Chapter 4: จิตใจที่ต่ำตม
“อย่าเลยนะครับ! คุณชายหวัง นี่มันยอมรับไม่ได้จริงๆ!” หัวหน้าหมู่บ้านตัวสั่นเทาด้วยความโกรธในขณะที่ยืนอยู่เบื้องหน้าชายวัยกลางคนที่โดนอัดจนหมดสภาพ
นักเลงกำลังจะทำร้ายหัวหน้าหมู่บ้านด้วยแต่ก็สังเกตเห็นว่าชาวบ้านทุกคนได้มารวมกันรอบตัวเขา ชาวบ้านนั้นมีจำนวนไม่ต่ำกว่าหนึ่งร้อยคน
เขายอมถอยในตอนที่เห็นสถานการณ์นี้
“จะทำอะไรหน่ะ? พวกเจ้าอยากก่อกบฏหรอ? ไม่อยากทำนาแล้วใช่ไหม!? พวกเจ้าอยากเป็นผู้ลี้ภัยรึไง!?” นักเลงคนนึงตะโกนออกมา
อย่างไรก็ตาม ไม่มีชาวบ้านคนไหนยอมถอย พวกเขาหลายคนได้คว้าอุปกรณ์ทำเกษตรของตัวเองออกมาแล้วด้วย พวกเขาดูเตรียมพร้อมที่จะต่อสู้แล้ว
ในตอนที่พวกเขากำลังจะถึงจุดแตกหักนั้นเอง เฉินชาน พ่อของเฉินเฉินก็เข้ามาขัดอย่างกระทันหัน เขาพูดด้วยน้ำเสียงทุ้มต่ำ “คุณชายหวัง ลองกลับไปถามพ่อของท่านดูสิ เขาจำเรื่องที่ภูเขาหลงซิงไม่ได้แล้วรึไง?”
สีหน้าของนายน้อยหวังเปลี่ยนไปเมื่อได้ยินคำพูดเหล่านี้
แต่เดิมแล้วตระกูลของเขานั้นเป็นเจ้าของที่ดินเล็กๆ ที่พวกเขากลายเป็นเจ้าของที่ดินใหญ่ได้ก็เพราะพ่อของเขา หวังหู่ได้ประสบความสำเร็จทางการทหาร และได้รับรางวัลเป็นที่ดินมากมายจากประเทศ
ซึ่งเครดิตส่วนใหญ่ที่พ่อของเขาสร้างนั้นอยู่ที่ภูเขาหลงซิง
ตอนนี้ชาวนาคนนี้ดูเหมือนกำลังจะบอกว่ามันมีอะไรเกี่ยวข้องกับตระกูลเขา
แต่ไม่ว่ายังไง วันนี้เขาก็ไม่สามารถทำอะไรได้ แม้ว่าชาวนากลุ่มนี้จะน่าสมเพช แต่มันเห็นได้ชัดเลยว่าพวกเขาไม่หวาดกลัวความตาย
ถ้าพวกเขาก่อเรื่องใหญ่ขึ้นมาแล้วเขาล้มเหลวที่นี่ มันก็คงจะน่าอับอายมากๆ
เมื่อคิดได้เช่นนี้ เขาก็ส่งเสียงฮึดฮัดอย่างเย็นชา “ช่างมันเถอะ! ในสามวันนี้จะมีคนมาเก็บค่าเช่าที่นี่! ถ้าพวกเจ้าจ่ายไม่ได้ ก็อย่ามาโทษข้าแล้วกันถ้าข้าทำอะไรรุนแรง จำเอาไว้ซะว่าตระกูลหวังถูกเสมอ! ไปกลับกันได้แล้ว!”
เขาจ้องเด็กสาวตัวน้อยอย่างละโมบก่อนที่จะเดินจากไป
กลุ่มนักเลงของเขาเองก็เดินตามไปต่อโดยไม่ลืมที่จะถุยน้ำลายใส่พวกชาวบ้านก่อนที่จะจากไป
…
หลังจากนั้นซักพัก ชาวบ้านก็แยกย้ายกันไปหมด ทุกคนกลับไปที่บ้านของตัวเองเพื่อพยายามคิดหาวิธีจ่ายค่าเช่าที่ดิน
เฉินชานและฉินโหลวเองก็กลับมาที่บ้าน พวกเขาทั้งคู่รู้สึกโล่งอกที่เห็นเฉินเฉินกลับมาได้อย่างปลอดภัย ฉินโหลวหยิกหูของเฉินเฉินในขณะที่บ่น “เจ้าต้องอวดด้วยรึไงว่าตัวเองวิ่งได้เร็วแค่ไหน? ครั้งหน้าห้ามออกไปเที่ยวเล่นมั่วซั่วอีกหล่ะเข้าใจไหม? ในโลกนี้มันมีคนไม่ได้อยู่เยอะ”
ในตอนที่เธอรับรู้ถึงรสนิยมของหวังเฟิง เธอก็รู้สึกว่าการปล่อยลูกชายออกไปข้างนอกด้วยตัวเองนั้นมันอันตรายเกินไป ถึงยังไงเขาก็มีหน้าตาดี!
