WS บทที่ 19 ตำราเวทมนต์
“เมซี่ส์?”
เมอร์ลินขมวดคิ้วในขณะที่เขาส่งสายตาถามพ่อบ้าน
พ่อบ้านส่ายหัวด้วยรอยยิ้มอันขมขื่นและพูดว่า “คุณชายเมอร์ลินพอดีคุณหนูเมซี่้ส์ได้ทราบข่าวนี้ด้วยตัวเอง ผมไม่ได้เรียนให้คุณหนูรู้”
สีหน้าของเมซี่ส์นั้นดำมืด นั่นทำให้เมอร์ลินรู้สึกปวดหัวกับสายตาที่จ้องมา เพราะในสายตาของเมซี่ส์เมอร์ลินดูเหมือนจะเป็นตัวปัญหา
เมื่อเมซี่ส์กำลังจะพูดบางอย่างออกมา เมอร์ลินจับมือเธออย่างรวดเร็วและกระซิบกลับเธอ “อย่าพึ่งพูดอะไร ค่อยพูดเมื่อเรากลับถึงบ้าน เข้าไปในรถม้ากันก่อน”
เมซี่ส์ถูกดึงโดยเมอร์ลินเข้าไปในรถม้า พ่อบ้านและมอสส์ที่นั่งอยู่หน้ารถม้าได้สะบัดบังเหียน จากนั้นก็รถม้าก็ค่อย ๆ วิ่งออกจากโบสถ์
ในรถม้าที่ไม่มีลมหนาวพัดเข้ามาจึงทำให้ภายในอบอุ่นเล็กน้อย เมซี่ส์ที่กำลังจ้องมองเมอร์ลิน ดูเหมือนเธอเหมือนอยากจะพูดอะไรบางอย่าง บางทางเมอร์ลินมีท่าทีสงบมาก
หลังจากนั้นไม่นานเมอร์ลินก็เงยหน้าขึ้นมองเมซี่ส์ “ถามมาสิ ว่าเธออยากรู้อะไร?”
เมซี่ส์ขมวดคิ้วและชักสีหน้าที่ซับซ้อน เธอก็พูดขึ้นว่า “พี่มีปัญหาอะไรรึเปล่า?”
“มันไม่ใช่เรื่องใหญ่และปัญหาก็ได้คลี่คลายแล้ว อีกไม่นานพวกโบสถ์คงจะกลับไปที่เมืองหลวงแล้ว”
เมอร์ลินกล่าวอย่างใจเย็นที่สุดเท่าที่จะทำได้
“ดีแล้วที่ไม่มีอะไร เรื่องนี้มันเกี่ยวข้องกับทางโบสถ์เทพแห่งแสงซึ่งมันเป็นเรื่องที่ใหญ่มากและท่านพ่อก็ไม่อยู่ด้วย ดังนั้นจากนี้ไปพี่ไม่ควรออกไปข้างนอกบ่อยเกินไป ฉันจะบอกกับนักดาบเปโรว่าพี่ขอลาหยุดเพราะป่วย”
เมซี่ส์กล่าวอย่างจริงจัง เธอรู้ว่าเรื่องที่เกี่ยวข้องกับโบสถ์เทพแห่งแสงนั้นไม่ใช่เรื่องเล็ก ๆ มันอาจนำภัยมาสู่ครอบครัวได้ ดังนั้นเธอจำเป็นต้องห้ามให้เมอร์ลินออกนอกบ้าน อย่างน้อย ๆ มันก็จะช่วยกันเขาออกจากปัญหา นี่เป็นทางออกที่ดีที่สุดที่้เมซี่ส์จะคิดได้
เมอร์ลินพยักหน้าเห็นด้วย "ได้ฉันจะอยู่ในปราสาทตลอดเวลาและไม่ออกไปข้างนอก”
เขาตั้งใจจะศึกษาตำราเวทมนต์ของชายชราอีธานในปราสาทอยู่แล้ว และยิ่งเมซี่ส์หาเหตุผลให้เขาไม่ต้องไปเรียนกับนักดาบเปโรก็ยิ่งเข้าทางเขาไปอีก
*กึก กึก*
รถม้ามาหยุดที่หน้าปราสาทวิลสันอย่างช้าๆ หลังจากพวกเขาเข้าไปในปราสาท เมอร์ลินสั่งให้พ่อบ้านบอกใครก็ตามที่จะมาหาเขาว่าตัวเขาไม่ได้อยู่บ้าน
หลังจากที่เขาพูดจบเมอร์ลินก็กลับไปที่ห้องของเขา
