บทที่ 45 กล้าดียังไง
นักเรียนจากทั้งสามเผ่าพันธุ์ที่กำลังส่งเสียงเชียร์สมาชิกของสภานักเรียนเงียบลงเมื่อเทสเดินเข้ามา ผมสีเงินสีเงินของเธอพลิ้วไสวอยู่ข้างหลังขณะที่แต่ละย่างก้าวที่สง่างามของเธอสะท้อนไปทั่วหอประชุมที่เงียบสงัดและเปลียนบรรยากาศภายในอาคารนี้ทั้งหมด
ขณะที่เธอก้มหัวและรวบผมไว้ข้างหู เสียงปรบมือดังกึกก้องขณะที่ทั้งชายและหญิงต่างโห่ร้องด้วยความชื่นชม ฉันคิดว่าเสียงเชียร์จะคงอยู่อีกนานแต่ทันทีที่เทสเริ่มพูดนักเรียนแต่ละคนก็ต่างปิดปากของกันและกันเพื่อให้พวกเขาได้ยินเสียงของเธอ
“ฉันชื่อเทสเซียเอราลิธและฉันรู้สึกเป็นเกียรติที่ได้มายืนที่นี่ในฐานะประธานสภานักเรียนของสถาบันนี้”
เสียงพึมพำเริ่มขึ้นหลังจากที่ฝูงชนส่งเสียงเชียร์ประธานคนสวยของเราอีกครั้ง ถัดจากฉันเด็กชายรูปร่างผอมแห้งพูดกับเพื่อนข้างๆเขาอย่างตื่นเต้น
“นั่นคือเจ้าหญิงเอราลิธที่ฉันพูดถึงไงละ พี่ชายของฉันบอกฉันว่าเธออยู่ในมหาวิทยาลัยตั้งแต่ปีที่แล้วในฐานะศิษย์โดยตรงภายใต้ผู้อำนวยการและจะเริ่มเข้าเรียนอย่างเป็นทางการในปีนี้กับเรา!” เขาโน้มตัวเข้าไปหาเพื่อนของเขาเพื่อให้เขาได้ยินแต่ระดับเสียงที่เขาพูดมันทรยศเขา
“นั่นหมายความว่าเธอเป็นคนนอกคนแรกที่ก้าวเข้ามาในมหาวิทยาลัยแห่งนี้ เดี๋ยวก่อน…เธออยู่แค่ปีแรกแต่เธอเป็นถึงประธานสภานักเรียนแล้ว? มันเป็นไปได้หรือ?” เพื่อนของเขาที่ฉันมองไม่เห็นหน้าพูดเสียงดังขึ้นเรื่อยๆ ทำให้นักเรียนที่อยู่ใกล้เคียงได้ยินเช่นกัน
“ใช่ฉันก็เคยได้ยินเรื่องของเธอมาเช่นกัน! เธอน่าจะเป็นอัจฉริยะขั้นสุดยอดใช่มั้ย?”
“ทำไมเธอถึงทั้งน่ารักและมีความสามารถเช่นนี่? นี่ไม่ยุติธรรมเลยด้วยซ้ำ…”
“ฉันสงสัยว่าฉันต้องทำยังไงเพื่อให้เธอมองมาที่ฉัน”
ผู้ชมเอาแต่พูดถึงเทสในหัวข้อที่แตกต่างกัน แต่ในขณะที่สำหรับผู้ชายมันวนเวียนอยู่กับว่าเธอเป็นดาราที่ไม่มีใครอื้มถึงได้ สำหรับผู้หญิงมันเป็นส่วนผสมของความชื่นชมและความอิจฉา ซิลวีที่อยู่บนหัวของฉันแทบจะบ้าเมื่อเธอจำเทสบนเวทีได้
“คยู ~” ‘ป๊า! นั่นคือมาม่านิ! เธออยู่ตรงนั้นไง! ไปทักทายมาม่ากันเถอะ! ’ซิลวีกระโดดขึ้นลงฉันจึงอุ้มเธอขึ้นมาแล้วโอบแขนเธอไว้
‘แม่ของเธอคือใครกัน!?’ ฉันอดไม่ได้ที่จะถอนหายใจด้วยความพ่ายแพ้ในความตื่นเต้นของเธอ เทสเริ่มสนิทกับซิลวีเล็กน้อยหลังจากฟักออกมาดังนั้นฉันจึงได้เห็นว่าทำไมซิลวีถึงชอบเธอมาก ... แต่ "มาม่า"?
