บทที่ 49 รำลึกถึงอดีต
มันใช้เวลาเพียงครู่เดียวที่เถาวัลย์ห่อหุ้มแจ็คได้อย่างสมบูรณ์ ในขณะที่เขาพยายามดิ้นรนเพื่อให้หลุดพ้น เถาวัลย์ก็บิดเบี้ยวแน่นขึ้นทำให้ใบหน้าของเขากลายเป็นสีม่วงที่น่าเกลียด
ในขณะที่คนส่วนใหญ่กำลังสับสนชาร์ลดูเหมือนจะรู้แน่ชัดแล้วว่ากำลังเกิดอะไรขึ้นเมื่อใบหน้าของเขาซีดเซียวและเขาก็ก้าวถอยหลังไปจากความสับสนวุ่นวายที่เขาสร้างขึ้นทันที อาไลจาห์รู้สึกประหลาดใจเล็กน้อยเช่นกันศีรษะของเขาหันไปทางซ้ายและขวาเพื่อดูว่าใครใช้เวทย์มนต์นี้ แต่ผู้รับผิดชอบก็ไม่แสดงตัว
เมื่อยืนขึ้นฉันเผชิญหน้ากับแจ็คที่กำลังหายใจไม่ออกซึ่งยอมแพ้ในการต่อสู้กับเถาวัลย์ บรรยากาศในห้องอาหารเริ่มตึงเครียดขณะที่ทุกคนนิ่งเงียบรอให้ผู้กระทำผิดปรากฏตัวขึ้น เมื่อมองไปที่อาไลจาห์ฉันยกแขนขึ้นอย่างเงียบๆ ฉันวางฝ่ามือไว้บนเถาวัลย์ในขณะที่ฉันคลายมนต์สะกด ฉันกลั้นปริมาณมานาที่ฉันต้องการและลมที่รุนแรงก็ออกมาจากฝ่ามือของฉัน
[ทอร์เรนต์]
แก็งเรเวนพอร์ที่อยู่เบื้องหลังแจ็คป้องกันตัวเองจากพายุที่รุนแรงขณะที่พวกเขาถูกกระทบด้วยเช่นกัน ด้วยมนต์สะกดฉันจึงทำให้แจ็คเป็นอิสระจากเถาวัลย์ที่กำลังสำลักเขา แต่ในขั้นตอนนี้เสื้อผ้าของเขาก็ฉีกขาดเช่นกันทิ้งเขาออกมาในชุดวันเกิดจากครรภ์ของมารดาผู้โชคร้าย
แจ็คคุกเข่าไอและหอบหายใจ โดยไม่มีคำพูดหรือการแสดงออกที่เปลี่ยนไปฉันหันหลังเดินไปหาชาร์ลที่ยังคงพยายามเดินออกจากห้องอาหารอย่างสุขุม เขาอยู่ข้างกำแพงเกือบจะอยู่ตรงหน้าประตูใหญ่เมื่อฉันปลดมีดของคณะกรรมการวินัยที่ฉันได้รับจากผู้อำนวยการ ฉันรเสริมมานาธาตุลมเข้าไปแล้วโยนมันออกไป มีดกรีดผ่านอากาศและแทงทะลุเสื้อของเขาและตรึงเขาไว้กับผนัง
“อะไรกันเนี่ย” เขาตะโกนขณะที่ฉันเผชิญหน้ากับเขา
“บางทีมันอาจจะเป็นแค่ฉันคนเดียวที่คิดว่ามันน่าสมเพชเมื่อเจ้าเด็กขี้แยอย่างนายที่มาจากตระกูลของชั้นสูงกลับชอบใช้อำนาจกับคนอื่นทั้งๆที่ไม่เคยสร้างมันขึ้นมาด้วยตัวเองเลยด้วยซ้ำ ก่อนที่จะคุยโวว่าตระกูลของนายมีอำนาจมากเพียงใด อย่างน้อยนายก็น่าจะเก่งกว่านี้จะได้ไม่ทำให้พวกเขาต้องอับอายขายหน้า” ฉันดึงมีดที่เขาพยายามจะเอาออกด้วยการปัดอย่างรวดเร็วเพียงครั้งเดียวและเดินออกไปทางประตูโดยไม่หันกลับมามอง
อากาศในฤดูใบไม้ร่วงที่ร้อนแรงต้อนรับฉัน ขณะที่ฉันปิดประตูลมหายใจของฉันก็กลายเป็นก้อนเมฆอยู่ตรงหน้าฉัน
‘นั้นมันมาม่านิ!’ หัวของซิลวีพุ่งออกมาจากบนหัวของฉัน
ฉันไม่สนใจซิลวีและมองขึ้นไปบนท้องฟ้ายามค่ำคืนที่สว่างไสวด้วยดวงดาวที่นับไม่ถ้วนขณะที่ฉันพูดออกมาดัง ๆ “คุณรู้ไหมว่าคุณสามารถฆ่าเขาได้ถ้าหากฉันไม่เข้าไปขัดขวางมนตร์นั้น?”
