บทที่ 51 ชั้นเรียนและศาสตราจารย์
“นั้นไม่ใช่หนึ่งในเจ้าหน้าที่ของคณะกรรมการวินัยคนนั้นเหรอ ฉันคิดว่าเขาชื่ออาเธอร์ใช่ไหม”
“เขาเพิ่งอยู่แค่ปีแรกเท่านั้นเอง เขาได้รับเลือกให้เป็นคนในคณะกรรมการวินัยได้ยังไง? เขามีเส้นสายหรืออะไร?”
"อย่าโง่ไปหน่อยเลยน่า แม้ว่าเขาจะมีคนรู้จัก แต่ฉันได้ยินมาว่าทุกคนจากคณะกรรมการวินัยต้องแข็งแกร่งจริงๆ”
“แถมเขายังหน้าตาน่ารักใช่เล่น”
“ใช่เขาตรงสเปคของฉันเลย”
“สุนัขจิ้งจอกสีขาวตัวนั้นที่อยู่บนหัวของเขาก็น่ารักด้วย!”
ฉันนั่งหันหลังให้ห้องเรียนโดยมีอาไลจาห์อยู่ข้างๆ เสียงพึมพำอย่างต่อเนื่องและเสียงกระซิบที่สะท้อนกับผนังทำให้หัวของฉันมึน ศาสตราจารย์ประจำชั้นเรียนพื้นฐานทฤษฎีเวทมนตร์ยังมาไม่ถึงทำให้การอภิปรายในพิธีเช้านี้ดำเนินต่อไปอย่างไม่หยุดยั้ง
“ดูสิว่าคุณคณะกรรมการวินัยได้รับความนิยมขนาดไหน” อาไลจาห์สะกิดศอกฉันพร้อมกับยิ้มเยาะเย้ยหยัน
ก่อนที่ฉันจะมีโอกาสตอบ คนที่ฉันคิดว่าเป็นศาสตราจารย์เดินเข้ามาด้วยความมั่นใจ
ศาสตราจารย์ของเราดูยังเด็กมาก - อย่างมากก็ในวัยสามสิบกลางๆ เขามีผมสีน้ำตาลที่แยกออกจากกันอย่างเรียบร้อยและมีสไตล์ ใบหน้าของเขาเกลี้ยงเกลาเผยให้เห็นกรามแคบ เขาเป็นคนที่ผอมแต่ก็ไม่ได้ผอมจนไม่มีรูปร่าง สัดส่วนของเขากำลังพอดีสำหรับคอนเจอะเรอร์ซึ่งฉันสามารถบอกได้ด้วยไม้กายสิทธิ์ที่รัดอยู่ข้างตัวเขา
เขาใช้แฟ้มเอกสารที่เขาถือเป็นเหมือนกับค้อนในสภา เขาโยนมันลงบนโพเดียมก่อนที่จะพูด “เอาละเอาละ…ฉันรู้แล้วว่ามีเรื่องวิเศษมากมายที่ทุกคนอยากจะพูดถึง แต่พวกคุณไม่ถนัดเรื่องการนินทาเอาซะเลย ถ้าหากมีคนที่กำลังเป็นหัวข้อนั่งอยู่ในห้องนี้และได้ยินสิ่งที่คุณพูดแสดงว่ามันก็ไม่สามารถเรียกได้ว่าเป็นการนินทาแล้วใช่ไหม?” เขามองมาในทิศทางของฉันและขยิบตาให้ฉันทำให้ฉันส่ายหัวด้วยความพ่ายแพ้
นักเรียนที่ซุบซิบนินทาบางคนถึงกับหดตัวลงด้วยความอับอาย แต่นักเรียนส่วนใหญ่กลับหัวเราะ
“ฉันชื่อศาสตราจารย์เอวีสและฉันต้องบอกว่าฉันดีใจมากที่ได้พบพวกคุณทุกคน แม้ว่านี่จะเป็นคลาสพื้นฐานทางเทคนิคและบางคนอาจคิดว่ามันไม่จำเป็น แต่ในทางกลับกันฉันเชื่อว่าคลาสนี้จะเป็นพื้นฐานให้คุณเป็นนักเวทย์ที่ยอดเยี่ยม เราจะไม่ทำการร่ายเวทย์มากนัก แต่จะมีการมอบหมายงานและโปรเจกต์สนุกๆ ตลอดทางดังนั้นตั้งหน้าตั้งตารอได้เลย!”