“ว้าว…” อาไลจาห์ที่ฉันเลิกสนใจแล้วจับแขนของฉันด้วยมือทั้งสองข้างของเขาแน่นราวกับว่าเขาต้องการให้ฉันพยุงเขาไม่ให้เป็นลม
“ว้าว” เขาพูดซ้ำ แม้ว่าเขาจะดูฉลาดแค่ไหนเขาก็ทำตัวเหมือนคนงี่เง่าได้ในบางครั้งเช่นนี้
“นายโอเคไหมอาไลจาห์?” ฉันสะกิดหัวของเขาเบาๆ แต่มันก็เด้งเหมือนกับตุ๊กตาล้มลุก
“…อาร์ต…ฉันคิดว่าฉันกำลังมีความรัก” ทันใดนั้นเขาก็ปล่อยมือที่จับแขนของฉันอย่างแน่นเพื่อเชื่อมแขนกับฉันราวกับว่าฉันเป็นเทส
โอเคนี่กำลังจะไปกันใหญ่ละ ฉันปลดปล่อยซิลวีออกจากแขนเพื่อโจมตีเขาและเธอก็งับไปที่ด้านบนของศีรษะของอาไลจาห์ในทันทีทำให้เขาเริ่มกรีดร้องจากความประหลาดใจมากกว่าความเจ็บปวด
“โอ...ขอโทษ…” ขณะที่ซิลวียังคงห้อยหัวอยู่อาไลจาห์จึงปล่อยแขนของฉันและเริ่มโฟกัสไปที่เวทีด้านล่างอีกครั้ง
ขณะที่ฝูงชนนั่งลงเทสก็เริ่มพูดอีกครั้งและผู้อำนวยการกู๊ดสกี้ก็เงียบไป
เทสพูดอย่างฉะฉานจนทำให้ฉันประหลาดใจ เธออายุแค่สิบสามแต่เธอสามารถดึงดูดความสนใจของผู้คนได้อย่างเต็มที่ด้วยคำพูดที่ไร้การปรุงแต่งและเต็มไปด้วยวุฒิภาวะ เธอพูดถึงหลักการของสถาบันนี้ว่านี่เป็นพื้นที่ศักดิ์สิทธิ์ที่นักเรียนควรรู้สึกปลอดภัยที่จะเดินไปรอบๆ ได้อย่างอิสระ อย่างไรก็ตามเทสเน้นย้ำถึงระเบียบวินัยที่จะต้องเผชิญหากใครก็ตามได้จงใจทำร้ายนักเรียนคนอื่นนอกการต่อสู้ที่ทั้งสองฝ่ายยินยอม
“ในขณะที่ฉันอาจจะอยู่ปีแรกเหมือนพวกคุณ แต่การได้รับสิทธิพิเศษให้อยู่ในสถาบันการศึกษานานขึ้นหนึ่งปีทำให้ทุกอย่างชัดเจนเกินไปสำหรับฉันว่ามีการเหยียดกันระหว่างนักเรียนโดยเฉพาะนักเรียนสายต่อสู้ที่มีต่อนักเรียนสายวิชาการ สำหรับเรื่องนี้ฉันจะไม่ยอมให้มีการกลั่นแกล้งใดๆ โดยอาศัยเหตุผลเล็กน้อยที่ว่าเค้าเป็นเพียงนักเรียนสายวิชาการ” เสียงของเทสไม่แม้แต่หวั่นไหวขณะที่เธอยืนอยู่หลังโพเดียม
ฝูงชนส่งเสียงดังขึ้นเล็กน้อยในคำพูดนี้เนื่องจากทุกคนในปัจจุบันเคยได้ยินข่าวลือเกี่ยวกับความยากลำบากที่อาจต้องเผชิญในฐานะนักเรียนสายวิชาการเวทย์มนตร์
