ตอนที่แล้วบทที่ 52 ชั้นเรียนและศาสตราจารย์ II
ทั้งหมดรายชื่อตอน
ตอนถัดไปบทที่ 54 ยินดีค่ะ

บทที่ 53 ชั้นเรียนและศาสตราจารย์ III


ระหว่างเดินไปชั้นเรียนถัดไปฉันอดไม่ได้ที่จะรู้สึกหงุดหงิดกับตัวเองเล็กน้อย ฉันหมดความอดทนในตอนนั้นและต้องการแค่เอาชนะศาสตราจารย์ไกสเพื่อให้เรื่องมันจบลงอย่างรวดเร็ว การใช้เพียงคุณลักษณะของลมและดินของฉันทำให้ฉันไม่สามารถเอาชนะเขาได้อย่างง่ายดายอย่างที่ฉันต้องการ ฉันเดาว่าการที่มีพรสวรรค์มากเกินไปทำให้ฉันกลายเป็นคนโอหังเกินไป ในความเป็นจริงฉันยังไปถึงจุดสูงสุดของความแข็งแกร่งในทวีปนี้แม้ว่าฉันจะมีข้อได้เปรียบมากพอที่จะทำให้ฉันไปถึงจุดสูงสุดได้ก็ตาม ด้วยความคิดเช่นนั้นฉันจึงต้องเลิกเปรียบเทียบตัวเองกับนักเรียนในวัยของฉันและคิดให้ใหญ่กว่านี้ ความหวังเดียวของฉันคือชั้นเรียนของพวกรุ้นพี่ ชั้นเรียนนี้จะเสนอข้อมูลเชิงลึกเกี่ยวกับการจัดการมานาที่ฉันไม่สามารถเรียนรู้ได้ด้วยตัวเอง

ฉันค่อนข้างสนใจในคลาสถัดไปของฉัน มันคือ พื้นฐานของการประดิษฐ์ การประดิษฐ์สิ่งของวิเศษเป็นสิ่งที่ไม่เคยมีมาก่อนในโลกเก่าของฉัน ฉันแน่ใจว่ามันต้องมีความสัมพันธ์ที่เกี่ยวข้องกับเทคโนโลยีที่ใช้ในโลกเก่าของฉัน แต่การจัดการและการเข้ารหัสมานาเพื่อให้มีการใช้งานเฉพาะของวัตถุนั้น จะเป็นเรื่องใหม่สำหรับฉัน

เมื่อเข้ามาในห้องเรียนฉันรู้สึกประหลาดใจอย่างมากที่เห็นว่าแผนผังของห้องเป็นเหมือนกับห้องทดลอง มีบีกเกอร์ภาชนะแร่ประเภทต่างๆและอุปกรณ์ต่างๆอยู่เต็มห้องทำให้มันเหมือนห้องแลปของจริงมากยิ่งขึ้น

ฉันค่อนข้างโล่งใจที่เห็นว่าไม่มีใครที่ฉันรู้จักเรียนในชั้นเรียนนี้ทำให้ฉันรู้สึกสบายใจ เมื่อนักเรียนเริ่มยื่นเอกสารและนั่งข้างๆคนรู้จักและเพื่อนๆ เด็กผู้หญิงที่ดูจะอายุประมาณฉันก็เดินมายืนข้างๆเก้าอี้ข้างๆฉัน

“เออ...ที่นั่งนี้ถูกจองไว้แล้วหรือเปล่า? ถ้าเป็นเช่นนั้นฉัน....จะย้ายไปที่อื่น!” ฉันไม่รู้ว่าทำไมเธอถึงดูตื่นตระหนกขนาดนี้ แต่ก็อดไม่ได้ที่จะหัวเราะเบาๆ กับบุคลิกที่ไร้เดียงสาของเธอ

“ไม่...ยังไม่มีใครนั่ง คุณนั่งได้ตามที่คุณต้องการเลย” ฉันพูดด้วยรอยยิ้มที่ให้การต้อนรับและนั่งลง