หลังจากที่เขางีบหลับพักผ่อนสั้นๆ เมอร์ลินก็เอาแหวนที่ซ่อนอยู่ใต้เตียงออกมา เมื่อเห็นแหวนเขาก็รู้สึกถึงความรู้สึกอบอุ่นที่ดึงเข้ามาในหัวใจของเขา
เขาจำได้ว่าเขาหัวใจเต้นแรงแค่ไหนในตอนนั้น หากเจสันจับพิรุธแม้แต่นิดเดียว เขาคงจะต้องตายในสถานที่ไปแล้ว
เมอร์ลินเพ่งจิตของเขาเข้าไปในแหวน หลังจากนั้นตำราเวทมนต์เล่มหนาได้ปรากฏในมือของเมอร์ลิน แต่เขายังไม่อ่านมันในตอนนี้ เขาวางตำราเวทมนต์บนโต๊ะและหันไปศึกษาแหวนแทน
“ถ้าเขาสามารถเก็บตำราเวทมนต์ไว้ในแหวนได้ มันก็น่าจะเก็บของอย่างอื่นไว้ในแหวนได้ด้วยสินะ”
เมอร์ลินคิดในใจ เขาตั้งใจจะทดสอบมัน ดังนั้นเขาจึงนำรูปประติมากรรมนูนอันลึกลับออกมา เขาได้ลองเพ่งจิตของเขาและเอามือสัมผัสแหวน
*วูบ*
ประติมากรรมนูนหายไปในพริบตา เมอร์ลินกระพริบตาเล็กน้อยและตรวจสอบพื้นที่ในแหวนด้วยพลังจิตของเขา มันเป็นไปตามคาดรูปปั้นได้เข้าไปอยู่ข้างในพื้นที่มิติของแหวนแล้ว
เมื่อรู้ว่าแหวนสามารถเก็บสิ่งอื่นได้เมอร์ลินก็รู้สึกผ่อนคลายทันที เนื่องจากประติมากรรมนูนนั้นลึกลับมาก หากใครมาเห้นเข้าคงจะไม่ดี ดังนั้นเขาควรเก็บไว้ในแหวนจะปลอดภัยกว่า
หลังจากนั้นเมอร์ลินก็คว้าตำราเวทมนต์และพลิกหน้ากระดาษเบา ๆ แม้ว่าเขาจะเคยเปิดดูมันมาก่อนแต่เขาก็อดรู้สึกประหลาดใจไม่ได้อยู่ดี
ตอนนี้เมอร์ลินต้องการศึกษาเนื้อหาในตำราแต่อย่างไรก็ตาม เขาอ่านได้เพียงไม่กี่ประโยค ก่อนจะยอมแพ้ แม้ว่าเขาจะเปิดดูหนังสือภาษามอลต้าจากชายชราอีธานดูประกอบการอ่าน เขาก็อ่านมันได้เพียงทีละประโยคเท่านั้นซึ่งมันช้าเกินไป
ดังนั้นเขาจำเป็นต้องศึกษาภาษาของมอลต้าซะก่อน อย่างน้อย ๆ เขาต้องมีรากฐานทางภาษาที่แข็งแกร่ง เขาต้องจำคำมากกว่าพันคำเพื่อที่จะเข้าใจเนื้อหาของตำราเวทมนต์
เมอร์ลินจึงนำตำราเวทมนต์กลับเข้าไปในแหวน ตราบใดที่เขายังไม่เข้าใจคำศัพท์ภาษามอลต้าได้มากกว่าหนึ่งพันคำ เขาจะไม่ยังไม่อ่านตำราเวทมนต์
…
*ตึก ตึก*
พ่อบ้านเข้ามาในห้องโถงของปราสาทวิลสันอย่างเร่งรีบ
“คุณชายเมอร์ลิน นักรบศักดิ์สิทธิ์จากเมืองหลวงได้ออกจากเมืองแบล็ควอเตอร์ไปแล้วเมื่อเช้านี้ครับ”
พ่อบ้านเผยรอยยิ้มเป็นประกาย เขาได้รับคำสั่งจากเมอร์ลินให้สังเกตนักรบศักดิ์สิทธิ์จากเมืองหลวง เมื่อพวกเขาจากไปแล้ว เขาได้รีบมารายงานให้เมอร์ลินรู้ในทันที
เมอร์ลินลุกขึ้นยืนอย่างกระทันหันและพูดด้วยเสียงเบาๆว่า "พ่อบ้าน พวกเขาไปหมดทุกคนแล้วใช่มั้ย พวกเขาได้ทิ้งคนไว้เฝ้าดูในเมืองรึเปล่า? แล้วท่านเจสันล่ะ เขาได้ออกจากเมืองไปด้วยมั้ย?”
