บทที่ 47 เจ้าเล่ห์กว่าคนที่ฉลาด
“ผู้...ผู้อำนวยการกู๊ดสกี้! ผมรู้สึกเป็นเกียรติที่ได้พบคุณเป็นการส่วนตัว” อาไลจาห์โค้งคำนับอย่างทรงพลังซึ่งดูตลกต่อหน้าซินเทียกู๊ดสกี้ผู้สง่างามตลอดกาล
เขาเงยหน้าขึ้นเร็วเกินไปจนเกือบจะทำแว่นหล่นในขณะที่ผู้อำนวยการยิ้มอย่างสุภาพ รอยตีนการอบดวงตาของเธอเพิ่มเสน่ห์ให้เธอ
“ได้โปรดเข้ามาเลยครับผู้อำนวยการกู๊ดสกี้ อาไลจาห์นายอย่างขวางทางเข้าประตูได้ไหม?” ฉันดึงเก้าอี้ออกจากโต๊ะเพื่อให้ผู้อำนวยการนั่งบนโซฟา
“ฉันบอกให้เรียกฉันว่า 'ซินเทีย' ก็พอแล้ว” เธอทำหน้ามุ่ยขณะที่เธอเกือบจะลอยผ่านตัวของอาไลจาห์และนั่งลงบนโซฟาและประตูก็ปิดลงเอง ปริมาณความกลมกลืนที่เธอมีกับธาตุลมยังคงทำให้ฉันประหลาดใจเพราะอากาศรอบๆตัวเธอดูเหมือนจะโค้งงอตามความประสงค์ของเธอโดยที่เธอยังไม่ได้สั่ง
“ผมไม่คิดว่าจะเป็นการดีที่เด็กอายุสิบสองปีที่ไม่มีภูมิหลังที่จะเรียกชื่อแรกของผู้อำนวยการของสถาบันการศึกษาที่มีชื่อเสียงที่สุดในทวีปนี้” ฉันหัวเราะเบาๆ ขณะนั่งบนเก้าอี้ในขณะที่เธอนั่งไขว่ห้างบนเบาะโซฟาหลังตรง
“โอ้ว…สัตว์มานาของคุณเปลี่ยนไปมากตั้งแต่ครั้งสุดท้ายที่เราพบกัน ช่างน่าสนใจ” ซินเธียพยายามจับซิลวีที่กำลังนอนขดตัวอยู่บนโซฟา แต่เธอกระโดดออกจากมือของเธอและอิงแอบแนบหัวของฉัน
“ฮ่าๆ ยังขี้อายเหมือนเดิมเลยนะ” เธอพยายามศึกษาซิลวีครั้งสุดท้ายก่อนจะหันมามองฉัน “อืมม…แปลกจริง ดูเหมือนฉันจะสัมผัสได้เพียงมานาคุณลักษณะของลมและดินภายในตัวคุณ คุณกำลังใช้ไอเทมในการปิดผนึกมันหรือ?” เธอเอียงศีรษะไปด้านข้างขณะที่อาไลจาห์ยืนคร่อมอยู่ข้างหลังเธอราวกับอยู่ต่อหน้าผู้บังคับบัญชาในสงคราม
ฉันยกแขนซ้ายขึ้นเพื่อเผยให้เห็นสร้อยข้อมือที่มีเครื่องรางสองอันห้อยอยู่เพื่อตอบคำถามของเธอ
“จะบอกว่าฉันไม่ผิดหวังก็ไม่เชิง ฉันหวังว่าจะได้อวดคุณในฐานะลูกศิษย์บุญธรรมตัวน้อยของฉัน แต่ฉันเดาว่าออกเมนเตอร์ธาตุคู่ก็หายากพอที่จะทำเช่นนั้นได้ ตอนที่คุณเลือกเป็นนักเรียนสายวิชาการนั้นก็เป็นสิ่งที่ฉันเดาได้ตั่งแต่แรกแล้ว” เธอหัวเราะเบา ๆ