ผู้หญิงคนนั้นเป็นคนธรรมดา แว่นตาทรงกลมหนาของเธอขยายดวงตาของเธอและมีกระที่อยู่ข้างใต้แว่น ผมหยิกของเธอดูเหมือนมีชีวิตของมันเองเนื่องจากถูกบังคับให้มัดเป็นหางม้าลงไปที่ด้านหลังของเธอ

เมื่อเทียบกับสาวๆ อย่างเทสและแคธลีนที่ใครๆต่างก็จ้องมอง - ด้วยเสน่ห์หา - เธอค่อนข้างเรียบง่าย แต่ด้วยเหตุผลบางอย่างมันรู้สบายใจเมื่ออยู่ใกล้ๆเธอ

“ขอบคุณ ...” เธอพึมพำพร้อมกับก้มหน้าลง “…มิลี่”

"เมื่อกี้คุณว่าอะไรนะ?" ฉันโน้มตัวเข้าไปใกล้เพื่อฟังประโยคสุดท้ายของเธอ

“เอมิลี่! ฉันชื่อเอมิลี่วัตเคน! ได้โปรดเป็นเพื่อนกับฉันด้วย - ฉันหมายถึงยินดีที่ได้รู้จัก!” ดวงตาของเธอเบิกกว้างและตะลึงกับคำพูดของเธอเอง

ฉันดูการแสดงออกของเธอก่อนที่จะหัวเราะออกมา

“ได้สิ ฉันชื่ออาเธอร์เลย์วิน” ฉันจับมือเธอและอดไม่ได้ที่จะแปลกใจกับฝ่ามือของเธอที่หยาบกระด้างเพียงใด

“โอ - โอ้ว! ฉันขอโทษ! มันรู้สึกแย่ใช่มั้ย?” เธอดึงมือที่หยาบกระด้างของเธอกลับออกไปในขณะที่ใบหน้าของเธอเปลี่ยนเป็นสีแดงเล็กน้อยโดยเน้นที่กระบนแก้มของเธอ

“ไม่มันยอดเยี่ยมทีเดียว มือของฉันก็หยาบเหมือนกัน ดูสิ?” ฉันเอาดาบออกจากมือเพื่อเผยให้เห็นก้อนเนื้อแข็งๆบนฝ่ามือของฉัน

“ว้าว…จริงด้วย! คุณต้องมาฝึกมาเยอะแน่ๆเลย! ไม่น่าแปลกใจที่คุณอยู่ในคณะกรรมการวินัย ฉันชื่นชมสิ่งนั้นจริงๆนะ! สำหรับฉันแล้วฉันรักการประดิษฐ์จริงๆดังนั้นฉันจึงจบลงด้วยการเล่นกับอุปกรณ์มากมาย น่าเสียดายที่มันทำให้มือของฉันหยาบขนาดนี้” เธอเกาหัวและพูดได้เร็วขึ้นเมื่อเธอเริ่มสบายใจมากขึ้น

"จริงๆดิ? ฉันค่อนข้างชื่นชมคนแบบคุณนะ ฉันอิจฉาที่คุณมีความมุ่งมั่นในเรื่องของการประดิษฐ์ สิ่งเดียวที่คุณจะทำได้จากการที่แข็งแกร่งขึ้นคือการทำลายล้างและการสังหาร แต่ยิ่งคุณเก่งมากขึ้นเท่าไหร่คุณก็จะสามารถสร้างสิ่งต่างๆได้มากขึ้นเท่านั้น” ฉันมองลงไปที่มือที่หยาบกร้านของตัวเอง

“ว้าว…พูดได้ซึ่งมาก” ฉันเห็นเอมิลี่ปรับแว่นตาหนาๆ ของเธอใหม่ในขณะที่เธอครุ่นคิดถึงสิ่งที่ฉันเพิ่งพูดไปในหัวของเธอ

