เดินเข้าไปในทางเดิน
เนื่องจากทางเข้าที่นี่ไม่ได้ถูกใช้เป็นเวลานานจึงทำให้กลิ่นเหม็นกระจายออกมา เมอร์ลินเดินไปข้างอย่างเงียบ ๆ
เขาเดินลงไปได้ราว ๆ 100เมตร เขาก็ได้พบเชิงเทียนที่ติดอยู่ข้างผนัง เขาได้จุดมันและทำให้ทางเดินสว่างขึ้น
หลังจากที่เมอร์ลินเดินต่อไปอีกไปไม่กี่นาที เขาก็ถึงที่หมาย
ห้องใต้ดินนี้เป็นห้องโถงกว้าง มีห้องเล็ก ๆ มากกว่าสิบห้องที่จัดเก็บอาวุธ โล่และชุดเกราะมากมาย
เมอร์ลินจำได้ว่าเลห์แมน วิสสันเคยพาเขามาเมื่อตอน 10ขวบ ตอนนั้นเลห์แมนกำลังซ่อมแซมปราสาทโดยอ้างอิงโครงสร้างของป้อมปราการทางทหาร นี่จึงทำให้มีการสร้างห้องใต้ดินที่มีทางเข้าออกเพียงทางเดียว หากมีอันตรายใด ๆ ก็สามารถเข้ามาหลบซ่อนได้
หากที่นี่ได้รับการเตรียมการล่วงหน้า ที่นี่ก็จะสามารถเก็บเสบียงได้มากพอที่จะเลี้ยงคนได้ร้อยคนภายในหนึ่งปี
แต่อย่างไรก็ตาม เมืองแบล็กวอเตอร์สงบสุขไร้ซึ่งสงคราม จึงทำให้ก้องใต้ดินนี้ถูกทิ้งร้าง
แม้ที่นี่จะถูกทิ้งร้างแต่มันก็มีพื้นที่มากพอ เพื่อให้เมอร์ลินทดสอบพลังของคาถาลูกไฟ
เมอร์ลินยืนอยู่ ณ ใจกลางห้องของโถงใต้ดิน เขาเริ่มสัมผัสถึงโครงสร้างเวทมนต์ในใจของเขาอย่างเงียบ ๆ
โครงสร้างเวทมนต์ได้หมุนวนอย่างช้า ๆ พลังธาตุไฟได้ค่อย ๆ ถูกดูดเข้ามาข้างใน
พลังธาตุไฟที่ถูกดูดกลืนโดยโครงสร้างเวทมนต์นั่นคือพลังเวทย์ที่เป็นของผู้ร่ายเวทย์
ยิ่งโครงสร้างเวทมนต์อยู่นานเท่าไหร่ พลังเวทย์ก็จะยิ่งถูกสะสมและเพิ่มมากขึ้น
กล่าวคือ เมื่อพ่อมดได้สร้างโครงสร้างเวทมนต์ไว้ในใจได้เมื่อไหร่ ตัวโครงสร้างเวทมนต์จะค่อย ๆ สะสมพลังเวทย์โดยอัตโนมัติ
เมอร์ลินได้ทบทวนสิ่งที่อ่านในตำราเวทมนต์ของชายชราอีธาเกี่ยวกับขั้นตอนการร่ายเวทมนต์ มันค่อนข้างง่าย เขาต้องทำเพียงแค่กระตุ้นโครงสร้างเวทมนต์ด้วยพลังจิต
“ลูกไฟ!!!!” เมอรร์ลินตะโกน
พลังจิตได้กระตุ้นโครงสร้างเวทมนต์ คาถาลูกไฟ ในพริบตาก็ได้มีลูกไฟที่ปล่อยความร้อนอันแผดเผาปรากฏขึ้นต่อหน้าเมอร์เพียงไม่กี่เมตร
เขามองไปด้วยความอิ่มเอมใจ แต่เขายังไม่สามารถควบคุมพลังจิตได้จึงทำให้ลูกไฟสลายไปอย่างรวดเร็ว
เมื่อลูกไฟถูกสลายด้วยวิธีการไม่ถูกต้อง ทำให้เกิดกระเก็ดไฟกระจายไปรอบ ๆ
*ตูม*
ถึงแม้ว่าเขาจะล้มเหลวในครั้งแรกแต่เขาก็ไม่ยอมแพ้ เขาทบทวนความผิดพลาดและเรียกออกมาอีกลูก
ความนี้เขาสามารถควบคุมลูกไฟได้ เขาเริ่มสั่งให้มันบินไปรอบ ๆ