“ผมวางแผนที่จะไปเยี่ยมสำนักงานของคุณเพื่ออัปเดตข้อมูลบางอย่างให้กับคุณ แต่มันช่วยผมอย่างมากกับการที่คุณมาที่นี่แทน ผมอาจจะสร้างศัตรูจากครอบครัวที่ไม่เป็นมิตรในขณะที่ผมเป็นนักผจญภัยดังนั้นผมจึงไม่ต้องการสร้างเหตุผลใดๆ ที่จะทำให้เขาสงสัยในตัวผม อย่างน้อยก็ไม่ใช่ในตอนนี้” ฉันเอนหลังพิงเก้าอี้และศึกษารูนทั้งสองที่ติดอยู่กับสร้อยข้อมือของฉัน
“ใช่ฉันได้อ่านรายงานเกี่ยวกับคดีระหว่างนักผจญภัยโน็ตและนักผจญภัยลูคัสไวค์สแล้ว ค่อนข้างเป็นศัตรูที่ยุ่งยากที่คุณต้องรับมือ เนื่องจากพวกเขาเป็นตระกูลทหารฉันจึงมีอำนาจระดับหนึ่งเหนือครอบครัวของเขา แต่พวกเขามีเรื่องที่ซ่อนเร้นมากเกินไปที่จะหลบเลี่ยงเราต่อไป” ผู้อำนวยการซินเทียลูบคางของเธอและพยายามคิดหาวิธีแก้ไขปัญหา
"ทุกอย่างปกติดีครับ ผมไม่ถือว่ามันเป็นเรื่องเร่งด่วน เขาเป็นเหมือนงานบ้านที่ผมจะต้องจัดการให้เสร็จสักวัน ถ้าตอนนี้ผมทำอะไรที่บุ่มบ่ามลงไปมันจะส่งผลกลับมายังเพื่อนและครอบครัวของผม นั่นคือเวลาที่มันจะเป็นปัญหา ผมต้องการความช่วยเหลือจากคุณในเรื่องอื่นมากกว่า” ฉันวางศอกไว้บนหัวเข่าขณะที่ฉันโน้มตัวไปหาผู้อำนวยการซินเทีย
“ได้โปรดบอกมาได้เลย” เธอตอบอย่างสุภาพ
“ผมต้องการเรียนทฤษฎีมานาในระดับที่สูงขึ้นโดยเฉพาะอย่างยิ่งในห้องเรียนของนักเวทย์ดีวีเอินท” ฉันพูดง่ายๆ
“อืม…นั่นคงไม่ใช่เรื่องยากเกินไปที่จะทำ แต่อาเธอร์หนึ่งในเหตุผลหลักของคุณในการเข้าเรียนที่สถาบันแห่งนี้คือเพื่อให้เข้ากับเพื่อนๆ ของคุณได้ไม่ใช่หรือ?” เธอมองฉันอย่างพินิจพิเคราะห์
“ผมคิดที่จะใช้ชั้นเรียนพวกนี่เป็นเหมือนเรียนพิเศษ ส่วนชั้นเรียนปกติของผม ผมก็จะอยู่กับนักเรียนที่อายุเท่าๆ กัน ผมแค่อยากที่จะเรียนรู้เพิ่มเติมเกี่ยวกับการจัดการมานาของนักเวทย์สายดีวีเอินทเนื่องจากผมเพิ่งชนเพดานเมื่อไม่นานมานี้” ฉันเกือบจะพูดออกมาว่า 'เนื่องจากโลกเก่าของฉันไม่มีเวทมนตร์สายดีวีเอินท'
"ก็ได้ ฉันสามารถทำให้มันเกิดขึ้นได้และฉันยังอนุญาตให้คุณสังเกตการประลองของนักเวทย์ระดับสูงได้เช่นกัน” เธอฟังดูใจกว้าง แต่ฉันมองเธออย่างสงสัยเท่านั้น
“โอเค…แล้วข้อแลกเปลียนคืออะไร?” ฉันเลิกคิ้ว
“อาเธอร์ฉันเสียใจจังที่เธอคิดแบบนี้! ฉันแค่อยากทำสิ่งนี้เพื่อดูการเติบโตของคุณ!” เธอวางมือบนหัวใจของเธอจนดูเกินจริงราวกับว่าเธอกำลังถูกละเมิด