“ฮ่าฮ่าสรุปแล้วฉันดันพูดอะไรที่ไม่ดีไปสินะ ฉันขอโทษด้วย” ชั้นเรียนเริ่มดังขึ้นพอสมควรเนื่องจากห้องเรียนเต็มไปด้วยนักเรียนที่กระตือรือร้น ซึ่งส่วนใหญ่อยู่ที่นี่ในฐานะนักเรียนสายวิชาการ

"ไม่ไม่ไม่! มันไม่ใช่อย่างนั้นเลย! มันก็แค่ไม่ใช่สิ่งที่คุณจะได้ยินทุกวันจากเด็กอายุสิบสองขวบ” เธอสะบัดมือไปมาเพื่อแสดงท่าทางว่ามันไม่เป็นไร

“คุณพูดแบบนั้นราวกับว่าคุณเองก็มีอายุไม่ถึงสิบสองขวบ” ฉันแอบขำและมองไปที่เธอ

เธอนั่งลงบนเก้าอี้แล้วถอนหายใจ “ก็จริง…เป็นเพราะว่าฉันเป็นอัจฉริยะก็ได้มั้ง ฉันไม่เข้าใจจริงๆว่าทำไมคนอื่นๆถึงพูดอย่างนั้น แต่ทุกๆคนไม่เคยว่าฉันเป็นเด็กอีกต่อไปหลังจากที่ฉันได้สร้างสิ่งประดิษฐ์สำหรับการฉายภาพสำเร็จ”

"เดี่ยวนะ? คุณเป็นคนที่ประดิษฐ์จอแสดงผลที่ใช้ในการประกาศของกษัตริย์และราชินีหรือ?” ฉันลุกขึ้นจากเก้าอี้

“อืม..จริงๆแล้วมันเป็นเพียงส่วนหนึ่งเท่านั้น…ฉันปรับแต่งบางอย่างในห้องทดลองของพ่อแม่และฉันก็ได้ออกแบบพื้นฐานให้มันเมื่อสองสามปีก่อน” เธอเกาผมหยิกของเธออีกครั้ง

จมลงไปตรงที่นั่งของฉัน ฉันหายใจเข้าลึกๆ บ้าไปแล้ว เธอได้สร้างอะไรแบบนั้นตอนที่เธออายุยังไม่ถึง 10 ขวบเลยด้วยซ้ำ!

“ฉันต้องบอกว่ามันเป็นเกียรติมากที่ได้อยู่ต่อหน้าอัจฉริยะเช่นคุณ” ฉันยิ้มเยาะให้เธอและก้มศีรษะด้วยความซื่อสัตย์

"โอ้ว...ได้โปรด...อย่าทำแบบนั้น! นอกจากนี้คุณเองก็มีชื่อเสียงมากเช่นกันคุณก็รู้!” เธอยิ้มเยาะมาที่ฉันขณะที่แว่นตาของเธอสะท้อนแสงในห้องเรียนทำให้เธอดูเหมือนนักวิทยาศาสตร์แสนชั่วร้าย

"จริงๆหรือ? ฉันพยายามอย่างมากที่จะทำตัวไม่ให้เป็นจุดสนใจ ฉันเดาว่ามันคงไม่ได้ผล” ฉันพิงศีรษะของฉันบนมือของฉัน

“หึ...แค่การเป็นหนึ่งในคณะกรรมการวินัยตั้งแต่ปีแรกก็ไม่ช่วยแล้ว”

“แต่มันก็ยังมีนักศึกษาชั้นปีที่ 1 คนอื่นๆ ที่อยู่ในคณะกรรมการด้วยนะ” ฉันถามย้ำ

“แต่ไม่ใช่มนุษย์ไง! คุณและเจ้าหญิงแคธลีนเป็นเพียงคนเดียวและเจ้าหญิงก็ได้รับการยกย่องว่าเป็นอัจฉริยะตั้งแต่เธอตื่นขึ้นมาแล้ว นั่นเลยเหลือคุณ คุณเป็นนักเรียนมนุษย์ปี1ที่ลึกลับ มีความผูกพันกับสัตว์มานาที่หน้าตาเหมือนจิ้งจอกสีขาวและไม่มีภูมิหลัง แถมยังสามารถจัดการกับศาสตราจารย์ที่เป็นนักผจญภัยรุ่นเก๋าในขั้นแกนสีเหลืองอ่อนได้อย่างสมบูรณ์” ถึงเวลานี้เธอก็โน้มตัวเข้ามาใกล้ฉันมากขึ้นเรื่อย ๆ