ห่างออกไปเพียงไม่กี่เมตรทางซ้ายของฉันเสียงที่คุ้นเคยตอบกลับมา “ฉันกะจะยกเลิกทันทีที่เขาสลบ นอกจากนี้ฉันเองก็รู้ว่านายจะต้องจัดการกับมันก่อนที่เรื่องจะไปไกลกว่านี้”
“โอ้ตอนนี้คุณกะจะทิ้งภาระให้ฉันเลยเหรอ? ทำไมคุณไม่ทำแบบเดิมเหมือนตอนเมื่อเช้านี้หลังจากเสร็จพิธีละ?” ฉันขำเบาๆ
“…”
ฉันเดินไปหาร่างที่ยืนพิงผนังของอาคาร ใบหน้าของเธอและรูปร่างที่คุ้นเคยอื่นๆ ที่ถูกปกปิดด้วยเงาของแสงดาวในคืนที่เต็มไปด้วยดวงดาว
ด้วยความเงียบของเธอฉันสามารถนึกภาพออกได้แล้วว่าเธอมีสีหน้าหนักใจแบบไหนบนใบหน้าของเธอ ฉันยืนอยู่ตรงหน้าร่างนั้น ใกล้พอที่จะเห็นใบหน้าของเธอ แต่เธอกำลังก้มลงไปฉันจึงเห็นเพียงผมสีเงินของเธอที่ดูเหมือนจะส่องแสงในแสงจันทร์
“อะแฮ่ม” ฉันไออย่างเชื่องช้าและใช้กำปั้นปิดปาก ความเงียบระหว่างเรารู้สึกเหมือนเป็นนิรันดร์ ในที่สุดเธอก็เงยหน้าขึ้นเผยให้เห็นใบหน้าของเธอขณะที่เธอเอามือไพล่หลัง
“…”
“ฉันขอโท.. - โอ้ยย!”
บรรยากาศที่น่าอึดอัดรอบตัวเราสลายไปทันทีเมื่อเราเผชิญหน้ากันด้วยการพยายามที่จะโค้งคำนับขอโทษกันและกันในเวลาเดียวกัน
ฉันอดไม่ได้ที่จะหัวเราะออกมาขณะที่ฉันลูบหัว “ฉันคิดว่าเมื่อกี้ฉันได้ยินเสียงกระโหลกของฉันแตก”
"เงียบไปเลย!" เทสนวดศีรษะของเธอด้วยขณะที่เธอยังคงก้มหน้า ไหล่ของเธอเริ่มสั่นและฉันได้ยินเสียงสูดอากาศ
ฉันนั่งยองๆเพื่อที่จะได้เห็นหน้าของเพื่อนสมัยเด็กอีกครั้ง “เทสเธอกำลังร้องไห้หรือ?” ฉันแกล้งแซวและเช็ดน้ำตาของเธอเบาๆ โดยใช้ด้านในของแขนเสื้อ
“ก็มันเจ็บนิ…” เธอสะอื้น ดวงตาของเธอยังคงหลบเลี่ยงฉันขณะที่เธอปล่อยให้ฉันเช็ดหน้าให้
“มันเจ็บขนาดนั้นเลยเหรอ?” ฉันพูดเบาๆ ขณะยืนขึ้นแล้วลูบเบาๆ ตรงที่ที่หัวของฉันกระทบเธอ
"ใช่! มันเจ็บมาก!” เธอปัดมือฉันออกไปและเธอก็ฝังใบหน้าของเธอไว้ที่หน้าอกของฉัน เธอโอบแขนรอบเอวของฉันขณะที่เธอเริ่มร้องไห้อีกครั้ง
ทุกวินาทีนั้นดูเหมือนจะนานออกไปเรื่อยๆ เมื่อฉันรู้สึกว่าร่างกายของเธอสั่นสะท้านจากลมหายใจที่ผิดปกติและอาการสะอึกของเธอ ฉันมองกลับไปที่ท้องฟ้ายามค่ำคืน ฉันรู้สึกว่าใบหน้าของฉันกำลังไหม้แดงขณะที่ฉันกอดเธอกลับอย่างเงอะงะ
“ฉันคิดว่านายจะเกลียดฉันแล้ว” ฉันแทบจะไม่สามารถอธิบายสิ่งที่เธอกำลังอู้อี้ได้โดยที่ใบหน้าของเธอยังคงฝังอยู่ในอกของฉันระหว่างที่เธอสะอื้น
“แม้ว่าจะมีบางครั้งที่ฉันจะโกรธคุณ แต่ฉันก็ไม่มีวันเกลียดคุณหรอกเทส” ฉันพูดเบา ๆ
“ก็ฉันไม่ต้องการให้มันเป็นอย่างนั้นนิ”
“ไม่ต้องการอะไร?”