"อาร์ต! นายกำลังพูดจาหยาบคายกับผู้อำนวยการนะ!” อาไลจาห์ดูตื่นตระหนกเล็กน้อยเนื่องจากเขามองไม่เห็นการแสดงออกทางสีหน้าของผู้อำนวยการขณะที่เธอทำสิ่งนี้
ฉันยิ้มให้เธอและรอคำตอบอย่างเงียบๆ
กู๊ดสกี้ถอนหายใจ "ดีละ แน่นอนฉันเชื่อว่าการได้รับค่าตอบแทนบางส่วนจากคุณก็ถือเป็นเรื่องที่ยุติธรรมดี” เธอกล่าวตอบจนทำให้อาไลจาห์งุนงง
“ผมหวังว่าคุณจะไม่พูดอะไรที่ไร้สาระเช่นการให้ผมเข้าร่วมสภานักเรียน” ฉันส่ายหัว
“ฉันได้ยินเรื่องการทะเลาะกันเล็กๆน้อยๆ ของคุณกับเจ้าหญิงก่อนหน้านี้แล้ว” เธอหัวเราะขณะที่ใบหน้าของฉันเปลี่ยนเป็นสีแดงเล็กน้อยด้วยความลำบากใจ
“ฉันไม่ได้คาดหวังว่าอาเธอร์เลย์วินที่เย็นชาและสงบนิ่งจะระเบิดแบบนั้นได้ ฉันเดาว่าเจ้าหญิงเอราลิธคงเป็นคนพิเศษสินะ?” เธอยังคงหัวเราะและแซวอยู่กับความลำบากใจของฉัน
“เดี๋ยวก่อนอาร์ตหมายความว่ายังไง?” อาไลจาห์เดินมาหาเราเพื่อที่เขาจะได้เห็นเราทั้งสองคนแม้ว่าเขาจะยังคงแสดงความเคารพต่อซินเทีย
ก่อนที่ผู้อำนวยการจะตอบเธอมองมาที่ฉันเพื่อดูว่าฉันโอเคกับมันไหม หลังจากยักไหล่อย่างไม่ใส่ใจเธอก็บอกกับอาไลจาห์ “เพื่อนสนิดของคุณเป็นเพื่อนสมัยเด็กของประธานสภานักเรียนที่น่ารักของพวกเรา” ริมฝีปากของผู้อำนวยการม้วนเป็นรอยยิ้มแบบเจ้าเล่ห์ราวกับว่าเธอเป็นวัยรุ่นที่กำลังเล่าเรื่องซุบซิบนินทา
ฉันกังวลเล็กน้อยว่ากรามของอาไลจาห์ทำให้ใบหน้าของเขาหย่อนลงได้มากน้อยเพียงใด ฉันสามารถเห็นส่วนผสมของอารมณ์ตั้งแต่ความตกใจไปจนถึงการทรยศไปจนถึงความอิจฉา ทั้งหมดที่อยู่ในใบหน้าของเขา
“ได้ไง? เมื่อไหร่? อะไรนะ?” เขาไม่สามารถสร้างประโยคที่สมบูรณ์ได้ในขณะที่เขาพยายามที่จะคาดเดาสถานการณ์ทั้งหมด
โดยไม่สนใจเขาฉันหันกลับไปหาซินเทีย “คุณรู้ได้อย่างไรว่าผมทะเลาะกับเธอมา” ฉันถามด้วยความอยากรู้อยากเห็น “ผมไม่แปลกใจเลยที่คุณรู้ แต่มันไม่ใช่เรื่องบังเอิญเช่นกัน”
“ฮ่า ๆ เกี่ยวกับเรื่องนั้น… วิริออนเอราลิธเป็นคนรู้จักเก่าของฉัน ฉันไม่ได้บอกคนอื่นๆ แต่ฉันพูดกับเขาด้วยความตื่นเต้นว่าสถาบันของฉันจะมีควอดราออกเมนเตอร์ที่มีพรสวรรค์ในอีกไม่กี่ปีข้างหน้า เขากับฉันแข่งขันกันตั้งแต่สมัยก่อน แต่เขาค่อนข้างสงบเมื่อได้ยินข่าวนี้ซึ่งทำให้ฉันสงสัย อย่างไรก็ตามฉันไม่รู้จนกระทั่งได้รับหลานสาวของเขามาเป็นศิษย์ของฉัน คุณรู้ไหมว่าสิ่งแรกที่เธอพูดเมื่อเธอเจอฉันคืออะไร?” (Editor Note : ควอดราออกเมนเตอร์ - นักเสริมพลังที่ใช้ได้ทั้ง4ธาตุ)