"อะไรกัน? คุณรู้ได้อย่างไรว่าเกิดอะไรขึ้นกับศาสตราจารย์ไกส! นั่นเกิดขึ้นเมื่อสิบห้านาทีที่แล้วเองนะ!”

“คยู!” ซิลวีสะท้อนการประท้วงที่เธอถูกเรียกว่าเหมือนสุนัขจิ้งจอกแม้ว่านั่นจะเป็นสิ่งที่เธอเป็น

“อย่าแปลกใจไปเลย! ที่นี่คือสถาบันเวทมนตร์ ข่าวสารเดินทางเร็วและข่าวซุบซิบก็ยิ่งเดินทางเร็วขึ้นไปอีก ฉันพนันได้เลยว่ามีหลายๆคนในชั้นเรียนนี้รู้แล้วว่าเกิดอะไรขึ้น” เธอยิ้มเยาะขณะที่กระดิกนิ้ว

“โอ้พระเจ้า…คุณรู้ไหมฉันสังเกตว่าตอนนี้คุณพูดได้เก่งมากเมื่อเทียบกับตอนที่คุณพูดติดอ่างเมื่อคุณเข้ามาตอนแรก” ฉันอดไม่ได้ที่จะตระหนักถึงการเปลี่ยนแปลงของบุคลิกภาพของเธอ

"เงียบน่า! ฉันก็แค่ประหม่ากับคนแปลกหน้าเท่านั้นนะ โอเคไหม? โดยปรกติฉันมักจะเข้ากับคนใหม่ๆ ได้ยาก แต่คุณแตกต่างออกไป! มันเป็นเรื่องง่ายๆที่จะทำให้ฉันสบายใจได้ เพราะเราสองคนคล้ายกันมาก” เธอกอดอกไว้เหนือหน้าอกที่แบนของเธอ

“คล้ายกันอย่างไร?” ฉันยกคิ้ว

เธอยิ้มกว้าง “เราทั้งคู่เป็นตัวประหลาดไงละ!”

ฉันกลอกตาไปที่คำตอบของเธอ แต่ก็ตระหนักได้ว่าเพราะความฉลาดของเธอสูงเพียงใดฉันจึงรู้สึกสบายใจกับเธอมากกว่าเด็กคนอื่นๆ ในวัยเดียวกัน

ขณะที่ฉันกำลังจะตอบกลับคำพูดของเธอ ประตูห้องเรียนก็เปิดออกและฉันก็เห็นใบหน้าที่คุ้นเคย

“สวัสดีชาวสามัญชนทั้งหลาย! โปรดรู้สึกเป็นเกียรติที่มีฉันศาสตราจารย์กิเดี้ยนเป็นครูของพวกนายในชั้นเรียนนี้!” นักวิทยาศาสตร์ผู้คลั่งไคล้กระโดดขึ้นไปบนโพเดียมในขณะที่แว่นตาคู่ห้อยลงมาจากคอของเขากำลังเด้งขึ้นลง

ในขณะที่เขาจ้องมองผ่านห้องเรียนด้วยสายตาที่เอื้ออาทรในที่สุดเขาก็มองมาที่เอมิลี่และฉัน

"อา! นั้นมันอาเธอร์ไม่ใช่หรือ ฉันไม่รู้มาก่อนเลยว่านายจะอยู่ในชั้นเรียนของฉัน!” เขาจับแก้มของเขาและโกหกอย่างเห็นได้ชัดทำให้ฉันถึงกับส่ายหัว