ด้วยคำพูดนั้นทั้งชั้นเรียนก็ส่งเสียงครวญครางขณะที่คิดถึงตอนที่ต้องทำโครงงานส่ง ฉันนึกไม่ออกเลยว่าเขาจะมอบโครงการอะไรให้เด็กอายุสิบสองถึงสิบสี่ปีทำ แต่มันควรจะไม่ใช่อะไรที่ยากเกินไป
“ในเหตุนั้นฉันคิดว่าวันนี้เป็นวันที่ดีที่จะเริ่มเรียนกัน! เราไม่ได้เด็กลงในทุกๆวันดังนั้นเรียนรู้ให้ได้มากเท่าที่จะทำได้ในขณะที่สมองของพวกคุณยังสดอยู่! หยิบสมุดและอุปกรณ์การเรียนของคุณออกมา!” ใบหน้าบางของเขาเหี่ยวย่นขณะที่เขายิ้ม
อาไลจาห์ปรับแว่นตาของเขาและหยิบสมุดบันทึกและปากกาใหม่ออกมาทันทีในขณะที่เขียนหัวข้อและวันที่ของวันนี้อย่างกระตือรือร้น
ฉันแค่โน้มตัวไปข้างหน้าและวางคางไว้บนมือขณะที่ฉันเริ่มฟัง
“หัวข้อในวันนี้จะมุ่งเน้นไปที่การแบ่งแยกระหว่างคอนเจอะเรอร์และออกเมนเตอร์!” เขาเขียนอย่างยุ่งเหยิงบนกระดานดำ “มีความเชื่อที่ไม่ดีได้ฝังลึกโดยเหล่าคอนเจอะเรอร์ว่านักเวทย์สายออกเมนเตอร์เป็นพวก ‘สัตว์เดรัจฉาน’ หรือ ‘คนป่าเถื่อน’ ที่สามารถต่อสู้ได้โดยทำให้ตัวเองดูเละเทะเท่านั้น” เขาใช้นิ้วของเขาวาดไปในอากาศ “นี่เป็นตราบาปสำหรับคนที่ไม่ได้รับการศึกษาเท่านั้น ทุกคนควรกำจัดความคิดนี้ทิ้งลงตรงนี้และเดี๋ยวนี้ซะ” เขาโน้มตัวไปข้างหน้า ใบหน้าของเขาเปลี่ยนไปเป็นจริงจัง
คำพูดของเขาทำให้เกิดข้อโต้แย้งเล็กน้อยจากเด็กนักเรียนแต่บางคนก็ยอมรับมัน
“จากมุมมองของผู้ร่ายเวทย์มันเป็นเรื่องโง่ที่จะบอกว่าเราอยู่เหนือกว่านักเวทย์สายออกเมนเตอร์เพราะร่างกายของเราเหมาะกับการดึงดูดมานาจากระยะไกลมากกว่าเนื่องจากนี่เป็นข้อได้เปรียบที่เรามีในขณะที่เราอยู่ในระดับที่ต่ำเท่านั้น” เขาขีดเขียนประเด็นสำคัญบางอย่างบนกระดานดำ “เมื่อแกนมานาของนักเวทย์ทั้งสองสายนั้นอยู่ในขั้นสีเงิน ความสามารถในการจัดการมานาจะไม่ถูกจำกัดมากนัก ความแตกต่างระหว่างการใช้มานาจากเส้นเลือดและช่องมานาจะมีน้อยลงเนื่องจากความบริสุทธิ์ของมานาที่ผลิตจากแกนมานาของเราทำให้เราสามารถจัดการกับมานาได้อย่างอิสระทั้งจากระยะไกลและโดยตรง” เขาขีดเส้นใต้ "จากระยะไกล" และ "โดยตรง" ในขณะที่วนรอบประเด็นนั้น "ความแตกต่างเล็กน้อย"
ฉันได้ยินว่าอาไลจาห์ร้อง ‘โอ้ว’ เพราะเขาเข้าใจมันและจดมันความลงในสมุดบันทึกของเขาอย่างโกรธเกรี้ยว
อืม…ศาสตราจารย์คนนี้อย่างน้อยเขาก็รู้ว่าเขากำลังพูดถึงเรื่องอะไร ในขณะที่ฝึกฝนฉันก็ตระหนักมากขึ้นเรื่อยๆ ว่ายิ่งฉันไปถึงขั้นที่สูงขึ้นความแตกต่างก็ยิ่งมีน้อยลง