ฉันบอกได้เลยว่าฉันต้องพยายามกลั้นเสียงหัวเราะ แต่นั้นก็ทำให้ฉันส่ายหัวด้วยความพ่ายแพ้ ใบหน้าของฉันกลายเป็นสีแดงเข้มขึ้น
“‘อาเธอร์เลย์วินจะเริ่มเข้าโรงเรียนนี้เมื่อไหร่ค่ะ?’” ผู้อำนวยการซินเธียพูดด้วยน้ำเสียงแหลมสูงซึ่งเหมือนเสียงของเทสที่อายุน้อยกว่า สำหรับคนอื่นๆ เธออาจจะดูยิ่งใหญ่และลึกลับเพียงใดแต่เธออยู่ที่นี่หัวเราะเหมือนเด็กก่อนวัยเรียนที่กำลังสนุกอยู่กับความลำบากใจของฉัน
"อะไรนะ? อาร์ต! นายรู้จักเธอได้อย่างไร?” ฉันบอกได้เลยว่าอาไลจาห์อยากจะสำลักคำตอบจากฉัน แต่ยังอดกลั่นไว้เพราะผู้อำนวยการยังอยู่ที่นี่ แม้ว่าเธออาจจะไม่รังเกียจ
“ในที่สุดฉันก็ปะติดปะต่อเรื่องราวเข้าด้วยกัน จริงๆแล้ว…เมื่อคุณเคยได้รับการฝึกฝนมาจากวิริออน ฉันรู้สึกเหมือนถูกหักหลังเลยนะอาเธอร์” เธอทำหน้ามุ่ยอีกครั้ง
ถึงตอนนี้อาไลจาห์ก็จมลงบนเก้าอี้ของเขาและยอมแพ้กับชีวิตของเขา
“ฉันไม่ได้ตั้งใจจะก้าวก่ายชีวิตรักของคุณ แต่เธอคิดถึงคุณมากนะอาเธอร์ ฉันแน่ใจว่าเธอไม่ได้ตั้งใจที่จะทำแบบที่เธอได้ทำไปก่อนหน้านี้ การฝึกกับฉันไม่ใช่เรื่องง่ายและมีเพียงไม่กี่คนที่ได้ลองทำก่อนที่พวกเขาจะสอบตก เหตุผลที่เธอสามารถติดตามและฝึกฝนต่อไปภายใต้ฉันได้ก็เพราะเธอปรารถนาที่จะเจอคุณนะอาเธอร์ คุณต้องตระหนักได้ว่าคุณได้ทำตัวเหมือนเด็กที่เอาแต่ใจก่อนหน้านี้” เธอทำให้ฉันพูดไม่ออก ดุด่าว่าฉันเหมือนแม่ที่กำลังผิดหวัง
"ใช่ ผมรู้ว่าผมทำตัวโง่แค่ไหนไม่จำเป็นต้องเตือนผมหรอก” ฉันถอนหายใจแล้วเอนหลังลงไปที่เบาะ
“คุณจะไปปรับความเข้าใจกับเธอในเร็วๆ นี้ใช่มั้ย? ฉันไม่อยากเห็นลูกศิษย์ของฉันท้อแท้ในขณะที่เธอกำลังฝึกฝน” เธอยิ้มให้ฉันอย่างอ่อนโยนก่อนจะพูดต่อ “สิ่งที่ฉันต้องการจากคุณไม่ใช่การเป็นสภานักเรียน แต่เป็นส่วนหนึ่งของคณะกรรมการที่กำลังจะเริ่มขึ่นในปีนี้ คณะกรรมการฝ่ายวินัย”
ฉันรู้ว่าเธอต้องการให้ฉันทำอะไรแบบนี้แน่ๆ “ลืมมันซะ ผมไม่ต้องการเรียนเกี่ยวกับทฤษฎี ผมจะหาอ่านเอาเองจากหนังสือในห้องสมุด” ฉันส่ายหัว