“ตั้งแต่ปีนี้เป็นต้นไปในขณะที่เครื่องแบบและหลักสูตรอาจแตกต่างกันในช่วงสองปีแรก การศึกษาทั่วไปจะมีการผสมผสานระหว่างคลาสของนักเวทย์สายวิชาการและคลาสของนักเวทย์สายต่อสู้ ทางสถาบันต้องการให้เกิดการผสมผสานมิตรภาพระหว่างนักเรียนสองสายที่แตกต่างกันได้ดีขึ้น หลังจากปีที่สองทุกๆคนสามารถเลือกที่จะสายที่ต้องการได้โดยการสอบแม้ว่าการสอบผ่านอาจจะยากก็ตาม” คำพูดสุดท้ายนี้ดึงดูดความไม่พอใจจากบรรดานักเรียนในฝูงชน แม้ว่าทั้งอาไลจาห์และฉันจะไม่ต้องเข้ารับการทดสอบเนื่องจากมีความสัมพันธ์พิเศษกับผู้อำนวยการกู๊ดสกี้ แต่นักเรียนส่วนใหญ่ไม่ว่าจะมีภูมิหลังอย่างไรก็ต้องทดสอบตำแหน่งว่าอีกสองปีหลังเค้าจะเป็นนักเวทย์สายต่อสู้หรือสายวิชาการ
ในการเข้าเรียนในฐานะนักเวทย์วิชาการนักเรียนที่เข้ามานั้นต้องการเพียงแค่พื้นฐานของเวทมนตร์ขั้นพื้นฐานซึ่งก็คือการรวบรวมมานา ในขณะที่พวกเขาต้องสอบข้อเขียนเพื่อทดสอบความเฉียบแหลมทางจิตใจ แต่ข้อสอบภาคปฏิบัตินั้นง่ายกว่ามาก อย่างไรก็ตามนักเรียนสายต่อสู้มีการสอบภาคปฏิบัติที่เข้มงวดกว่ามากและใช้คาถาหรือเทคนิคพื้นฐานจริงๆ ขึ้นอยู่กับว่าพวกเขาเป็นคอนเจอะเรอร์หรือออกเมนเตอร์อาจ ดูเหมือนเป็นทางเดินที่โรยไปด้วยกลีบกุหลาบสำหรับใครบางคนอย่างอาไลจาห์เทสหรือฉัน แต่ฉันยอมรับว่ามันอาจจะเป็นเรื่องท้าทายสำหรับคนที่เพิ่งตื่นจากพลัง
นักเรียนร่างสูงที่ดูเคร่งขรึมก้าวขึ้นไปข้างหน้าทำให้ฝูงชนเงียบงันด้วยการโบกมือของเขา
“ ฉันชื่อไคลฟ์เกรฟส์และฉันเป็นรองประธานนักเรียนของพวกคุณ ตามที่ประธานได้กล่าวไว้ ปีนี้ได้มีการเปลี่ยนแปลงมากมาย นอกเหนือจากการผสมผสานและอิสระในการเคลื่อนย้ายระหว่างนักเรียนทั้งสองสายแล้วทางสถาบันจะไม่จำกัดระยะเวลาที่นักเรียนจะสามารถเข้าเรียนในสถาบันนี้ได้ แม้ว่าในอดีตอาจารย์จะผลักดันนักศึกษาสำเร็จการศึกษาหลังจากสี่ปี แต่ก็มีความชัดเจนมากขึ้นเรื่อยๆ ว่าความสามารถของนักเวทย์ที่จบการศึกษาจำนวนมากไม่เป็นที่น่าพอใจ ดังนั้นผู้อำนวยการจึงประกาศว่าแทนที่จะจำกัดเวลาในการสำเร็จการศึกษาจากสถาบันไซรัสเราจำเป็นต้องปฏิบัติตามข้อกำหนดและผ่านการสอบสำเร็จการศึกษาให้ครบทุกตัว