“ฉันไม่อยากให้นายโกรธฉัน!” เธอพึมพำที่หน้าอกของฉัน
“อืมเอาละ...คราวนี้ฉันเป็นคนผิดเอง ฉันไม่ควรโบยใส่คุณแบบนั้นเลย” ทันใดนั้นฉันก็รู้ว่าฉันไม่ได้ปฏิบัติต่อเทสเหมือนกับคนอื่นๆ ในขณะที่ฉันไม่รู้สึกว่ามีเหตุผลที่จะโกรธคนส่วนใหญ่นอกจากครอบครัวของฉันและอาไลจาห์ เทสน่าจะเป็นคนเดียวที่สามารถทำให้ฉันแสดงตัวตนของฉันออกมาได้อย่างแท้จริงแม้ว่าบางครั้งมันจะดูเหมือนการกระทำเหมือนเด็กๆก็ตาม
“ไม่! ฉันเองก็ผิดเหมือนกัน! ฉัน - ฉันไม่ควรว่านายแบบนั้นต่อหน้าคนพวกนั้นเลย! แต่เป็นเพราะฉันต้องเป็นประธานสภานักเรียนที่เข้มงวดต่อหน้าทุกคนรู้มั้ย?” ใบหน้าของเธอดูสิ้นหวัง ในที่สุดเมื่อเธอเงยหน้าขึ้นดวงตาที่กังวลของเธอก็เป็นสีแดงและบวมเล็กน้อยจากการร้องไห้
"อาร์ต! นายควรจะได้เห็นใบหน้าของทุกๆคนหลังจากที่นาย - โอ้วมายก๊อด…” อาไลจาห์ที่เห็นเพียงโครงร่างด้านหลังของฉันได้วิ่งเข้ามาหาฉันจนกระทั่งเขาได้เห็นว่าฉันกำลังอยู่กับใคร
เมื่อรู้ว่าเทสยังคงกอดฉันอย่างแน่นหนาฉันก็อดไม่ได้ที่จะมองเขาด้วยความเขินอาย
“เออ...แล้วเจอกันที่...หอพักของเรานะ...” เขาพูดตะกุกตะกักก่อนจะพุ่งออกไปจนเกือบสะดุดเท้าของตัวเอง
“ฮ่าฮ่า เทสฉันคิดว่าคุณควรจะเลิกกอดฉันได้แล้วนะ” ฉันยิ้มขณะที่ดูใบหน้าของเธอเปลี่ยนเป็นสีแดงเข้ม
“โอ - โอ้วใช่แล้ว” เธอปล่อยฉันไปทันทีและถอยห่างออกไปขณะที่เธอจ้องก้มหน้าลงเพราะอายเกินกว่าจะมองฉัน
ฉันอดไม่ได้ที่จะหัวเราะเบาๆ ว่าเพื่อนสมัยเด็กของฉันไม่ได้เปลี่ยนไปอย่างไรเลย “คุณอยากไปเดินเล่นกับฉันหน่อยไหม?” ฉันยิ้มให้เธอขณะที่ซิลวี่กระโดดลงมาจากด้านบนศีรษะและเข้าสู่อ้อมแขนของเธอ
“คยู!” ‘ไม่ได้เจอกันนานเลยนะมาม่า!’