“แถมยัง...โอ้ว...เป็นเพื่อนกับคุณวัตเคนด้วย! ฉันต้องบอกว่าคุณสองคนจะเป็นทีมที่ดีเลยทีเดียว! ดีดี! ฉันเริ่มต้นวันแรกของการเรียนด้วยการแนะนำตัวเองเล็กน้อย!” เขายิ้มและเขียนชื่อของเขาด้วยตัวอักษรขนาดใหญ่ข้างหลังเขา

การบรรยายยังคงดำเนินต่อไปพร้อมกับกิเดี้ยนที่อธิบายเกี่ยวกับความโดดเด่นของเขาในชั่วโมงครึ่งต่อมา นักเรียนส่วนใหญ่รวมถึงตัวฉันเองด้วยนั้นหลับไปแล้วครึ่งหนึ่ง แต่ดวงตาของเอมิลีกลับเป็นประกายเมื่อเธอซึมซับข้อมูลทุกอย่างที่ออกมาจากริมฝีปากบางๆ ของกิเดี้ยน ฉันไม่คิดว่าแม้แต่อัจฉริยะอย่างเธอจะนับถือกิเดี้ยนในด้านการประดิษฐ์สิ่งของ นั้นทำเอาฉันแทบจะอดชื่นชมเขาไม่ได้เลย

ในขณะเดียวกันซิลวีก็นอนขดตัวอยู่บนโต๊ะตรงหน้าฉันโดยใช้แขนเป็นหมอนเมื่อจู่ๆนกเค้าแมวสีเขียวมะกอกได้บินเข้ามาจากทางหน้าต่างแหละเกาะไหล่ของฉัน

“คยู!” ซิลวีกระโดดขึ้นด้วยความประหลาดใจและคำรามขณะที่นกเค้าแมวกำลังแต่งขนตัวเองอย่างใจเย็น

“ดูเหมือนว่าผู้อำนวยการกู๊ดสกี้จะกวักมือเรียกนายเจ้าเด็กน้อย!” กิเดี้ยนเดินมาหาฉันและยักไหล่ที่ค่อม

“นายไม่ควรปล่อยให้เธอรอ ชิ้วๆ! ไปได้เลย!” เขาตบหลังฉันขณะที่เขาโม้ต่อไปว่าตัวเขานั้นยอดเยี่ยมแค่ไหน

เอมิลี่โน้มตัวเข้ามาโดยไม่แปลกใจ “ฉันบอกนายแล้วไงว่าอย่าดูถูกว่าข่าวสารมันเดินทางเร็วแค่ไหน!”

“เออ…เออ...” ฉันเดินออกจากห้องเรียนเมื่อได้ยินเพื่อนร่วมชั้นบางคนเริ่มสนทนาเกี่ยวกับสิ่งที่เกิดขึ้น

“แล้ว…สำนักงานของผู้อำนวยการซินเทียอยู่ที่ไหนกันนี้?” ฉันเกาหัวของฉัน

ราวกับว่าเขาเข้าใจฉัน นกเค้าแมวบินออกจากไหล่ของฉันและเริ่มบินไปทางขวาและโบกท่าทางให้เราเดินตาม

“คยู!” ‘ป๊าเขาอันตรายมาก!’ ซิลวี่เตือนฉัน ขนของเธอยืนขึ้นสู้

วิทยาเขตค่อนข้างว่างเปล่าเนื่องจากนักเรียนส่วนใหญ่อยู่ในชั้นเรียน ไม่ก็ฝึกอบรมด้วยตนเองหรือในหอพัก เมื่อได้พบกับทิวทัศน์ที่สวยงามของวิทยาเขตนี้ฉันก็รู้ตัวช้าไปหน่อยว่านกเค้าแมวกำลังเกาะไปที่รูปปั้นหน้าอาคารที่ฉันคิดว่าเป็นสำนักงานของผู้อำนวยการและรอให้ฉันเข้าไป

ฉันเปิดประตูและมุ่งหน้าเข้าไปข้างใน ในขณะที่นกเค้าแมวเขาเกาะอยู่บนไหล่ของฉันอีกครั้งทำให้ซิลวีส่งเสียงขู่และพยายามตบอุ้งเท้าใส่มันเพื่อเตือน