“งั้นบอกชั้นสิ หากในท้ายที่สุดแล้วนักเวทย์ทั้ง 2 คน - คอนเจอะเรอร์หนึ่งคนและออกเมนเตอร์หนึ่งคน ทั้งคู่อยู่ในขั้นแกนสีเงินใครจะเป็นฝ่ายได้เปรียบ? ฉันบอกได้อย่างหนึ่งว่ามันก้ำกึ่งกันหรือไม่แน่ออกเมนเตอร์จะเป็นฝ่ายที่ได้เปรียบ” คำพูดนี้ทำให้เกิดการประท้วงดังขึ้นจากนักเรียน
“ก่อนที่คุณจะถามฉันให้คิดเกี่ยวกับเรื่องนี้ก่อน ในขั้นสีเงินสมมติว่าเราทั้งคู่มีทั้งพรสวรรค์และโชคที่จะไปถึงขั้นนั่น ทั้งคอนเจอะเรอร์และออกเมนเตอร์ก็ต่างฝึกฝนและพัฒนาเวทมนตร์ในรูปแบบของพวกเขาเอง อย่างไรก็ตามออกเมนเตอร์ได้รับการฝึกฝนในการต่อสู้ด้วยมือเปล่า การเสริมร่างกายของพวกเขาควบคู่ไปกับทักษะของพวกเขาตั้งแต่ช่วงเวลาที่พวกเขาตื่นขึ้นมาซึ่งโดยปกติจะอยู่ในช่วงวัยก่อนวัยแรกรุ้น ในขณะที่ออกเมนเตอร์แข็งแกร่งขึ้นเรือยๆและไปถึงช่วงท้ายของแกนมานาเขาจะพัฒนาทักษะระยะไกลต่อไปแม้ว่าในตอนนี้มันอาจจะด้อยกว่าคอนเจอะเรอร์ก็ตาม อย่างไรก็ตามเมื่อออกเมนเตอร์เข้าใกล้จุดสุดยอดในการพัฒนาแกนหลักของเขามากขึ้นเรื่อยๆ การร่ายเวทย์จากระยะไกลจะกลายเป็นธรรมชาติมากขึ้นเรื่อยๆ และยังคงรักษาทักษะในการต่อสู้ของเขาไว้ได้อย่างเป็นธรรมชาติ ฉันถามอีกทีว่า…เหล่าคอนเจอะเรอร์เป็นนักเวทย์ที่สูงส่งและโดดเด่นกว่าจริงๆหรือ?”
“นักเวทย์สมัยเก่าบางคนยังคงเชื่อว่าคอนเจอะเรอร์ยังคงเป็นผู้ที่ควบคุมมานาได้โดดเด่นกว่า แต่ผู้อำนวยการซินเทียพร้อมกับบุคคลที่มีอิทธิพลอื่นๆ อีกมากมายในทวีปนี้พยายามหาวิธียับยั้งความเชื่อนี้ ฉันขอวิงวอนให้ทุกๆคนเก็บความจริงนี้ไว้ในใจ ส่วนนักเรียนที่เป็นออกเมนเตอร์ก็อย่าเพิ่งดีใจจนเกินไปเพราะได้ยินเรื่องนี้ เพราะว่าในตอนนี้พวกคุณยังคงเสียเปรียบเมือเทียบกับนีกเวทย์สายคอนเจอะเรอร์ ส่วนนักเรียนสายคอนเจอะเรอร์ก็อย่ามัวแต่เสียใจกับเรื่องนี้และพัฒนาทักษะการต่อสู้ของคุณซะ แม้ว่าพวกคุณจะเสริมการป้องกันร่างกายด้วยมานาได้ยากโดยธรรมชาติแล้ว แต่ก็ไม่ได้หมายความว่ามันจะไม่มีวิธีอื่นที่จะสามารถเสริมสร้างร่างกายของพวกคุณได้ ดังนั้นเรียนรู้วิธีการต่อสู้แบบตัวต่อตัวซะ” เขาปิดโน้ตและหยุดพูด เขาทิ้งช่วงเวลาแห่งความเงียบไว้ให้เราวิเคราะสิ่งที่เพิ่งได้ยิน
"มีคำถามเพิ่มเติมไหม?" เขาพูดเบา ๆ และยิ้มให้เราอย่างจริงใจ