มุมมองของเทสเซียเอราลิธ:
แต่ละก้าวของเขาเบาและดูมั่นใจราวกับว่าเขาได้ตัดสินใจในทิศทางและจุดมุ่งหมายของเขาแล้ว…มันเป็นวิธีที่เขาเดินประจำหรือ?
ดวงตาคู่นั้นดูสงบและนิ่ง แต่ก็ยังดูขี้เล่นอยู่เล็กน้อย…นั่นคือสายตาของเขาหรือเปล่า?
วิธีที่มันเปล่งประกายแม้ว่าข้างนอกจะมืดมิดขนาดนี้…มันคือรอยยิ้มของเขาหรือเปล่า?
อะไรทำให้ฉันหลงรักเขาได้อย่างโง่เขลาขนาดนี้ เขาเป็นแค่เด็กผู้ชายคนหนึ่ง! ผู้ชายคนหนึ่งที่ค่อนข้างมีความสามารถ มีมารยาทดีและดูดีขึ้นเล็กน้อย ก็แค่นั่น!
อะไรที่ทำให้ฉันกลายเป็นคนโง่เขลาเมื่ออยู่ใกล้ๆกับเขาและทำไมฉันถึงต้องทำให้ตัวเองอับอายต่อหน้าเขาด้วยนะ?
ฉันถอนหายใจอย่างพ่ายแพ้โดยไม่รู้ตัว
"มีอะไรหรือเปล่า?" เขามองฉันด้วยความเป็นห่วง เสียงอันอ่อนโยนของเขาทำให้กระดูกสันหลังของฉันถึงกับสั่นสะท้าน
“ไม่! ไม่มีอะไร ฮ่าฮ่า!” ฉันรู้สึกว่าหน้าของฉันเปลี่ยนเป็นสีแดงอีกครั้งฉันจึงเริ่มลูบคลำซิลวี่เพื่อเป็นการเบี่ยงเบนความสนใจ เจ้าทื่มเอ่ย!
ฉันรู้สึกได้ว่าสายตาของเขากำลังศึกษาฉันในขณะที่เราเดินไปตามทางหินอ่อนด้วยแสงจากดวงจันทร์ที่ลอดระหว่างต้นไม้ระหว่างทางเดิน ตอนที่เราได้พบกันก่อนหน้านี้เราแทบไม่ได้ใช้เวลาร่วมกันเลย เวลาเพียงไม่กี่วินาทีก็ทำให้สิ่งต่างๆเลวร้ายทั้งๆที่เป็นเวลาเกือบสี่ปีแล้วที่เราได้พบหน้ากัน ฉันอยากจะจ้องหน้าเขาเหมือนกันแต่ฉันรู้ว่าหน้าของฉันจะเปลี่ยนเป็นสีแดงสดดังนั้นฉันจึงจ้องก้มหน้าหนีจากความอาย
ฉันสงสัยว่าเขามองผู้หญิงคนอื่นแบบนี้หรือเปล่า ฉันอยากให้เขาสนใจฉันเพียงคนเดียวเหมือนตอนนี้ ฉันหยุดความคิดของตัวเองก่อนจะถอนหายใจออกมาดังๆ อีกครั้ง
เราเริ่มพูดคุยเกี่ยวกับสิ่งที่เราทั้งคู่ได้ทำในช่วงสองสามปีที่ผ่านมา ช่วงเวลาของเขาในฐานะนักผจญภัยนั้นน่าตื่นเต้นมาก แต่ฉันอดไม่ได้ที่จะผิดหวังเล็กน้อยที่เขาอยู่กับผู้หญิงคนนั้นที่ชื่อจัสมินตลอดเวลา
“เห้อ!” มุมของตาของอาร์ตหย่นเมื่อเขาเผยให้เห็นรอยยิ้มที่สดใสของเขา
“อะไรหรือ?!” ฉันอุ้มซิลวี่ขึ้นมาข้างหน้าฉันเพื่อตั้งรับ