“หนังสือเกี่ยวกับดีวีเอินทไม่สามารถเข้าถึงได้สำหรับนักเรียกปีแรกและแม้แต่รุ่นพี่คุณก็ต้องแสดงให้เห็นว่าคุณเป็นนักเวทย์สายดีวีเอินทซึ่งเป็นสิ่งที่คุณไม่สามารถทำได้ในตอนนี้ใช่ไหม?” เธอหักล้างแผนการของฉันอย่างใจเย็น
“การเป็นส่วนหนึ่งของคณะกรรมการฝ่ายวินัยนี้หรืออะไรก็ตาม…มันสมเหตุสมผลยังไง? ผมเป็นนักเรียนเฟรชชี่ของสถาบันแห่งนี้ในฐานะนักเวทย์สายวิชาการเสียด้วย อีกอย่างสมาชิกคนอื่นๆ จะคิดยังไง?” ฉันพยายามหาเหตุผล
“แม้ว่าพวกเขาอาจจะไม่เห็นด้วยในตอนแรก แต่ฉันเชื่อว่าคุณจะมีความสามารถพอที่จะเปลี่ยนใจแม้จะมีแต้มต่อในตัวเองก็ตาม” ผู้อำนวยการกู๊ดสกี้โยนความขี้เล่นที่ดูเหมือนฟิกเรื่องนี้ไปแล้ว
“อาเธอร์ มันไม่เหมือนกับสมาชิกสภานักเรียนที่ได้รับเลือกตามเกณฑ์ คณะกรรมการฝ่ายวินัยจะยึดตามความแข็งแกร่งเป็นหลัก ความรับผิดชอบของคุณแทบจะไม่มากเท่ากับสภานักเรียนและการอยู่ในคณะกรรมการฝ่ายวินัยจะทำให้คุณมีโอกาสทำงานร่วมกับนักเรียนซึ่งบางส่วนก็เป็นนักเวทย์สายดีวีเอินทซึ่งล้วนมีความแข็งแกร่งในสายของตนมาก” การโต้เถียงของเธอรุนแรงขึ้น
“คุณบอกว่ากรรมการฝ่ายวินัยขึ้นอยู่กับความแข็งแกร่ง -” ก่อนที่ฉันจะจบประโยคเธอก็ตัดบททันที
“ไม่ต้องเป็นห่วง ลูคัสไวค์สจะไม่อยู่ในคณะกรรมการฝ่ายวินัยหากนั่นคือสิ่งที่คุณอยากรู้ อาเธอร์โอกาสนี้เป็นสิ่งที่นักเรียนคนอื่นๆ ถือเป็นเกียรติ ฉันยืนยันขอให้คุณรับมันไว้” เธอโน้มตัวเข้ามา ตอนนี้ใบหน้าของเธอดูจริงจังขึ้นเล็กน้อย
“…” หัวของฉันก้มลงขณะที่ฉันคิดเรื่องต่างๆ นอกเหนือจากชั้นเรียนปกติและชั้นเรียนพิเศษแล้วฉันจะต้องทำงานเป็นคณะกรรมการโดยให้ความสำคัญกับเวลาฝึกซ้อมส่วนบุคคลซึ่งฉันยังคงคิดว่าจะเก็บความลับที่ไหนดี
ราวกับว่าเธออ่านใจฉันออกเธอก็โยนข้อเสนอสุดท้ายออกไป “เนื่องจากจำนวนงานอาจจะมากเกินไปในชั้นเรียนและการศึกษาอิสระ ฉันขอเสนอให้คุณเข้าใช้สถานที่ฝึกอบรมส่วนตัวได้ คุณไม่ต้องกังวลว่าจะมีใครบุกรุกเข้ามา” เธอชี้ไปที่สร้อยข้อมือของฉัน
“ได้โปรดอาเธอร์ฉันรู้สึกว่านี่อาจเป็นข้อตกลงที่ดีสำหรับเราทั้งคู่ในระยะยาว” ใบหน้าของเธออ่อนลงเล็กน้อยขณะที่เธอแสดงความจริงใจ