“โอ้ว อาเวียร์เป็นคนนำทางคุณมาที่นี่เป็นการส่วนตัวเลยหรอ แปลกจริงๆ…ฉันไม่เคยเห็นเขารู้สึกสบายใจกับคนแปลกหน้ามาก่อนเลย” ศาสตราจารย์กู๊ดสกี้ซึ่งนั่งอยู่หลังโต๊ะทำงานวางศีรษะบนมือของเธอขณะที่เธอมองมาที่ฉันและเธอก็ศึกษาไปที่ซิลวีเป็นพิเศษ

“คุณมีอะไรให้ผมช่วยหรือเปล่าครับ?” ฉันนั่งอยู่หน้าโต๊ะทำงานของเธอในขณะที่อาเวียร์นกเค้าแมวสีเขียวกระโดดออกจากไหล่ของฉันและเกาะอยู่ที่ขอบหน้าต่างด้านหลังซินเทีย

"ใช่ ฉันเรียนหาคุณมาที่นี่เกี่ยวกับ "การสาธิต" เล็กๆน้อยๆในชั้นเรียนของศาสตราจารย์ไกส " สีหน้าของเธอยังคงไม่สะทกสะท้านขณะที่เธอพูดถึงปัญหาที่ฉันน่าจะทำให้เธอปวดหัว

“อา…คือพอดีมันดันมีสถานการณ์บางอย่างเกิดขึ้นก่อนหน้านี้…” ก่อนที่ฉันจะอธิบายจบ ผู้อำนวยการกู๊ดสกี้ก็ยกมือขึ้นเพื่อขัดจังหวะ

“เราเพิ่งไล่ศาสตราจารย์ไกสออกจากสถาบันการศึกษาของเรา เจ้าหญิงแคธลีนเป็นคนออกมาอธิบายเหตุการณ์ทั้งหมดการส่วนตัวและบอกฉันว่าเกิดอะไรขึ้น แน่นอนว่าฉันได้ตรวจสอบคำให้การของเธอ ทุกๆคนก็เห็นพ้องต้องกันว่าศาสตราจารย์ไกสเป็นอันตรายต่อนักเรียน” เธอพยักหน้าและวางเอกสารสองสามชิ้นไว้ตรงหน้าฉัน

ว้าวเธอตัดสินใจทำอะไรได้รวดเร็วมาก เหตุการณ์นี้พึ่งเกิดขึ้นเมื่อไม่ถึงสองชั่วโมงที่ผ่านมา แต่เธอสามารถจัดการและไล่ศาสตราจารย์คนนั้นแล้ว

ราวกับว่าเธอรู้ว่าฉันกำลังคิดอะไรเธอยิ้มและกล่าวเสริมว่า “มันช่วยทำให้สิ่งต่างๆ ง่ายขึ้นเมื่อคุณมีอำนาจตัดสินใจในทุกๆเรื่องเกี่ยวกับสถาบันนี้เป็นคนสุดท้าย ฉันต้องบอกว่าฉันไม่เคยเห็นเจ้าหญิงโมโหได้เท่าวันนี้มาก่อน เมื่อเธอเข้ามาหาฉันและเธอมีสีหน้าที่ดูโกรธเล็กน้อยซึ่งตามมาตรฐานของเธอคือเธอกำลังจริงจัง คุณต้องเข้าใจว่าฉันประหลาดใจแค่ไหน โฮโฮ!” ผู้อำนวยการกู๊ดสกี้เอามือปิดปากเธอขณะที่เธอหัวเราะเบาๆ

“จริงๆเหรอ? ผมไม่คิดว่าเจ้าหญิงจะแสดงอารมณ์ได้ด้วยซ้ำ” ฉันยิ้มเช่นกัน

"ใช่ คุณคงสร้างความประทับใจให้กับเธอไม่น้อยเพราะเธอปกป้องคุณจนทำให้ศาสตราจารย์ไกสไม่มียื่นพอให้ปกป้องตัวเองเลย” เธอขยิบตาให้ฉัน