*ตูม!!*
ลูกไฟได้พุ่งชนกำแพงหิน แม้ลูกไฟจะมีขนาดเท่ากำปั้นแต่ดูเหมือนจะอัดแน่นไปด้วยพลังงานธาตุไฟจำนวนมาก จึงทำให้กำแพงที่แข็งแกร่งสั่นสะเทือนและเกิดหลุมตรงบริเวณที่ตกกระทบ
เขาตรงการทดสอบความสามารถของลูกไฟมากกว่านี้ เขาไปหยิบชุดเกราะหนักที่ถูกเก็บในห้องใต้ดินออกมา นี่คือชุดเกราะที่อัศวินเท่านั้นสวมใส่ มันหนามากแม้แต่หอกอันแหลมคมก็ไม่สามารถเจาะทะลุเข้ามาในเกราะได้
เขาแขวนชุดเกระไปบนผนัง เมื่อทำเสร็จแล้วเขาก็ได้นั่งลงเพื่อพักผ่อน
เนื่องจากเขาได้ร่ายคาถาลูกไฟไปถึงสองครั้ง นั่นทำให้พลังเวทย์ที่สะสมได้ถูกใช้ไปหมดแล้ว หากเขาจะร่ายมันอีกครั้งคงต่ออีกสักพัก
เมื่อมองไปที่โครงสร้างเวทมนต์ในจิตใต้สำนึกของเขา เขารู้สึกได้ว่ามันกำลังดูดซับธาตุเข้าไปอย่างช้า ๆ
“ดูเหมือนฉันจะรีบไปหน่อย ทำให้ร่ายลูกไฟได้แค่สองครั้งเท่านั้น”
สำหรับเรื่องพลังเวทย์ เมอร์ลินไม่รู้จะทำอย่างไรกับมัน เรื่องนี้มันขึ้นอยู่กับเวลาและโครงสร้างเวทมนต์ที่เหมาะสม มันไม่มีทางลัดในเรื่องนี้
หลังจากผ่านไปหนึ่งชั่วโมง พลังเวทย์ก็ได้ฟื้นตัวมาจำนวนหนึ่ง ทำให้เมอร์ลินสามารถร่ายคาถาลูกไฟได้อีกครั้ง
“ไป!!”
เมอร์ลินร่ายลูกไฟอีกครั้ง คราวนี้เขาเริ่มคุ้นเคยกับการร่ายบ้างแล้ว เขาจึงสามารถทำได้อย่างรวดเร็ว เขาควบคุมลูกไฟให้ชนกับชุดเกราะที่แขวนอยู่บนกำแพง
*ชี่!*
เสียงกระแทกไม่ดังอย่างที่เมอรลินคิดไว้แต่ตัวชุดเกราะมีรูขนาดเท่ากำปั้นทะลุผ่านชุดเกราะเข้าไปข้างในและมีควันลอยออกมาข้างนอก
เขารู้สึกทึ่งกับผลลัพธ์ แม้เขาจะรู้ว่าพลังของลูกไฟจะแข็งแกร่งแต่เขาไม่ได้คาดคิดว่ามันจะทรงพลังขนาดนี้ มันสามารถเจาะทะลุชุดหนาโดยที่หอกแหลมก็ไม่สามารถเจาะได้
“หื้ม? นี่มันอะไรน่ะ”
เขาได้ลืมตาขึ้นมา เมื่อกี้เขากำลังตรวจสอบโครงสร้างเวทมนต์ในจิตใต้สำนึก เขาพบขอบสีเทาที่อยู่ข้าง ๆ โครงสร้างเวทมนต์ที่กำลังหมุนช้า ๆ
“มันโผล่ขึ้นมาตอนไหนเนี่ย”
เมอร์ลินขมวดคิ้ว เขาจำได้ว่าก่อนหน้านี้เขาไม่เห็นขอบสีเขานี่ แสดงว่ามันต้องเกิดขึ้นเมื่อไม่นานมานี้
เขาได้กลับไปพิจารณาใกล้ ๆ และเห็นว่าครึ่งหนึ่งของขอบสีเทาได้สว่างขึ้น ในขณะอีกครึ่งหนึ่งยังเป็นสีทึบ
เขาตั้งใจจะศึกษาขอบสีเขานี่ในภายหลัง ในตอนนี้เขาต้องการทความคุ้นเคยในการร่างลูกไฟเสียก่อน
เมอร์ลินได้เสกลูกไฟชนกับชุดเกราะอีกครั้ง
“ตูม!!!!”