“แม้ว่าเงื่อนไขในการสำเร็จการศึกษาจะยากขึ้นหลายเท่าแต่เวลาที่จำกัดในการสำเร็จการศึกษาก็เพิ่มขึ้นเป็นสิบปี ในเวลานั้นเราหวังเป็นอย่างยิ่งว่าจะผลิตนักเวทย์ชั้นยอดทั้งในด้านทฤษฎีและด้านการต่อสู้ เรายินดีต้อนรับทุกคนที่นี่ไม่ว่าจะเป็นมนุษย์เอลฟ์และคนแคระ - ให้มาเรียนที่สถาบันแห่งนี้” ไคลฟ์โค้งคำนับสภานักเรียนที่เหลือเดินตามเขาไป
ส่วนสุดท้ายของการประกาศไม่ใช่ข่าวใหม่สำหรับพวกเราทุกคน แม้ว่าจะมีการประกาศเมื่อไม่นานมานี้ซึ่งทำให้ฉันคิดว่ามันมีส่วนเกี่ยวข้องกับทวีปใหม่ สถาบันนี้ถูกใช้เพื่อผลิตนักเวทย์คุณภาพสูงขึ้นในกรณีที่ต้องต่อสู้กับทวีปใหม่ในอนาคตด้วยหรือ?
“นั่นคือลูกชายคนโตของตระกูลเกรฟส์ที่มีชื่อเสียงนิ! อย่าทำให้ของเขาไม่พอใจละ” เด็กชายข้างๆฉันกระซิบอีกครั้งด้วยระดับเสียงที่ดังอย่างไม่มีจุดหมาย
หลังจากเสร็จสิ้นพิธี นักเรียนใหม่ทุกคนก็ถูกไล่ให้ไปยังหอพักของพวกเขา เมื่อออกจากหอประชุมสายตาของฉันก็มองหาเทสโดยไม่รู้ตัวแต่ฉันมองหาเธอไม่พบ ด้านนอกมีต้นไม้โค้งเหนือทางเดินหินอ่อนทำให้มีใบไม้หล่นจากกิ้งมาเล็กน้อย นักเรียนทุกคนคุยกันอย่างตื่นเต้นในหมู่เพื่อนๆและทำความรู้จักกับผู้คนใหม่ๆ เมื่อเดินลึกเข้าไปในมหาวิทยาลัยจนถึงที่อยู่ของหอพักฉันเห็นนักเรียนหญิงสองสามคนเดินผ่านอาไลจาห์กับฉันและกลับมามองเราสองสามครั้งและหัวเราะคิกคักกับเพื่อน ๆ
อาไลจาห์ถอนหายใจ “ฉันรู้สึกว่าตัวเองดูดีน้อยลงอย่างเห็นได้ชัดเมื่ออยู่ข้างๆนาย” ไหล่ของอาไลจาห์ค่อมขณะที่เราเดินเคียงข้างกัน ซิลวีตบหัวของอาไลจาห์เบาๆอย่างน่าสงสารจากด้านบนหัวของฉัน
“ถึงแม้ว่าสาวๆส่วนใหญ่จะปิ้งฉัน แต่ก็ต้องมีสาวๆ บางคนที่ปิ้งนายบ้างละใช่มั้ย?” ฉันแซวและขยิบตาอย่างขี้เล่น
“ไอ้บ้า” เขาตีฉันที่ท้องขณะที่เราทั้งคู่หัวเราะ
ทันใดนั้นเสียงระเบิดก็ดังขึ้นทำให้เราทั้งคู่และนักเรียนที่เดินไปมาใกล้ๆตกใจ มีบางอย่างเกิดขึ้นที่ปลายของทางเดินหินอ่อน หลังจากสบตากันอย่างรวดเร็วอาไลจาห์กับฉันก็วิ่งออกไป
“ฉันไม่เห็นว่าไอ้แคระขาสั้นอย่างแกจะเป็นออกเมนเตอร์ได้ยังไง ทำไมแกไม่ไปเรียนการหลอมอาวุธให้สำหรับนักรบตัวจริงอย่างฉันล่ะ?”