เมื่อฉันส่ายหัวอย่างช่วยไม่ได้ผู้อำนวยการกู๊ดสกี้ก็หัวเราะและตอบว่า “คุณเป็นผู้ชายที่ตรงสเปคของสาวๆเลยนะอาเธอร์ มันจะเป็นปัญหาแน่ถ้าหากคุณไปขโมยหัวใจของเจ้าหญิงทั้งสองคน! ใครจะรู้คุณอาจเป็นสาเหตุของสงครามกลางเมืองครั้งต่อไปของเราก็ได้! ฮ่าฮ่าฮ่า!”

เธอดูค่อนข้างขบขันกับบางสิ่งบางอย่างที่สามารถทำลายความสงบสุดของทวีปได้ ฉันอยากจะละทิ้งความคิดนี้ แต่เมื่อฉันนึกภาพเจ้าหญิงทั้งสองต่อสู้กัน ฉันถึงกับตัวสั่น ฉันไม่มีความสามารถทางจิตใจพอที่จะรับมือกับเจ้าหญิงแต่คนเดียวนับประสาอะไรกับสองคน

“คุณรู้ไหมว่าการแต่งงานตอนอายุสิบสี่หรือสิบห้าปีนั้นไม่ถือว่าเด็กเกินไป ฉันแน่ใจว่าเทสเซียจะพัฒนาเป็นหญิงสาวที่ดีมากในตอนนั้น” เธอแกล้งฉันยิ่งกว่าเดิม

"ไม่เป็นไรแต่ขอบคุณครับ ผมยังไม่อยากผูกตัวเองกับเรื่องโรแมนติกในตอนนี้ นอกจากนี้พวกเขายังเป็นเด็ก บางทีผมอาจจะเริ่มคิดถึงเรื่องนี้เมื่อเด็กพวกนั้นโตขึ้นอีกสักหน่อย” ฉันยักไหล่

ผู้อำนวยการเอนไปข้างหน้าและศึกษาฉัน “โฮโฮ...วิธีที่คุณพูดมันทำให้ฉันคิดว่าคุณเป็นผู้ใหญ่ที่โตเต็มวัยแล้วนะอาเธอร์”

“อืมคุณต้องยอมรับว่าผมดูเป็นผู้ใหญ่มากกว่าคนอายุเท่ากัน” ฉันตอบพร้อมเอนหลังพิงเก้าอี้

“จริงอยู่ แต่พวกผู้หญิงมักจะโตเร็วกว่าพวกผู้ชายนะ” ผู้อำนวยการกู้ดสกี้กล่าวถึงข้อเท็จจริง

“ผมยังสงสัยว่าทำไมผมถึงถูกเรียกให้มาที่นี่ ผมแน่ใจว่าคุณไม่ได้พาผมมาที่นี่เพื่อบอกให้ผมเลือกใครสักคนแล้วแต่งงานกับเธอนะ” ซิลวีกระโดดออกจากหัวฉันแล้วไล่ตามอาเวียร์ซึ่งกำลังเลียขนตัวเองอยู่ที่หน้าต่าง

“อาเธอร์! ฉันรู้สึกว่าคุณกำลังเห็นฉันเป็นคนที่ชอบมีอะไรแอบแฝงอยู่เสมอ” เธอดูไม่พอใจ

“ฮ่าฮ่า! แน่นอนสิครับ เพราะเรามีความคล้ายคลึงกันอย่างมากในเรื่องนั้นนะผู้อำนวยการ” ฉันให้เธอขยิบตาทำให้เธอยิ้มเช่นกัน

"ไม่นะ หากเป็นเช่นนั้นฉันเชื่อว่าฉันได้ตัดสินใจถูกแล้ว” เธอตอบ

“คุณหมายถึงอะไร?”