เฉินเฉินหลบจากมือของแม่ด้วยสีหน้าเจื่อนๆ
“ข้ารู้ แต่อย่างน้อยข้าก็ได้เงินมานะครับ!”
“ว่าไงนะ!?” เฉินชานและฉินโหลวอุทานออกมาพร้อมกัน พวกเขาทั้งคู่ตื่นเต้นมาก แต่ก่อนที่จะได้ถามเฉินเฉินก็เป็นฝ่ายเปลี่ยนเรื่องก่อน
“ท่านพ่อ ที่ท่านพูดกับหวังเฟิงนี่มันหมายความว่ายังไงหรอครับ? ท่านมีความสัมพันธ์กับตระกูลหวังหรอ?”
เมื่อได้ฟังคำถามของเฉินเฉิน ใบหน้าที่เหี่ยวย่นของเฉินชานก็เผยให้เห็นความเศร้าโศกในขณะที่เขาระบายออกมา “เมื่อยี่สิบปีก่อน ข้าเคยไปเข้าร่วมกองทัพด้วยกันกับพ่อของหวังเฟิง...”
“ท่านพ่อ นี่พวกท่านทั้งสองเคยเป็นสหายร่วมรบกันมาก่อนหรอ?” เฉินเฉินถามด้วยความประหลาดใจ เขาไม่เคยได้ยินเฉินชานพูดเรื่องพวกนี้มาก่อนเลย
เฉินชานหัวเราะเยาะตัวเองในตอนที่เขาได้ฟังเช่นนี้ เขาอธิบาย “ตอนนั้นผู้อาวุโสหวังเป็นห่วงเรื่องความปลอดภัยของลูกชาย ดังนั้นเขาก็เลยบังคับให้ลูกชายของชาวนาอย่างพวกเราเข้าร่วมกองทัพด้วย เพื่อให้พวกเราคอยปกป้องหวังหู่”
“การต่อสู้ที่ภูเขาหลงซิงนั้นโหดร้ายมาก ลูกชายของชาวนาคนอื่นๆได้ตายไปเพื่อปกป้องหวังหู่ในขณะที่เขาเอาแต่ซ่อนอยู่ในที่ปลอดภัย
“หลังจากสงครามจบลง เขาก็ชิงความดีความชอบทางการทหารของข้าไปและได้รับรางวัลตอบแทนมากมาย”
“ว่าไงนะครับ? มันเป็นแบบนั้นไปได้ยังไง?” จู่ๆน้ำเสียงของเฉินเฉินก็เพิ่มระดับขึ้นมา สายตาของเขาเต็มไปด้วยความไม่เชื่อ
แม้ว่าเขาจะพึ่งมาอยู่ในโลกนี้ได้ไม่กี่ปีและมีน้อยโอกาสที่เขาได้ติดต่อกับโลกภายนอก แต่เขาก็รู้ว่าการขโมยความสำเร็จทางการทหารนั้นมันร้ายแรงแค่ไหน นี่หวังหู่กล้าทำเรื่องแบบนั้นได้ยังไงกัน?