“นายพูดว่าอะไรนะ? นายคิดว่านายเป็นใครกันแน่?”
ฉันหยุดอยู่ในระยะทางที่พอดีและส่ายหัวเมื่อรู้ว่าเกิดอะไรขึ้น มันเป็นเพียงการท้าทายโง่ๆ ระหว่างนักเรียนสองคน การระเบิดเกิดขึ้นโดยเด็กมนุษย์ได้ทุบกำปั้นของเขาบนต้นไม้ใกล้ๆ ด้วยมานา
“มันจะไม่อันตรายไปหน่อยหรือ?” อาไลจาห์มองไปรอบๆ ที่ซึ่งนักเรียนบางคนต้องเดินไปรอบๆ พวกเขาสองคนเผื่อว่าพวกเขาจะเริ่มต่อสู้กัน พวกเราอยู่ในกลุ่มคนสุดท้ายที่ออกจากหอประชุมดังนั้นคนส่วนใหญ่จึงอยู่ลึกเข้าไปในมหาวิทยาลัยหรือในหอพักของพวกเขาแล้ว จึงมีคนไม่มากนักแต่ถ้าพวกเขาเริ่มต่อสู้นักเรียนบางคนในบริเวณใกล้เคียงอาจจมอยู่ในวุ่นวาย
“พวกเขาคงไม่กล้าทำอะไรอย่างเช่นต่อสู้กันในวันแรกใช่ไหม? ไปกันเถอะ” ฉันพยายามเขยิบตาให้เพื่อนเพื่อไปยังเส้นทางวงเวียนเพื่อหลีกเลี่ยงนักเรียนสองคนที่กำลังเถียงกันอยู่
“เอาเถอะเราไม่มีอะไรทำนอกจากแค่จัดของนิ! มาดูกันว่าพวกเขาเก่งแค่ไหน ดูสิเด็กมนุษย์ดูเหมือนจะเป็นออกเมนเตอร์ระดับที่สอง” เขาชี้ไปที่มนุษย์ที่มีกล้ามเนื้อเป็นมัด
เมื่อมองไปที่พวกเขาทั้งนักเรียนคนแคระและมนุษย์ต่างก็มีเครื่องแบบของนักเวทย์สายต่อสู้ แต่มนุษย์นั้นมีแถบผูกสองแถบในขณะที่คนแคระมีเพียงอันเดียว
“ฉันชื่อว่านิโคลัสเดรย์ ! ประกาศการดวลซะที่สิไอ้ตูดหมึก! เราจะได้เริ่มกันได้เสียที! หรือแกเห่าเป็นอย่างเดียว?” เด็กมนุษย์แสยะยิ้มและวางมือขวาลงบนป้ายที่ตรึงไว้ที่หน้าอกซ้ายของเขา
“เชอะ! แล้วแกจะเสียใจ” คนแคระที่เตี้ยกว่าคู่ต่อสู้ของเขาประมาน1ช่วงหัวมีรูปร่างใหญ่และดูอึดอัดเมื่อสวมเครื่องแบบเบลเซอร์ แต่วิธีที่เขาถือขวานขนาดยักษ์ของเขาบอกฉันว่าเขาเก่งมากกว่าแถบบนเน็คไทของเขาแน่ๆ
ป้ายโลหะของทั้งสองเปล่งประกายเจิดจ้าขณะที่คนแคระวางมือบนตราของเขาและเริ่มประกาศ “ฉันขอประกาศการดวลระหว่างฉันโบรแซนเนียนบอร์กับนิโคลัสเดรย์!”