มือของอาไลจาห์พุ่งขึ้นทันทีและศาสตราจารย์ก็ชี้ไปที่เขาเพื่อให้เขาถาม
“ศาสตราจารย์ครับ ถ้าสิ่งที่คุณพูดเป็นความจริงอะไรจะเกิดขึ้นระหว่างนักเวทย์ทั้งสองประเภทเมื่อพวกเขาไปถึงขั้นสีเงินหรือสูงกว่านั้น?” เขาถามอย่างจริงจังไม่ใช่ในสภาพหนุ่มน้อยหิวกระหายสาวๆตามปกติในสายตา
“เป็นคำถามที่ดี… อาไลจาห์ไนท์” เขามองลงไปที่บันทึกของเขาก่อนที่จะตอบ “ผลลัพธ์ที่ได้คือนักเวทย์สองคนที่มีสไตล์การต่อสู้ที่แตกต่างกัน คอนเจอะเรอร์ในขั้นตอนนี้จะสามารถเสริมร่างกายของพวกเขาด้วยมานาได้เช่นเดียวกับออกเมนเตอร์ที่ทำได้ตอนอยู่ขั้นแรกๆ แต่รูปแบบการต่อสู้ของพวกเขาจะเอนเอียงไปทางการต่อสู้ระยะไกลมากกว่า ซึ่งมันจะประกอบไปด้วยคาถาหลายชั้นเพื่อหลอกล่อและทำร้ายสมาธิของออกเมนเตอร์ที่เชี่ยวชาญมากขึ้นถ้าพวกเขาอยู่ในระยะที่ใกล้” เขาเขียนประเด็นสำคัญบางอย่างไว้ในคำอธิบายของเขา
“สำหรับออกเมนเตอร์ในขณะที่คาถาระยะไกลจะกลายเป็นธรรมชาติมากขึ้นสำหรับพวกเขาในขั้นตอนนี้ พวกเขามักจะเอนเอียงไปที่การต่อสู้ระยะใกล้มากกว่าและใช้เวทย์มนต์อย่างตรงไปตรงมามากกว่า อย่างไรก็ตามออกเมนเตอร์นั้นไม่คุ้นเคยกับการต่อสู้จากระยะไกลเหมือนกับคอนเจอะเรอร์ที่จะถอยออกห่างจากภัยคุกคามระยะใกล้และเตรียมเวทย์มนตร์หลายชั้นผ่านการร่ายหลายครั้งด้วยการการร่ายอย่างต่อเนื้อง” เขาวนคีย์เวิร์ดให้เราจำอีกครั้ง
อาไลจาห์พยักหน้าด้วยความเข้าใจในขณะที่เขาเขียนมันอีกครั้ง มันเกือบจะเป็นคำต่อคำในสิ่งที่ศาสตราจารย์เพิ่งอธิบายไป
ชั้นเรียนจบลงด้วยคำถามเล็กๆน้อยๆ อีกสองสามข้อจากเพื่อนร่วมชั้นหลายคน ขณะที่หอระฆังยักษ์ดังขึ้นศาสตราจารย์ก็สรุปการสนทนาและเราก็เตรียมตัวสำหรับชั้นเรียนต่อไป
“เจอกันตอนเที่ยงไหม?” อาไลจาห์ถามขณะเก็บกระเป๋า
“ได้สิ ใครถึงที่นั่นก่อนก็จองคิวให้ด้วยนะ” ฉันตบหลังเพื่อนก่อนจะเดินออกไปทางประตู
ขณะที่ฉันเดินผ่านห้องโถงที่มีผู้คนหนาแน่นฉันสัมผัสได้ถึงการจ้องมองและนั้นคือหลังจากที่พวกเขาจำรูปร่างหน้าตาและเครื่องแบบของฉันได้ ระหว่างทางไปชั้นเรียนถัดไปของฉันซึ่งก็คือการจัดการมานาเชิงปฏิบัติฉันตระหนักว่ามีนักเรียนไม่น้อยที่มีพันธะกับสัตว์มานา ส่วนใหญ่ไม่ค่อยน่าประทับใจ เช่นหนูเขาที่ฉันเห็นบนไหล่ของนักเรียน แต่ก็มีสัตว์มานาที่ตัวค่อนข้างใหญ่ที่นักเรียนพวกนั้นถึงกับภาคภูมิใจ เด็กชายคนนี้ที่ดูเหมือนจะอายุราวๆ 15 ปีกำลังขี่จิ้งจกยักษ์และเชิดคางของเขาออกอย่างภาคภูมิใจ ฉันไม่รู้ด้วยซ้ำว่าจิ้งจกตัวนั้นเรียกว่าอะไร แต่จากจำนวนมานาที่มีอยู่ภายในแกนสัตว์มานาของมันมันไม่สามารถข้ามระดับ C ไปได้