เมื่อเห็นความสงสัยและความสับสนของเฉินเฉิน เฉินชานก็ถอนหายใจแล้วพูดต่อ “ตอนนั้น พ่อแม่ของพวกเราอยู่ในเงื้อมมือของผู้อาวุโสหวัง ไม่อย่างนั้นพวกเราจะปกป้องเขาในสนามรบอย่างเอาเป็นเอาตายแบบนั้นไปทำไมหล่ะ? ถ้าข้ากล้าพูดเรื่องขโมยความสำเร็จทางการทหารหล่ะก็ ข้าเกรงว่าปู่กับย่าของเจ้าคงอยู่ไม่ทันได้เห็นเจ้าเกิดมาดูโลกหรอก”
เฉินเฉินเงียบไปพักนึงหลังจากที่ได้ฟังเรื่องนี้
ปู่กับย่าของเขาตายไปตั้งแต่ตอนที่เขาอายุได้สองหรือสามขวบ เขาเป็นนักเดินทางท่องเวลา เพราะฉะนั้นเขาจึงมีความทรงจำเกี่ยวกับท่านทั้งสองอยู่
“ในตอนที่ปู่กับย่าของเจ้าจากไป ตระกูลหวังก็ได้กลายเป็นหนึ่งในตระกูลสำคัญของประเทศ ข้าเป็นแค่ชาวนา ข้าไม่มีอำนาจใดๆ แถมยังต้องคอยดูแลเจ้ากับแม่ด้วย ดังนั้นข้าก็เลยหยุดคิดเรื่องความสำเร็จทางการทหารพวกนั้นแล้วตัดสินใจใช้ชีวิตอย่างเรียบง่าย”
“ถ้าวันนี้นายน้อยหวังไม่ทำตัวน่ารังเกียจขนาดนี้.... ข้าก็คงไม่คิดจะพูดถึงเรื่องที่เกิดขึ้นในตอนนั้นหรอก เจ้าคงจะไม่รู้แต่ลุงของตั๋วน้อยก็คือหนึ่งในลูกชายของชาวนาที่ตายไปเพื่อปกป้องหวังหู่”
บรรยากาศในห้องเงียบสงัด
ฉินโหลวช่วยจัดผมเผ้าที่กระเซอะกระเซิงของสามี และในตอนที่เธอได้ฟังเรื่องพวกนี้ ดวงตาของเธอก็เต็มไปด้วยความรักใคร่
เธอรู้สึกตื้นตันที่สามีของเธอนั้นยอมปล่อยเรื่องทั้งหมดนี้ไปเพียงเพื่อความปลอดภัยของเธอกับเฉินเฉิน
เฉินเฉินเองก็ถึงกับพูดไม่ออก
แค่ตระกูลหวังขโมยความสำเร็จทางการทหารไปก็ถือว่าแย่พอแล้ว ตอนนี้พวกเขายังอยากทำร้ายครอบครัวที่ต้องเสียลูกชายไปเพื่อพวกเขาอีกหรอ?
พวกเขาหยาบช้าเกินไปแล้ว!
...
ยิ่งหวังเฟิงคิดถึงมันมากเท่าไหร่ เขาก็ยิ่งรู้สึกโกรธขึ้นเท่านั้น ตระกูลหวังที่ยิ่งใหญ่ของเขามาเสียท่าต่อหน้าพวกชาวนาได้ยังไงกัน!? เขารู้สึกรับเรื่องนี้ไม่ได้เลย
และพอนึกถึงเด็กสาวหน้าตาน่ารัก เขาก็ยิ่งหงุดหงิดขึ้นไปอีก เขาเร่งฝีเท้าขึ้น
ในตอนที่เขาไปถึงคฤหาสน์หวัง ก่อนที่เขาจะได้เจอหน้าพ่อของเขา เขาก็เริ่มตะโกนออกมาแล้ว “ท่านพ่อ! วันนี้ข้าถูกพวกหมู่บ้านหินรังแก แล้วก็มีชาวบ้านคนนึงที่พูดเรื่องภูเขาหลงซิงด้วย นั่นมันเรื่องอะไรกันครับ?”
ในทันทีที่เขาหยุดพูด ชายวัยกลางคนก็วิ่งออกมาจากหลังบ้านแล้วตบหน้าเขาโดยไม่ลังเล
“ไอ้ลูกไม่ได้ความ! เจ้าเห่าหอนอะไรออกมาห้ะ!?”
หลังจากตบหวังเฟิง หวังหู่ก็ปาดเหงื่อบนหน้าผาก ลูกชายไม่ได้เรื่องของเขาคนนี้สมควรโดนตบจริงๆที่กล้าพูดเรื่องภูเขาหลงซิงออกมาดังขนาดนี้!