“ฉันยอมรับการดวล!” ป้ายทั้งสองเรืองแสงสีที่ต่างกันจนซิงค์กันและทำให้เกิดเสียง "ปิง" ที่ดังออกมา
ตราบนเครื่องแบบนักเวทย์สายต่อสู้และนาฬิกาพกบนเครื่องแบบของนักเวทย์สายวิชาการทำหน้าที่ในการประกาศการดวลซึ่งมันจะสร้างกำแพงกั้นทั้งสอง เมื่อกำแพงแตกหมายความว่าการดวลได้จบลงและอีกฝ่ายเป็นผู้ชนะ มันใช้เวลาประมาณ 24 ชั่วโมงกว่าที่สิ่งประดิษฐ์จะสามารถสร้างโล่ป้องกันได้อีกครั้งและในช่วงเวลานั้นดวลหรือการท้าดวลเป็นสิ่งต้องห้าม นักเวทย์ระดับสูงกว่าจะไม่ได้รับอนุญาตให้ดวลกับนักเวทย์ที่อยู่ระดับต่ำกว่าเพื่อให้มันยุติธรรมซึ่งเป็นสาเหตุที่เด็กมนุษย์คนนั้นต้องเหน็บแนมคนแคระเพื่อให้เขาประกาศการดวล
นักเวทย์มนุษย์หยิบดาบคู่ออกมาจากแหวนมิติของเขาและตั้งท่าในขณะที่ผู้คนรอบๆ เริ่มถอยหลังเพื่อหลีกเลี่ยงลูกหลงของการต่อสู้
“ลุยไปเลยเจ้าคนแคระ!” อาไลจาห์เริ่มเชียร์โบรแซนเนียนโดยยิ้มอย่างเจ้าเล่ห์
ฉันศึกษาทั้งสองคนและเห็นว่ามนุษย์อยู่ในระดับสองและมีแกนสีแดงในขณะที่คนแคระยังอยู่ในแกนสีดำ เรื่องนี้น่าสนใจมาก
“ฮา!” นักเรียนมนุษย์คำรามขณะที่ดาบสองเล่มของเขาเปล่งแสงสีเหลืองสลัวๆและดินรอบๆตัวเขาเริ่มสั่นสะท้าน
“อ๊าก!” คนแคระกระโดดขึ้นและดีดตัวเองไปข้างหน้าโดยทีบต้นไม้ที่อยู่ใกล้ๆ ชาร์จขวานของเขาโดยรวมมานาธาตุดินเข้าไป
“โอ! ทั้งสองเป็นออกเมนเตอร์ธาตุดินนะอาร์ต!” อาไลจาห์รู้สึกตื่นเต้นมากขึ้นเมื่อเขาเอนตัวเข้าใกล้การต่อสู้ขณะที่ซิลวี่นอนขดตัวหลับอยู่บนหัวของฉัน
“แทมเมอร์สแมช!” คนแคระตะโกนและวางฝ่ามือซ้ายของเขาไว้ที่หัวขวานและทำให้แสงลางๆควบแน่นขึ้น
ด้วยเสียงดังกึกก้องพลังของการโจมตีจากคนแคระบังคับให้เด็กมนุษย์ไถลถอยหลังแม้ว่าเขาจะปิดกั้นมันด้วยดาบทั้งสองก็ตาม ฉันเห็นแขนของเขาสั่นขณะที่เขาแสยะยิ้ม
เด็กชายมนุษย์ลดดาบสองเล่มของเขาลงและพุ่งเข้าหาคนแคระที่อยู่ในท่าป้องกันแล้ว ดาบคู่ขูดไปตามพื้น เมื่อเขาเข้าสู่ระยะไกลเขาก็หมุนตัวขึ้น ดินที่อยู่รอบๆตัวเขาได้ตามตัวเขามาและได้เปลียนรูปเป็นใบมีดดินคู่อยู่ข้างหลังดาบของเขา