พ่อบ้านตอบ "พวกเขาเดินทางไปทั้งหมด โดยต้นขบวนถูกนำโดยลอร์ดเจสันและทางนักรบศักดิ์สิทธิ์ได้นำสิ่งของบางอย่างไปด้วย ผมได้ยินมาว่าพวกมันสิ่งของจากบ้านของคนนอกรีตและพวกเขาก็ออกจากเมืองแบล็กวอเตอร์ไปแล้วเมื่อเช้านี้เอง ผมกลับมาหลังจากที่ได้ยืนยันข้อมูลแน่ชัดแล้วครับ”
“เยี่ยม!! ทำได้ดีมาก”
เมอร์ลินรู้สึกโล่งใจ แม้ว่าเขาจะไม่ได้ออกจากบ้านไปซักพักแต่เขาก็ยังคงสอดส่องการเคลื่อนไหวของนักรบศักดิ์สิทธิ์ที่มาจากเมืองหลวงอย่างใกล้ชิด
หลังจากแน่ใจว่าพวกเขาจากไปก็ทำให้เขารู้สึกผ่อนคลายอย่างแท้จริง
“จริงสิ ได้มีใครมาขอพบฉันบ้างไหม”
เมอร์ลินถามพ่อบ้าน
พ่อบ้านลังเลอยู่พักหนึ่งแล้วพูดว่า “เมื่อวานมีคุณชายแอนสันกับคุณชายกัตต์มาหาท่านแต่พวกเขาถูกไล่กลับไปโดยคุณหนูเมซี่ส์”
เมอร์ลินส่ายหัวด้วยรอยยิ้มอันขมขื่นและให้พ่อบ้านกลับไปพัก
ตัวเขาไม่ได้ใส่ใจเรื่องนี้แอนสันและกัตต์มากนักและเมื่อไม่มีเรื่องเร่งด่วนใดๆ เขาก็กลับไปเรียนภาษามอลต้าอย่างสงบต่อ
เมื่อไม่มีสิ่งกวนใจ มันก็ทำให้การเรียนรู้ภาษาของมอลต้าของเมอร์ลินนั้นเป็นไปอย่างรวดเร็ว ในเวลาเพียงไม่กี่วันเขาก็เข้าใจได้มากกว่าหนึ่งร้อยคำ ตอนนี้เขาจำคำศัพท์ได้ประมาณสามร้อยคำเมื่อจำนวนคำเพิ่มขึ้นก็ทำให้เขาเข้าใจภาษามอลต้ามากขึ้น
เนื่องจากคำศัพท์เหล่านี้มีความคล้ายคลึงกับคำศัพท์ที่เขาได้เรียนรู้ไปก่อนหน้านี้ จึงทำให้ความเร็วในการเรียนรู้ของเขาเพิ่มขึ้นสูงมาก
“ด้วยความเร็วประมาณนี้ ฉันคงจะเข้าใจคำศัพท์ได้มากกว่าหนึ่งพันคำได้ภายในในหนึ่งเดือน เมื่อถึงตอนนั้นฉันก็จะสามารถอ่านเนื้อหาใน ในเวลานั้นฉันสามารถจะสามารถอ่านเนื้อหาในตำราเวทมนต์ได้”
เมอร์ลินได้ตั้งตารอวันนั้น
….
ความร้อนจากเตาเผาทำให้ทั้งห้องอบอุ่น ในตอนนี้วันคืนได้ผ่านไปเป็นเดือนตุลาคม สภาพอากาศในเดือนได้หนาวเย็นไม่เปลี่ยนแปลง พื้นด้านนอกนั้นหนาวจัดและลื่นมาก ๆ เหล่าคนรับใช้ของปราสาทได้พากันตักหิมะที่เกาะตามที่ต่าง ๆ ออกเพื่อไม่ให้มันกองทับจนเป็นภูเขา
ในห้องโถงเมอร์ลินและเมซี่ส์กำลังรับประทานอาหารโดยมีขนมปังเนย โจ๊กข้าวสาลีและนมหนึ่งแก้วที่เตรียมไว้บนโต๊ะ
เมซี่ส์มองที่เมอร์ลินผู้ซึ่งกำลังรับประทานอาหารอยู่ เธอดูเหมือนจะมีบางอย่างที่จะพูดกับพี่ชายของเธอ
“ฉันอิ่มแล้วล่ะ”
เมอร์ลินใช้ผ้าเช็ดหน้าสีขาวเพื่อเช็ดปากของเขา จากนั้นเขาก็ยืนขึ้นและกำลังจะออกไปแต่เมซี่ส์ได้หยุดเขาไว้
เมซี่ส์ขมวดคิ้วและพูดว่า “เดี๋ยวก่อนพี่เมอร์ลิน”
“หื้ม มีอะไรเหรอ?” เมอร์ลินหันมามองเมซี่ส์