เมื่อมาถึงชั้นเรียนถัดไปฉันสังเกตว่าแผนผังของห้องนี้แตกต่างกันมาก มันมีรูปร่างเหมือนสนามประลองขนาดเล็กโดยมีลานต่อสู้อยู่ตรงกลางล้อมรอบด้วยสนามกั้นและแถวที่นั่งล้อมรอบ
ฉันเดินสุ่มๆและนั่งลง ‘หนูหิวแล้ว’ ซิลวี่บ่นขณะที่เธอเริ่มทุบหัวของฉันอย่างกระวนกระวาย 'ใช่ฉันก็ด้วย; เวลาของอาหารกลางวันยังอีกนาน อยากจะไปหาอะไรกินเองมั้ย? 'ซิลวี่พยักหน้าและลนลานออกไปด้วยความเร็วที่ทำให้ฉันต้องตกใจ เธอทำอะไรได้รวดเร็วอย่างน่าประหลาดใจเมื่อพูดถึงอาหาร
มีนักเรียนจำนวนมากขึ้นเรื่อยๆ หลังจากผ่านไปไม่กี่นาที ในขณะที่ส่วนใหญ่เป็นนักเรียนชั้นปีหนึ่ง แต่ก็มีปีที่สองที่ตัดสินใจลงเรียนชั้นเรียนนี้ในภายหลัง
“ฉันขอนั่งตรงนี้ด้วยได้ไหมค่ะ?” ฉันหันหน้าไปหาคาธิเลน์ในชุดคณะกรรมการวินัยที่ยืนอยู่ข้างๆฉัน
“ได้สิ” ฉันหยิบกระเป๋าที่วางไว้บนที่นั้งข้างๆเพื่อให้เธอนั่ง การแสดงออกของเธอไม่เปลี่ยนไป แต่เธอโค้งคำนับให้ฉันเล็กน้อยก่อนจะเอาสมุดโน้ตออกแล้วค่อยๆยืดกระโปรงของเธอออกอย่างระมัดระวังก่อนจะนั่ง
“ดูสิว่าใครอยู่ที่นี่! ถ้าไม่ใช่เจ้าหญิงคาธิเลน์และคู่แข่งของฉันอาเธอร์เลย์วิน” จากหน้าประตูเฟย์ริธเดินมาหาคาธิเลน์และฉันอย่างมั่นใจ
เขากลายมาเป็นคู่แข่งของฉันตั้งแต่เมื่อไหร่…และคู่แข่งในเรื่องอะไรกันแน่?
“ไม่เสียงดังเกินไปหน่อยหรือไง?” ฉันเเอาหัวของฉันวางไว้บนมือของฉันขณะที่มองไปที่เขา
“วันนี้เป็นเช้าที่ดี พิธีเริ่มต้นในวันนี้ไม่ทำให้นายตื่นเต้นเลยหรือ?” เขากระวนกระวายในขณะที่เขาเข้ามานั่งลงตรงอีกด้านหนึ่งของฉัน
ทำไมเขาถึงมานั่งข้างๆฉัน ฉันนึกว่าเขาไม่ได้ชอบฉันสักเท่าไหร่
“ถึงจะสายไปหน่อย แต่ในทางเทคนิคมันก็ยังเป็นเวลาตอนเช้าอยู่ดี…อรุณสวัสดิ์!” ชายร่างท้วมสวมชุดเกราะตบมือเพื่อเรียกร้องความสนใจจากทุกคน เขาดูเหมือนนักผจญภัยชั้นต่ำแทนที่จะเป็นศาสตราจารย์ แต่เมื่อฉันตรวจสอบระดับแกนมานาของเขาฉันก็ประหลาดใจที่เห็นว่าเขาอยู่ในขั้นสีเหลืองอ่อน