ไม่เลว แม้ว่าจะไม่น่าแปลกใจที่คนแคระสามารถใช้ธาตุธาตุดินได้อยู่แล้ว แต่ก็ทำให้ฉันประหลาดใจที่มนุษย์ที่อยู่ในขั้นสีแดงสามารถเพิ่มคุณสมบัติธาตุดินของเขาให้อยู่ในระดับนั้นได้แล้ว เขามีพรสวรรค์ในแง่นั้น
"แตกเป็นเสี่ยงๆซะ!" ร่างของคนแคระเปล่งแสงสีเหลืองในขณะที่เขาย่ำเท้าขวาลงบนพื้นอย่างแรงทำให้เกิดแรงกระเพื่อมรอบตัวเขาจนทำให้ใบมีดดินที่พุ่งเข้าหาเขากลายเป็นเศษเล็กเศษน้อย คนแคระคนนี้เอาขวานไปขวางใบมีดของมนุษย์แต่มันโดนแขนของเขาเล็กน้อยจากการแกว่งขึ้นไป
“เสาดิน!” นิคตะโกน หลังจากการตวัดดาบขึ้นเขาก็กระทืบอย่างหนักด้วยเท้าข้างถนัดของเขาตรงหน้าคนแคระและสร้างเสาหินจากพื้นเพื่อกระแทกไปที่คนแคระอย่างรุนแรงที่ท้องของเขา
“อุฟ!” ร่างของคนแคระลอยขึ้นไปในอากาศจากแรงกระแทกและกำแพงเวทย์ของเขาก็แตกพร้อมกับเสียงที่ดังซึ่งเป็นสัญญาณว่าการดวลได้จบลงแล้ว
เสียงโห่ร้องออกมาจากกลุ่มมนุษย์ที่กำลังดูอยู่ แต่กลุ่มของคนแคระที่อยู่ในท่ามกลางผู้ชมต่างคร่ำครวญด้วยความลำบากใจ
อาไลจาห์ถอนหายใจและเริ่มเดินจากไป แต่ก่อนที่ฉันจะหันตามเขาไปฉันเห็นใบหน้าของเด็กมนุษย์ยิ้มเยาะเล็กน้อยขณะที่เขาเติมมานาลงในใบมีดทั้งสองของเขาอีกครั้ง
คนโง่คนนั้นไม่ได้วางแผนที่จะจบการดวลเพียงเท่านี้ เขากำลังจะโจมตีอีกครั้งเพื่อจบการต่อสู้
ถ้าฉันจะใช้เทคนิคระยะไกลมันจะยิ่งสร้างปัญหามากขึ้น แต่ถ้าฉันเข้าไปห้ามโดยตรงทุกคนก็จะรู้จักฉัน
ส่วนหนึ่งของฉันรู้สึกหงุดหงิดที่อาไลจาห์มองไม่ออกว่ามนุษย์คนนั้นจะโจมตีต่อ หากอาไลจาห์เป็นคนเข้าไปห้ามด้วยคาถามันจะเป็นธรรมชาติมากขึ้นเนื่องจากเขาเป็นนักร่ายเวทย์
ใช่สิมีอีกวิธีนิ ขอโทษด้วยนะเทส
“นั่นประธานสภานักเรียนกำลังเดินมาหรือเปล่า?” ฉันจงใจตะโกนให้ดังขึ้นเพื่อให้เด็กผู้ชายที่ชนะการดวลนั้นสะดุ้ง
เช่นเดียวกับที่ฉันคาดไว้เขาเดาะลิ้นของเขาและวางดาบของเขากลับเข้าไปในแหวนมิติของเขาและกระตุกสายตาไปรอบๆ เพื่อหาประธานคนนั้น