“ฉันรู้สึกสนุกกับท่าทางต่างๆที่คุณแสดงให้ฉันเห็นในขณะที่ฉันเล่าเรื่องราวของฉันให้คุณฟัง” ฉันเหลือบไปจ้องดวงตาของเขาทำให้หน้าของฉันเป็นสีแดงอีกครั้ง ฉันเริ่มจะรู้สึกว่ามันแปลกๆไปแล้วนะ
ฉันคงจะหนาวมากถ้าไม่มีซิลวีที่ทำหน้าที่เป็นเครืองทำความร้อน แต่อาร์ตก็ไม่ได้ดูว่าเขาจะหนาวเลย ฉันสงสัยว่าการเป็นบีสเทมเมอร์ทำให้ร่างกายของเขาแข็งแกร่งขึ้นในสถานการณ์เหล่านี้ด้วยหรือไม่ ฉันเริ่มเขินเพราะจำได้ว่าฉันกอดเขานานมาก
ร่างกายของเขาอบอุ่นจริงๆ
ในขณะที่เราคุยกันไปเรื่อยๆ ฉันก็เริ่มคลายความเครียดลง ฉันเล่าให้เขาฟังเล็กน้อยเกี่ยวกับการฝึกของฉันกับคุณปู่ แต่ฉันก็มีสมาธิมากขึ้นเมื่อคุณยายซินเธียมาเป็นอาจารย์ของฉัน
“ คุณเรียกเธอว่า ‘คุณยาย’? ศีรษะของเขาเอียงเล็กน้อยด้วยความอยากรู้อยากเห็น
ฉันพยักหน้าตอบว่า “เธอบอกให้ฉันเรียกเธอเช่นนั้น อีกอย่างฉันยังเป็นลูกศิษย์คนเดียวของเธอและเธอก็ไม่มีลูกหลานด้วย”
“ฉันเข้าใจละ…” เขาครุ่นคิด
ฉันพูดต่อเกี่ยวกับการฝึกฝนอย่างเข้มงวดที่ฉันต้องเจอและมันยากแค่ไหนที่เวทมนตร์สายพืชของฉันจะดีขึ้นได้เนื่องจากฉันขาดครูที่มีความรู้ แม้ว่าเผ่าพันธุ์อื่นจะไม่สามารถปรับเปลี่ยนมานาคุณลักษณะของพืชได้ แต่ในหมู่เอลฟ์ด้วยกันก็มีเพียงไม่กี่คนที่สามารถใช้เวทมนตร์พืชได้เช่นกัน ในขณะที่เชื้อสายของเอลฟ์ชั้นสูงบางคนมีความสามารถในการใช้มัน แต่กลับมุ่งเน้นไปที่องค์ประกอบอื่นแทนเพราะการเรียนรู้เวทมนตร์สายพืชนั้นยากเพียงใด
“ดังนั้นคุณจึงกลายเป็นผู้เชี่ยวชาญสองสายของพืชและลมใช่มั้ย? ว้าวฉันรู้อยู่แล้วว่าคุณจะกลายมาเป็นนักเวทย์ที่มีความสามารถ” รูปลักษณ์ความจริงใจของเขาทำให้ฉันรู้สึกภาคภูมิใจ ฉันมักจะได้รับคำชมเชยจากบุคคลสำคัญมามากมายแล้ว แต่เพียงแค่คำชมง่ายๆจากเขาก็ทำให้ฉันมีความสุขได้ขนาดนี้
เขากล่าวต่อว่า“มันสมเหตุสมผลแล้วที่ผู้อำนวยการกู๊ดสกี้สอนคุณ”
ฉันอยากให้เวลานั้นหยุดลงเมื่อเรามาถึงหน้าหอพัก ทำไมหอพักถึงได้ถูกสร้างขึ้นใกล้กับโรงอาหารด้วยนะ? มันควรจะอยู่อีกด้านหนึ่งของโรงเรียนมากกว่า ...