“เรามีนักเรียนค่อนข้างเยอะ ฉันรู้ว่าชั้นเรียนของฉันเป็นที่นิยมอยู่เสมอ แต่ฉันรู้สึกเป็นเกียรติมากที่มีนักเรียนมากมายขนาดนี้! ฉันชื่อศาสตราจารย์ไกสยินดีต้อนรับสุภาพสตรีและสุภาพบุรุษและยินดีต้อนรับเจ้าหน้าที่คณะกรรมการวินัย รู้สึกเป็นเกียรติที่พวกคุณเลือกเรียนวิชาเรียนของฉัน” ฉันไม่สามารถบอกได้ว่าเขากำลังประชดประชันหรือไม่เมื่อเขาได้ต้อนรับเราเล็กๆน้อยๆ แต่ฉันก็เลือกที่จะไม่รังเกียจมัน
“วิชานี่คือการจัดการมานาเชิงปฏิบัติหรือ จมป หรือที่ฉันอยากจะเรียก นั่นหมายความว่าเราจะทำสิ่งต่างๆที่ทำได้จริง! ในความหมายของฉันหมายถึงในเชิงปฏิบัติ เพราะจะมีที่คนเราจะเรียนรู้ได้ดีไปกว่าการเรียนรู้จากประสบการณ์จริงใช่ไหม?” เสียงทุ้มลึกของเขาดังไปทั่วทั้งชั้นเรียนซึ่งปลุกทุกคนที่กำลังง่วงนอนอยู่ซึ่งรวมถึงฉันด้วย
“ฉันเข้าใจว่าพวกคุณส่วนใหญ่เป็นนักเรียนปีแรกและพวกคุณหลายคนเพิ่งตื่นเมื่อไม่นานมานี้ อย่างไรก็ตามพ่อแม่ของพวกคุณคงจะทุ่มเทมากในการสอนลูกๆ ของพวกเขาทันทีที่พวกเขาตื่น ก่อนที่พวกเขาจะส่งพวกคุณมาที่นี่แม้ข้อสันนิษฐานนั้นอาจจะไม่ถูกต้อง อย่างไรก็ตามเพื่อความยุติธรรมฉันจะถือว่าทุกๆคนเป็นนักเรียนขั้นปีหนึ่งและเป็นมือใหม่ในการจัดการมานา แน่นอนว่ามีข้อยกเว้นบางประการนั่นคือทั้งสามคนที่นั่งอยู่ตรงนั้น” เขาชี้ไปที่พวกเราสามคนพร้อมกับขยิบตาเพื่อเรียกความสนใจจากทุกคนในห้องมาที่เรา
“ฉันแน่ใจว่าทุกคนรวมถึงตัวฉันเองก็อยากรู้ว่าคณะกรรมการวินัยที่ตั้งขึ้นมาใหม่ของเรามีความสามารถในระดับใด พวกเขาเป็นคนที่จะปกป้องนักเรียนในสถาบันการศึกษานี้ใช่มั้ย?” มีเสียงตะโกนที่เห็นด้วยมากมายดังออกมาจากรอบๆ ห้อง
ฉันถอนหายใจภายในเมื่อรู้ว่าศาสตราจารย์คนนี้กำลังจะทำให้ชั้นเรียนนี้กลายเป็นเรืองปวดหัวอย่างแท้จริงสำหรับฉัน ฉันเห็นแม้กระทั่งคิ้วของคาธิเลน์กระตุกด้วยความรำคาญบนใบหน้าที่ไม่แสดงออกของเธอ
“ฮึ่ม! ดีละหากศาสตราจารย์ไกสยืนยัน ผมจะขอเป็นอาสาสมัครในนามของคณะกรรมการวินัยเพื่อแสดงให้เห็นถึงความสามารถที่กลุ่มของเราซึ่งผู้อำนวยการเป็นคนคัดเลือกมาเป็นการส่วนตัวเอง” เฟย์ริธลุกขึ้นจากที่นั่งและวางมือขวาไว้ที่หัวใจด้วยท่าทางภาคภูมิใจ
เฮ้อ…
“ฮ่าฮ่า! ดีมาก! เฟย์ริธใช่ไหม? ลงมาที่เวทีเลย” เขาแสดงท่าทาง
เฟย์ริธกระโดดลงจากที่นั่งอย่างสง่างามและเดินเข้าสู่สนามประลองกลางห้องเรียนขนาดใหญ่ นักเรียนบางคนเชียร์เขาในขณะที่มีคนบางพวกที่อยากเห็นเลือด