คราวนี้ลูกไฟได้ระเบิดไปทั่วบริเวณ ส่วนชุดเกราะได้แตกเป็นชิ้น ๆ
นี่คือผลของพลังจิต ไม่เพียงแต่บังคับทิศทางได้เท่านั้น ยังสามารถเปลี่ยนแปลงบางอย่างได้ด้วย ยกตัวอย่างเช่น เขาสามารถบังคับให้มันระเบิดได้เมื่อเข้าใกล้ศัตรูหรือจะให้มันหมุนวนและเจาะรูด้วยความร้อนสูง
ทั้งหมดนี้เป็นเทคนิคการร่ายเวทย์ ที่ต้องใช้การฝึกฝนและประสบการณ์เพื่อสามารถใช้งานมันได้อย่างหลากหลาย
เนื่องจากเขาเพิ่งสร้างโครงสร้างเวทมนต์ได้ไม่นาน หลังจากที่เขาร่ายลูกไฟไปสองครั้ง พลังเวทย์ก็ได้หมด เขาต้องหยุดพักเพื่อให้พลังเวทย์ฟื้นตัว
หากเขาฝืนร่ายเวทย์ออกไปอาจทำให้โครงสร้างเวทมนต์แตกออกจากกันและมันจะเกิดผลเสียต่อพ่อมดในทางอ้อม
ข้อห้ามได้ถุฏบันทึกโดยชายชราอีธานไว้อย่างละเอียด เมอร์ลินได้จดจำไว้อย่างขึ้นใจ
ในระหว่างที่เขาพักผ่อนนั้น เมอร์ลินก็กลับไปในจิตใต้สำนึกอีกครั้ง ตอนนี้เขาได้พบว่าขอบสีเทาได้เปลี่ยนไป มันได้เปลี่ยนไปเป็นสีแดง
เขามองไปที่มันอย่างสงสัย เขาจึงลองสัมผัสขอบสีแดงด้วยพลังจิต
*วู่มม*
หลังจากที่มันได้รับการกระตุ้นด้วยพลังจิตของเมอร์ลิน กรอบสีแดงได้ส่องแสงเจิดจ้าและทำโครงสร้างเวทมนต์ที่หมุนตัวอย่างช้า ๆ ได้หมุนเร็วขึ้นอย่างรวดเร็วและได้ทำให้พลังเวทย์ฟื้นตัวอย่างรวดเร็วด้วย
*พึ่บ*
จู่ ๆ ก็มีลูกไฟขนาดใหญ่ปรากฏขึ้นตรงหน้าเขาโดยที่เขาไม่ได้เสกมันขึ้นมา สภาพของมันดูไม่มั่นคงและพร้อมจะระเบิดได้ทุกเมื่อ
เขาจ้องลูกไฟอย่างตกใจ มันมีขนาดใหญ่ลูกไฟที่เขาเสกเมื่อกี้ 3ถึง4เท่า
“ไม่ดีแล้ว”
เมอร์ลินได้รู้สึกถึงอันตรายของมัน เขาได้สั่งมันด้วยพลังจิตให้มันชนกับพื้นทันที