เมซี่วางส้อมและมีดลงแล้วเช็ดปากของเธอเธอพูดเบา ๆ ว่า “เมื่อวานนี้กัตต์กับแอนสันได้มาหาพี่ ทำไมพี่ไม่ออกไปหาพวกเขาล่ะ”
เมอร์ลินแสดงสีหน้าแปลก ๆ เมซี่ส์ที่ปกติไม่ชอบกัตต์กับแอนสัน เนื่องจากเธอคิดว่าพวกเขาจะทำให้เมอร์ลินเสียคน
แต่อย่างไรก็ตาม เขารู้สึกว่าเมซี่ส์ในวันนี้ค่อนข้างแปลกไปแต่เมอร์ลินก็ไม่ได้ใส่ใจในเรื่องนี้มากนัก เขาพูดอย่างเมินเฉยว่า “หากแอนสันกับกัตต์ไม่ได้มีธุระเร่งด่วนอะไรก็ไม่เป็นไรหรอกและอีกอย่างข้างนอกมันหนามาก ดังนั้นพี่อยู่ในปราสาทจะดีกว่า”
“เมอร์ลิน พี่อยู่ในปราสาทมานานเกินไปแล้ว นี่มันก็มากกว่าหนึ่งเดือนแล้วนะ พี่ควรออกไปเดินเล่น ผ่อนคลายสักหน่อยดีกว่า”
เมซี่ส์ได้แสดงความกังวลออกมาอย่างเห็นได้ชัด
เมอร์ลินได้ตระหนักว่า เขาขาดติดต่อกับสังคมมาสักพักแล้ว หากเทียบกับพฤติกรรมของเมอร์ลินเมื่อหน้านี้ มันดูผิดปกติมากเกินไป มันจึงทำให้เมซี่ส์แสดงความกังวลออกมา เธออาจยังคงคิดว่าเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นที่โบสถ์ได้ส่งผลกระทบบางอย่างกับเมอร์ลินอย่างรุนแรง
เมื่อคิดถึงเรื่องนี้เมอร์ลินก็ยิ้มและพยักหน้า “ได้ ฉันจะทำมัน เมื่อฉันมีเวลานะ”
หลังจากพูดอย่างนั้นเมอร์ลินก็หันหลังกลับและขึ้นไปชั้นบนในขณะเดียวกันเมซี่ส์ยังคงขมวดคิ้ว เธอกังวลเกี่ยวกับสภาพปัจจุบันของเมอร์ลิน ปกติเมอร์ลินจะไม่อยู่บ้านเลยแม้สักวันเดียว
พ่อบ้านลังเลอยู่พักหนึ่งก่อนจะพูดด้วยรอยยิ้ม“คุณหนูเมซี่ส์ ถึงแม้ว่าคุณชายเมอร์ลินจะไม่ได้ออกข้างนอก ในช่วงเวลานี้แต่เขาก็ร่าเริงตลอดเวลา มันไม่น่าจะมีปัญหาอะไรนะครับ”
หลังจากได้ยินสิ่งที่พ่อบ้านพูด ก็ทำให้เมซี่ส์ก็คลายคิ้วของเธอลง เธอสวมเสื้อโค้ทหนาและออกไปจากปราสาทอย่างรวดเร็ว
ส่วนทางเมอร์ลินได้กลับเข้าไปในห้องอย่างรวดเร็ว เขาไม่ได้ใส่ใจในคำพูดของเมซี่ส์มากนัก หากไม่มีเรื่องสำคัญจริง ๆ เขาก็จะไม่ออกจากปราสาทในช่วงเวลานี้
เนื่องจากตอนนี้เขาเข้าใจคำศัพท์ของภาษามอลต้าได้มากกว่าหนึ่งพันคำแล้ว
ดังนั้นเมอร์ลินจึงเตรียมพร้อมที่จะแปลเนื้อหาในตำราเวทมนต์ของชายชราอีธานและจะศึกษาเนื้อหาของมัน
หยิบแหวนที่เขาซ่อนใว้ใต้เตียงออกมาและเพ่งพลังจิตเข้าไปในแหวนอย่างรวดเร็ว ในพริบตาก็มีตำราเวทมนต์เล่มหนาก็ปรากฏขึ้นในมือของเมอร์ลิน
เมอร์ลินเคยเปิดหน้าอ่านตำราเวทมนต์ไปแล้วก่อนหน้านี้ แต่เนื่องจากตอนนั้นคลังศัพท์มอลต้ายังน้อยอยู่ เขาจึงไม่เข้าใจเนื้อหาของมันเลย
แต่ตัวเขาในตอนนี้ไม่เหมือนเมื่อก่อนแล้ว เขาก็หยิบตำราเวทมนต์ขึ้นมาและเปิดอ่านมันอีกครั้ง