“อืมถ้าฉันเดาไม่ผิดคุณเป็นคอนเจอะเรอร์ขั้นสีส้มอ่อนที่มีความเชี่ยวชาญด้านน้ำใช่มั้ย? ค่อนข้างดีสำหรับเด็กอายุสิบห้าปีแม้จะเป็นเอลฟ์ก็ตาม” ศาสตราจารย์ลูบคางของเขาและศึกษาเฟร์ริธ
"ใช่! และจากข้อเท็จจริงที่ว่าผมไม่สามารถสัมผัสถึงระดับแกนมานาของคุณได้ ผมคิดว่าคุณต้องอยู่ในระดับที่สูงกว่าตัวผมไม่น้อย เป็นเกียรติอย่างยิ่งที่ได้รับการสอนจากคุณ” ในขณะที่การโต้ตอบของเฟย์ริธนั้นมีมารยาทดี แต่เขาก็มีน้ำเสียงเย่อหยิ่งเล็กน้อยราวกับจะบ่งบอกว่าแม้ว่าศาสตราจารย์จะอยู่ในระดับที่สูงกว่าเขา เขาจะสามารถยืนหยัดต่อสู้ได้
"แน่นอน! ฉันอยู่ในขั้นสีเหลืองอ่อนแล้ว! เพื่อให้สิ่งต่างๆยุติธรรมฉันจะใช้การโจมตีจากระยะไกลในการสาธิตนี้เท่านั้น” เขาหยิบดาบ2มือออกมาจากไอเทมมิติที่เขาติดอยู่ที่หัวเข็มขัดและแทงเข้าไปในสนามด้านหลังเขา
ฉันบอกได้เลยว่าเฟย์ริธกำลังจะประท้วงว่ามันไม่จำเป็น แต่ก่อนที่เขาจะได้ทำ ศาสตราจารย์ไกสก็ยกมือขึ้น "ได้โปรด ถ้าเกิดฉันแพ้อย่างน้อยฉันก็มีข้อแก้ตัวใช่มั้ย? ได้โปรดให้ชายชราคนนี้ได้ออกกำลังกายบ้างเถอะ” เขาขยิบตาให้เขาขณะที่นักเรียนคนอื่นๆ เริ่มหัวเราะ
เขาดูจริงใจ แต่ฉันบอกได้เลยว่าเขามั่นใจในการเอาชนะเฟย์ริธแม้จะมีแต้มต่อนี้ก็ตาม
“เฟย์ริธแพ้แน่” คาธิเลน์พูดเบาๆ
"จริงเหรอ? คุณรู้ได้อย่างไร” สำหรับฉันมันเป็นแค่ความรู้สึกที่ไม่ดี แต่ดูเหมือนว่าคาธิเลน์ได้เห็นอะไรบางอย่างที่ฉันไม่เห็น
อย่างไรก็ตามเธอไม่ตอบสนองดังนั้นฉันจึงกลับไปดูการประลองที่กำลังจะเริ่มขึ้น
“ให้ฉันสร้างกำแพงก่อนที่เราจะเริ่มเพื่อให้ผู้ชมของเราปลอดภัยจากกระสุนมานา” ศาสตราจารย์พึมพำคาถาสองสามบทและพื้นที่รอบๆ สนามกีฬาก็เริ่มส่องแสงสลัว
"เรามาเริ่มกันเลย!" เขายิ้มขณะที่เฟย์ริธหยิบไม้กายสิทธิ์ออกมาและเตรียมร่ายมนตร์
“อสรพิษน้ำ!” กระแสน้ำไหลวนรอบๆเฟย์ริธและในไม่ช้ามันก็กลายร่างเป็นงูยักษ์ “ฟลัดโดเมน!” เฟย์ริธร่ายคาถาอื่นทันทีหลังจากที่คาถาอสรพิษน้ำก่อตัวขึ้น ในไม่ช้าแอ่งน้ำก็สูงขึ้นจนถึงหัวเข่าของพวกเขาบนเวที อสรพิษน้ำฉกเข้าไปในน้ำที่ล้อมรอบทั้งเฟย์ริธและศาสตราจารย์ไกส
คาถาโดเมนเป็นเทคนิคระดับสูงที่สร้างพื้นได้เปรียบรอบๆตัวผู้ใช้
“ไฟเออร์บอล” ศาสตราจารย์ไกสทำให้ฉันประหลาดใจ คาถาระดับต่ำที่นักเวทย์ธาตุไฟทุกคนทำได้ก่อขึ้นบนฝ่ามือของศาสตราจารย์ไกส แต่แทนที่จะเป็นสีส้มอมแดงตามปกติคาถาของเขาเปล่งแสงสีน้ำเงินสลัว