“เราทั้งสองควรนอนจะเข้านอนได้แล้วนะ มันดึกมากแล้วและพรุ่งนี้ก็เป็นวันสำคัญ” เขาตบหัวฉัน
ฉันคงจะมีความสุขมากกว่านี้ถ้าเขาไม่ได้ทำให้ฉันรู้สึกว่าเขากำลังปฏิบัติกับฉันเหมือนเด็ก
“ใช่นายพูดถูก อีกอย่างขอแสดงความยินดีที่ได้รับเลือกให้เป็นกรรมการวินัยนะอาร์ต” ฉันพยายามอย่างเต็มที่ที่จะยิ้ม แต่ฉันเริ่มคิดมากว่าหน้าตาของฉันจะออกมายังไง
โชคดีที่เขายิ้มกลับมาขณะที่ซิลวีกระโดดกลับขึ้นไปบนศีรษะของเขา “ขอบคุณ” ฉันจ้องไปที่หลังของเขาขณะที่เขาเริ่มมุ่งหน้าไปที่หอพักของเขาแต่จู่ๆเขาก็หันกลับมา
"ฉันเกือบลืมไป!" เขาจับมือของฉันและเอาของบางอย่างจากกระเป๋าของเขาใส่ลงในฝ่ามือของฉัน
“รับนี้ไป! สิ่งนี้อาจช่วยคุณได้มาก” เขาปล่อยมือฉันอย่างขี้เล่นก่อนจะหันกลับไปที่หอพักขณะที่ซิลวี่โบกมือเล็กๆ ให้ฉัน
เขาไม่ให้โอกาสฉันขอบคุณเขาด้วยซ้ำ
เมื่อมองลงไปฉันศึกษาลูกบอลสีเขียวหม่นขนาดเล็ก มันไม่ได้ดูพิเศษเลย แต่มันมีความหมายกับฉันมากเพียงเพราะอาร์ตเป็นคนมอบให้ และการที่ฉันรู้จักเขาดี นี่ไม่ใช่แค่ของตกแต่งบางอย่างที่เขาต้องการให้ฉันได้รับ
“ฉันสงสัยว่า…” ฉันใช้มานาเล็กน้อยใส่เข้าไปในลูกบอลและเกือบจะทำมันหล่นด้วยความประหลาดใจ มือของฉันสั่นอย่างควบคุมไม่ได้
“นี่มัน…!”
มุมมองของอาเธอร์เลียวิน:
‘ปาป๊าดูมีความสุขจริงๆ เป็นเพราะปาป๊าคืนดีกับมาม่ารึเปล่า? 'ซิลวี่แกล้งแซวฉันขณะที่ฉันเดินขึ้นบันไดและกลับไปที่ห้องของฉัน
‘ซิลวีหยุดเรียกเธอว่า “แม่” จะได้ไหม” ฉันบีบหูของเธอจนทำให้เธอดิ้น
“ห้อง 394! ในที่สุด…” เทสกับฉันเดินเล่นและหยุดคุยกันสักพักดังนั้นมันก็เลยดึกมาก ฉันเปิดประตูอย่างระมัดระวังเพื่ออาไลจาห์กำลังหลับอยู่ แต่ฉันเกือบจะสะดุ้งด้วยความประหลาดใจเมื่อเห็นเขานั่งไขว่ห้างอยู่หน้าประตู ดวงตาของเขาแดงก่ำ
“เอ่อ…นายยังไม่นอนหรอ” ฉันโบกมืออย่างเชื่องช้า
“ใช่ฉันยังไม่นอน” เขากอดอกและใช้คางชี้ไปที่เตียงของฉันและส่งสัญญาณให้ฉันนั่งลง
“ฮ่าา…ว่ามา” ฉันถอนหายใจอย่างช่วยไม่ได้ในขณะที่ปล่อยให้เพื่อนสนิทของฉันปล่อยคำถามออกไป
___________________________
เป็นเวลาเกือบตีสี่เมื่อฉันเล่าเรื่องเสร็จ เราสองคนนอนแผ่บนเตียงเหนื่อยทั้งกายและใจในขณะที่ซิลวีหลับไปเมื่อหลายชั่วโมงก่อน
“ฉันไม่อยากเชื่อเลยว่านายจะได้กอดเธอ” ฉันเห็นเขาส่ายหัวในขณะที่เขานอนหงาย
“ฉันบอกนายแล้วว่าฉันรู้จักกับเธอตั้งแต่เธออายุห้าขวบ มันไม่น่าเป็นจะเรื่องแปลกใจเลยที่เธอจะรู้สึกสบายใจขึ้นเมื่ออยู่ใกล้ฉัน” ฉันบอก