ฝูงชนที่กำลังพูดคุยกันในหมู่เพื่อนๆของพวกเขาหรือพวกที่กำลังวิเคราะห์การต่อสู้เริ่มมองหาเทส
“ประธานสภานักเรียนอยู่ที่ไหน?” อาไลจาห์ยืดคอขึ้นเหนือฝูงชนเพื่อมองหาเธอ
“อ๊ะ! ฉันต้องเข้าใจผิดไปแน่ๆ!” ฉันแค่ยักไหล่และหันหลังเดินผ่านไปเมื่อมีมือจับมาที่ไหล่ฉันอย่างแน่น
“แกกำลังจะหาเรื่องฉันหรือ?” เขาคือมนุษย์ที่เพิ่งชนะการต่อสู้ นิค นิโคล หรืออะไรก็ตาม
"โถ่! อะไรว่ะ! ทำให้เราตื่นเต้นแล้วก็จากไป!” ฉันเห็นมนุษย์บางคนรู้สึกผิดหวังอย่างเห็นได้ชัดที่ไม่ได้เห็นไอดอลของพวกเขาด้วยตัวเอง
“ฉันคิดว่าฉันเห็นเธอกำลังเดินมา ฉันขอโทษละกัน” ฉันใช้มือของฉันจับมือของเขาออกจากไหล่ของฉันและขยิบตาให้เขา
“ใช่แกมันไม่ดีเอาเสียเลย” เขาดึงมือออกก่อนที่จะเดินออกไปถุยน้ำลายลงพื้นต่อหน้าเท้าของฉัน
“นายรู้ไหมฉันจะให้คำแนะนำที่ดีถ้านายต้องการเรียนจบจากที่นี้ ฉันไม่คิดว่าการฆ่าเด็กแคระคนนั้นจะทำให้นายได้ดีอะไร” ฉันยืนนิ่งขณะที่ซิลวี่ถ่มน้ำลายใส่ท้ายทอยของเขา
เขาหมุนตัวกลับไปรอบๆ ทันทีด้วยการจับดาบสองเล่มในมืออีกครั้ง ฉันเกือบจะเห็นเส้นเลือดปูดออกมาจากหน้าผากของเขาเหมือนในการ์ตูน
“อุฟ555” อุ๊บฉันไม่ควรหัวเราะในสถานการณ์นี้ ฉันมองย้อนกลับไปอย่างรวดเร็วและเห็นว่าอาไลจาห์กำลังส่ายหัวเพราะรู้ว่ามันสายไปแล้ว
“แกกล้าดียังไง -?” เด็กชายอายุสิบสามที่มีดาบขนาดใหญ่เกินไปสำหรับร่างกายที่ยังไม่โตของเขาพุ่งเข้าหาฉันในลักษณะที่ฉันรู้สึกเงอะงะและเตรียมจะสลับไขว้ด้วยดาบสองเล่มนี้พร้อมกับใบหน้าสีแดงสดที่เต็มไปด้วยความโกรธ
ฉันเลิกคิ้วขณะที่ยกมือข้างหนึ่งขึ้นเพื่อหยุดการโจมตี ทำไมต้องทำให้ตัวฉันเองดูโง่ด้วยนะ?
ขณะที่ฉันเตรียมที่จะทำลายดาบสองเล่มของเขามีเสียได้หยุดเขาก่อนที่เขาจะได้ทำ มันคือเสียงที่นักเรียนใหม่ทุกคนได้ยินมันเมื่อไม่นานมานี้และเสียงที่ผู้ชายทุกคนอาจจะตกหลุมรัก มันเป็นเสียงของเพื่อนสาวในวัยเด็กของฉันเอง
“นายกล้าดียังไง?”