ฉันเริ่มคิดว่าการอยู่ในคณะกรรมการฝ่ายวินัยจะเข้ากับแผนของฉันได้อย่างไรและฉันก็พบว่ามันไม่มีความเสียหายใดๆ “ดีละผมยอมเป็นส่วนหนึ่งของคณะกรรมการฝ่ายวินัย” ไหล่ของฉันคลายออกขณะที่ฉันถอนหายใจ
"ดีมาก! ชั้นเรียนจะเริ่มในวันพรุ่งนี้ ฉันจะให้ตารางเรียนใหม่ของคุณกับอาจารย์ประจำคาบแรกของคุณ นี่คือเครื่องแบบใหม่ของคุณที่ฉันเตรียมไว้ในกรณีสำหรับข่าวดี มีดเป็นสัญลักษณ์ของคณะกรรมการฝ่ายวินัย แต่มันมีราคาค่อนข้างแพงดังนั้นอย่าทำมันหายละ “เธอขยิบตาให้ฉันขณะที่เธอโยนเครื่องแบบที่ตัดเย็บให้ฉันพร้อมมีดและสายรัด มันทำให้ฉันหงุดหงิดที่เธอได้เตรียมการมาก่อนที่เธอจะเข้ามาแม้ว่ามันจะ”เพื่อเอาไว้" ก็ตาม
มันทำให้ฉันรู้ว่าแม้ฉันจะเอาชีวิตก่อนหน้านี้และชีวิตนี้รวมกัน ทั้งคุณปู่วิริออนและผู้อำนวยการกู๊ดสกี้ก็ยังคงแก่กว่าฉัน ท้ายที่สุดฉันมีชีวิตอยู่จนถึงแค่วัยสามสิบปลายๆ เท่านั้นซึ่งเป็นจุดที่ฉันได้ผ่านพ้นจุดที่พีคที่สุดในฐานะของนักประลอง ฉันจมอยู่กับความจริงที่ว่าฉันได้ใช้ชีวิตมาสองครั้งจนฉันลืมไปเลยว่ายังมีคนที่มีอายุมากกว่าฉันอยู่ที่นี่ แน่นอนว่าฉันยังคงได้เปรียบกว่านักเวทย์แบบดั้งเดิมที่นี่เพราะฉันมาจากที่ที่การใช้ "เวทย์มนตร์" นั้นก้าวหน้ากว่ามาก
อย่างไรก็ตามข้อได้เปรียบที่นักเวทย์รุ่นเก่าจากโลกนี้มีคือพวกเขาคุ้นเคยกับปริมาณมานาในชั้นบรรยากาศที่นี่และเชี่ยวชาญในระดับหนึ่งแล้ว
ฉันเดาว่าแม้จะมีสองชีวิตแต่ก็ยังต้องมีใครสักคนที่ฉลาดกว่าฉัน
ฉันสลัดความคิดออกจากหัวโดยไม่สมัครใจทำให้ผู้อำนวยการกู๊ดสกี้เอียงหัวด้วยความอยากรู้อยากเห็น
“ในเมื่อเรื่องของฉันได้รับการตัดสินแล้วฉันก็ขอลาไปก่อนละ! อิ่มอร่อยกับอาหารค่ำมื้อแรกของคุณที่นี่และโปรดแก้ไขสิ่งต่างๆกับเทสเซียศิษย์รักของฉันให้เร็วที่สุดด้วยนะ ฉันไม่ต้องการให้ศิษย์ที่น่ารักของฉันต้องเศร้า” จู่ๆเธอก็หายตัวไปทำให้ฉันสงสัยว่าทำไมเธอถึงไม่เข้ามาแบบนั้น อาจเป็นการเคารพความเป็นส่วนตัวหรืออะไรบางอย่างของเรา
ทันทีที่ผู้อำนวยการกู๊ดสกี้จากไปเงาก็ปรากฏขึ้นเหนือฉันขณะที่ฉันเห็นอาไลจาห์มองลงมาที่ฉัน การแสดงออกทางสีหน้าของเขาคล้ายกับปีศาจ
“นายมีเรื่องที่ต้องอธิบายอีกเยอะเลย” และฉันสาบานได้ว่าฉันเห็นฟันแหลมคมในขณะที่เขายิ้มเยาะอย่างชั่วร้าย