มันทำให้ฉันประหลาดใจที่ออกเมนเตอร์คนหนึ่งสามารถคิดและประยุกต์ใช้ทฤษฎีที่อยู่เบื้องหลังคุณสมบัติของไฟได้ทั้งๆที่แม้แต่คอนเจอะเรอร์ที่ฉลาดที่สุดก็ยังมีปัญหาในการใช้มัน
ลูกไฟสีฟ้าพุ่งออกมาจากมือของศาสตราจารย์ไกสและบินไปหาเฟย์ริธซึ่งไม่รู้ว่าคาถานั้นแข็งแกร่งเพียงใด
“คุณต้องทำได้ดีกว่านั้นนะศาสตราจารย์!” เฟย์ริธสะบัดไม้กายสิทธิ์ขึ้นอย่างมั่นใจและจัดการสร้างกำแพงน้ำหนาขึ้นต่อหน้าเขา ในเวลาเดียวกันคาถาอสรพิษน้ำที่เฟย์ริธร่ายได้ปะทุออกมาจากน้ำข้างๆศาสตราจารย์ไกสและพุ่งเข้าใส่เขา
ศาสตราจารย์ของเราเสริมแขนซ้ายของเขาด้วยเปลวไฟสีฟ้าและต่อต้านกับพลังของเวทย์มนตร์ของเฟย์ริธ เมื่ออสรพิษน้ำพุ่งเข้าใส่ศาสตราจารย์ไกส เมฆไอน้ำก็ปะทุขึ้นปิดบังร่างกายของเขา
ในขณะเดียวกันลูกไฟสีฟ้าก็พุ่งเข้าใส่กำแพงน้ำทำให้เกิดเสียงฟู่อย่างรุนแรงขณะที่ลูกไฟของศาสตราจารย์ของเราทะลวงผ่านการป้องกันของเฟย์ริธและกำลังพุ่งเข้ามาที่เพื่อนสมาชิกคณะกรรมการวินัยของฉัน
ใบหน้าของเฟย์ริธซีดลงเมื่อเขารู้ว่าเขาไม่สามารถป้องกันลูกไฟนี้ได้ แต่เขาสามารถตอบสนองได้ทันเวลาเพื่อสร้างเกราะน้ำอีกชั้นเพื่อลดความเสียหายให้น้อยที่สุด
“อ๊อฟ!” ลูกไฟซึ่งตอนนี้ลดลงเหลือขนาดเท่ากับเล็บมือเมื่อมันมาถึงตัวเฟย์ริธ แต่ก็ยังทำให้ชุดป้องกันที่เขาสวมอยู่เป็นรูได้ มันทำให้เขาถึงกับถอยหลังไปสองสามก้าวก่อนที่เขาจะสะดุดล้มลง
“คุณยอมแพ้หรือยัง?” ศาสตราจารย์ไกสยิ้มกว้างขณะที่เขาเดินออกมาจากเมฆไอน้ำในขณะที่โยนลูกไฟสีฟ้าอีกสองลูกในมือของเขาเล่นไปมา
“ใช่…ผมขอยอมแพ้” เฟย์ริธก้มหน้าลงด้วยความอับอายขณะที่เดินกลับมาหาพวกเรา
นักเรียนทุกคนพึมพำว่าคณะกรรมการวินัยไม่ได้ยอดเยี่ยมขนาดนั้นโดยสงสัยว่าพวกเราจะมีความสามารถในการปกป้องพวกเขาได้จริงๆหรือไม่
“นายทำได้ดีมากเฟย์ริธ” ฉันตบหลังเขา เขาทำได้ดีเมื่อพิจารณาว่าเขาไม่รู้ว่าตัวเองกำลังสู้อยู่กับอะไร ศาสตราจารย์คนนี้พยายามทำพวกเราขายหน้าเพื่ออะไร? เขาแค่ต้องการเพิ่มความสะใจของเขาโดยการแกล้งนักเรียนของเขาหรือ?
“มีใครอยากเป็นอาสาสมัครอีกไหม?” เขาพูดในขณะที่มองไปที่คาธิเลน์และฉันฉันกำลังจะยกมือขึ้นแต่ก็ต้องตกใจเมื่อคาธิเลน์รีบลุกขึ้นจากที่นั่งและพูด “ได้โปรดชี้แนะด้วยค่ะ” เธอพูดอย่างเรียบง่ายก่อนที่จะกระโดดลงไปในสนามประลองเบาๆ