“อาเธอร์คุณคิดอย่างไรเกี่ยวกับการเป็นศาสตราจารย์ประจำชั้นเรียน การจัดการมานาเชิงปฏิบัติ” เธอพนมมือและศึกษาการแสดงออกของฉัน

ตาของฉันเบิกกว้าง “คุณไม่ได้พูดจริงจังใช่ไหม?”

“โอ้ฉันค่อนข้างจริงจังเลยละอาเธอร์” เธอพูดด้วยสีหน้าที่ไม่เปลี่ยนแปลง

“ผมได้รับอนุญาตด้วยหรือ? ผมเป็นนักเรียนที่ยังเรียนไม่จบในวันแรกเลยด้วยซ้ำ ผมสามารถเป็นนักเรียนและศาสตราจารย์ในเวลาเดียวกันได้หรือ? แล้วชั้นเรียนอื่นๆ ของผมล่ะ?” ฉันเริ่มโต้แย้งด้วยเหตุว่ามันจะไม่เวิร์ค

“ได้โปรดอย่าเพิ่งโมโหไป มันค่อนข้างง่ายจริงๆแล้ว ส่วนคุณได้รับอนุญาตหรือไม่? ใช่ตราบเท่าที่ฉันบอกว่าได้ แม้ว่าสถานการณ์เฉพาะนี้จะไม่เคยเกิดขึ้นมาก่อน แต่ก็มีกรณีของรุ้นพี่ที่เก่งเป็นพิเศษได้มาช่วยสอนหลักสูตรขั้นพื้นฐานให้กับชั้นเรียนอื่นๆ กำหนดการของคุณจะไม่เปลี่ยนแปลงไปเลย คุณจะสอนในชั้นเรียนนั้นในช่วงเวลานั้น” เธอยิ้มให้ฉันด้วยรอยยิ้มของนักธุรกิจ

ฉันเริ่มคิดว่าผู้อำนวยการกู๊ดสกี้ไม่ได้ทำสิ่งนี้เพื่อผลประโยชน์ของเธอ เธอจะต้องได้รับการร้องเรียนมากมายจากผู้ปกครองของชนชั้นสูงที่ประท้วงว่าทำไมนักเรียนปีแรกถึงกลายมาเป็นอาจารย์สอนในชั้นเรียน ในทางกลับกันฉันจะมีเวลาว่างมากขึ้นเพราะการสอนหลักสูตรนี้แทบจะไม่มีงานอื่นนอกจากในชั้นเรียนเลย

“ผมไม่เข้าใจว่าทำไมคุณถึงทำแบบนี้ครับ ผู้อำนวยการ”

“อืมก็ต่ำแหน่งมันว่างพอดีและคุณเองก็เป็นคนที่เอาชนะศาสตราจารย์คนนั้นได้ นั่นทำให้คุณมีคุณสมบัติเพียงพอไม่ใช่หรือ? นอกจากนี้ฉันไม่ได้ทำสิ่งนี้โดยมีเจตนาแอบแฝงนะอาเธอร์ คุณไม่ต้องสงสัยมากจนเกินไป มันขึ้นอยู่กับคุณ ฉันจะไม่ผลักดันคุณในเรื่องนี้ แต่ฉันเชื่อว่ามันจะเป็นโอกาสดีที่จะสร้างที่ยืนให้กับตัวเองโดยไม่ต้องไปเอาชนะอาจารย์คนอื่นๆ หากคุณสนุกกับการสอนหลังจากภาคเรียนนี้ฉันก็สามารถมอบชั้นเรียนเพิ่มให้ได้! ฉันแน่ใจว่าถึงจะมีชั้นเรียนที่ค่อนข้างจำกัดแต่ก็น่าจะมีจำนวนมากพอที่คุณจะสอนได้อยู่ดี” เธอหัวเราะเบา ๆ

ผู้อำนวยการกู๊ดสกี้ยืนขึ้นและวางมือบนไหล่ของฉันอย่างอ่อนโยน “ทางเลือกเป็นของคุณ”

0 0 โหวต
Article Rating
0 Comments
Inline Feedbacks
ดูความคิดเห็นทั้งหมด