เขาส่ายหัวอีกครั้ง “หลังจากที่นายเดินออกไปพวกนักเรียนบางคนสงสัยว่าเป็นประธานที่ใช้คาถาเถาวัลย์เนื่องจากเธอเป็นคนเดียวที่สามารถใช้มันได้ในระดับนั้น นายรู้ไหมว่านักเรียนเรียกเธอว่าอะไร?” เขาลุกขึ้นและมองมาที่ฉัน
“พวกเขาเรียกเธอว่าอะไรละ?” ฉันถามด้วยความสนใจ
“มีสองฉายาที่ฉันได้ยินมากที่สุด” เขาโน้มตัวเข้าไปใกล้ “หนึ่ง: เจ้าหญิงที่ใครก็แตะต้องไม่ได้” เขากล่าว
“แตะต้องไม่ได้? ทำไม? เธอแข็งแกร่งกว่าคนอื่นๆ มากขนาดนั้นเลยเหรอ?” ฉันถาม
เขาไม่สนใจฉันและพูดอย่างอื่น “สอง: เทพธิดาแห่งดวงจันทร์”
"ฮะ? ทำไมต้องเป็นเทพธิดาแห่งดวงจันทร์ด้วย? ” ฉันรู้สึกตลกกับชื่อเล่นของเด็กๆ
“เพราะเธอเป็นเหมือนดวงจันทร์ไงอาร์ต ดวงจันทร์ดูเหมือนจะอยู่ใกล้จนใครๆก็สามารถคว้ามันได้ แต่ไม่ว่านายจะพยายามแค่ไหนนายก็ไม่มีวันได้สัมผัสมัน แต่นาย! นายได้สัมผัสดวงจันทร์! นายได้กอดดวงจันทร์!” เขาสะบัดแขนด้วยความพ่ายแพ้และกลับเข้านอน
“นอนกันเถอะ” ฉันโต้กลับ
เราทั้งคู่เหนื่อยเกินกว่าที่จะพยายามจะอาบน้ำและฉันก็รู้สึกปวดหัวเมื่อคิดว่าตอนเช้าฉันจะเหนื่อยแค่ไหน แต่ความทรงจำเกี่ยวกับสิ่งที่เกิดขึ้นในคืนนี้ทำให้ฉันนอนไม่หลับ ฉันยังสงสัยว่าฉันได้ทำสิ่งที่ถูกต้องในห้องอาหารหรือไม่ มันเป็นนิสัยตอนที่ฉันเป็นราชา มันคือการคิดทบทวนในการกระทำในอดีตและวางแผนการกระทำในอนาคตอยู่เสมอ ข้างๆฉันฉันเห็นอาไลจาห์หลับอย่างรวดเร็วและพึมพำบางอย่างเกี่ยวกับดวงจันทร์อีกครั้ง
_____________________________________
"ตื่นนอนได้แล้ว!" ฉันทุบอาไลจาห์ที่ท้องในขณะที่ฉันรัดสายสะพายไหล่พร้อมกับมีดที่แสดงถึงสถานะของฉันในฐานะกรรมการฝ่ายวินัย
“อ๊อฟ!” อาไลจาห์รู้สึกประหลาดใจ แต่ก็คร่ำครวญเมื่อรู้ว่าเขาเหนื่อยและเจ็บแค่ไหน
“ฉันเข้าใจแล้วว่าทำไมนายถึงไม่ชอบให้ถูกปลุกแบบนี้” เขาพึมพำขณะลูบท้อง
ฉันยิ้มเยาะให้เพื่อนฉันเดินไปที่ประตู “ฉันจะออกไปแล้วนะ นายก็รีบเตรียมตัวให้พร้อม เจอกันในคาบเรียนแรก” ฉันโบกมือให้เขาและมุ่งหน้าไปที่หอประชุมโดยไม่หันกลับไปมอง ฉันควรจะได้พบกับสมาชิกคนอื่นๆ ของคณะกรรมการวินัยอย่างเป็นทางการในห้องเล็กๆ ภายในหอประชุมดังนั้นฉันจึงรู้สึกตื่นเต้นเล็กน้อยว่าพวกเขาจะเป็นคนแบบไหน
ซิลวี “คยู” ด้วยความตื่นเต้นขณะที่เธอแกว่งศีรษะจากด้านหนึ่งไปอีกด้านหนึ่ง หลังจากวันนี้ทุกคนคงรู้ว่าฉันเป็นส่วนหนึ่งของคณะกรรมการวินัย ฉันยิ้มให้กับตัวเองหลังจากจินตนาการได้ว่าหน้าตาของแก็งเรเวนพอร์จะเป็นอย่างไรหลังจากที่รู้ว่าเครื่องแบบของฉันในวันนี้หมายถึงอะไร
เมื่อมาถึงทางเข้าด้านหลังหอประชุมฉันจัดเสื้อเชิ้ตเสื้อกั๊กและสายรัดให้ดูดีแล้วเปิดประตูทั้งๆที่ยังรู้สึกเหนื่อย ง่วงนอน อยากรู้อยากเห็นและก็ตื่นเต้นเล็กน้อย