“ท่านพ่อ! ท่านตีข้าหรอ!” หวังเฟิงจับแก้มของเขาด้วยความไม่เชื่อ
“ข้าหล่ะอยากอัดเจ้าจริงๆ!” หวังหู่ยกมือขึ้นเหมือนกับจะตบเขาอีกครั้งแต่ก็ถูกหญิงสาวที่พึ่งมาถึงได้ไม่นานนักหยุดเอาไว้
“ท่านพ่อ อย่าตีท่านพี่อีกเลยค่ะ อะไรทำให้ท่านโมโหถึงขนาดนั้นหรอคะ?”
ความโกรธของหวังหู่หายไปในตอนที่เขาได้เห็นหวังซูฉิน ลูกสาวของเขา
ลูกสาวของเขาไม่ได้ห่วยแตกเหมือนหวังเฟิง ไม่เพียงแค่เธอจะมีพรสวรรค์ในด้านศิลปะการต่อสู้ แต่จากที่เจ้าเมืองบอก ดูเหมือนว่าเธอจะมีพรสวรรค์ในการเป็นผู้ฝึกตนด้วย ศักยภาพของเธอนั้นไร้ขีดจำกัด
หวังหู่มีความสุขทุกครั้งที่ได้เห็นเธอ
“มันไม่ใช่เรื่องใหญ่อะไรหรอก เขาแค่พูดเรื่องในอดีตที่ไม่ควรพูดออกมาเท่านั้นเอง”
“เรื่องอะไรหรอครับที่ไม่ควรพูด? ท่านคุยโวเรื่องความสำเร็จของท่านที่ภูเขาหลงซิงมาตั้งหลายครั้ง!” หวังเฟิงยังคงสับสน
หวังหู่กำลังจะตบลูกชายของเขาอีก และก็ถูกลูกสาวหยุดเอาไว้ได้อีกครั้ง
“ท่านพ่อเกิดอะไรขึ้นหรอคะ? ช่วยอธิบายให้ฟังหน่อยได้ไหมคะ” หวังซูฉินถามอย่างใคร่รู้
ในตอนที่หวังหู่ได้ฟังเช่นนี้ เขาก็รู้สึกอับอายเล็กน้อย เขาดึงลูกๆทั้งสองเข้าไปในบ้าน เมื่อเข้ามาแล้วเขาถึงจะเริ่มเล่าเรื่องราวในอดีต
“ซูฉิน พวกมันก็เป็นแค่พวกชาวนา ความดีความชอบของพวกมันก็ถือเป็นความดีความชอบของข้าใช่ไหมหล่ะ? ถ้าข้าไม่ได้นำพวกมันเข้าร่วมกองทัพ พวกมันก็คงไม่มีโอกาสได้ทำเรื่องทั้งหมดนั้นหรอก!”
หวังหู่ไม่ได้ให้ค่ากับเหตุการณ์พวกนั้นเลย แถมยังไม่พูดถึงพวกลูกชายของชาวนาที่ตายไปเพื่อเขาด้วย
ในความคิดของเขา เขาสมควรได้รับทุกอย่างแล้ว ถึงยังไงสถานะของเขาก็คือขุนนาง
หวังซูฉินขมวดคิ้วในตอนที่ได้ยินเช่นนี้ แล้วพูดอย่างจริงจัง “ท่านพ่อ ทำแบบนี้มันไม่ถูกนะคะ”
ในตอนที่หวังหู่ได้ฟังลูกสาวของเขา ใบหน้าของเขาก็แดงขึ้นมาอย่างกระทันหัน เขากำลังจะเถียงกับเธอและพูดเรื่องกฏของความเคารพกับเรื่องที่สูงที่ต่ำ แต่หวังซูฉินก็พูดขึ้นมาอีกครั้งพอดี
“ถ้าเหตุการณ์นี้ล่วงรู้ไปถึงคนอื่น มันจะทำให้ตระกูลของเราเสียหายจริงๆนะคะ ท่านพ่อ ทำไมท่านไม่ทำให้มันจบไปซะตั้งแต่เนิ่นๆหล่ะ? ถ้าชื่อเสียงของตระกูลเราได้รับความเสียหาย แล้วข้าจะสามารถฝึกตนได้ยังไง? ความตายของพวกน่าสมเพชมันเทียบกับชื่อเสียงของตระกูลเราหรืออนาคตของข้าไม่ได้หรอกนะคะ! ท่านพ่อ ท่านต้องหาทางทำอะไรกับเรื่องนี้!”
เมื่อได้ยินเช่นนี้ สายตาของหวังหู่ก็แข็งทื่อ แล้วสีหน้าของเขาก็ดูชั่วร้ายขึ้นในเวลาไม่นาน