บทที่ 41 ฉันไม่ใช่คนใจดี
ขณะที่เราเดินผ่านฝูงชนในจัตุรัสกลางเมืองฉันก็ได้ยินบทสนทนาต่างๆเกี่ยวกับพวกแลนซ์ เหล่าหกแลนซ์นี้เป็นมากกว่ากลุ่มของนักเวทย์ที่มีอำนาจ ในไม่ช้าพวกเขาจะกลายเป็นสัญลักษณ์ของทวีปนี้ ประกอบด้วยแลนซ์สองคนต่อเผ่าพันธุ์เพราะมันเป็นธรรมต่อมนุษย์เอลฟ์และคนแคระ
ฉันต้องมอบรางวัลให้กับราชวงศ์ทั้งสามในการหาแผนการที่กล้าหาญเช่นนี้ ด้วยแรงจูงใจที่น่ายกย่องเช่นนี้หรือเป้าหมายนี้ - ฉันจะไม่แปลกใจเลยถ้าสิ่งนี้กระตุ้นให้เกิดนักเวทย์ยุคใหม่
เห็นได้ชัดว่าเหล่ากษัตริย์จงใจให้ร้ายกับทวีปใหม่นี้เป็นศัตรูที่มีศักยภาพลึกลับกลายเป็นสาเหตุที่ทำให้ทั้งสามเผ่าพันธุ์รวมตัวกันได้ เมื่อพิจารณาตามเหตุผลแล้วอาจมีข้อได้เปรียบมากมายเช่นการซื้อขายวัตถุดิบความรู้เกี่ยวกับเวทมนตร์และสิ่งประดิษฐ์และเทคโนโลยีที่แตกต่างกัน
แต่สิ่งนี้อาจทำให้เกิดการแข่งขันระหว่างมนุษย์เอลฟ์และคนแคระ หลายๆคนพยายามที่จะไปถึงทวีปใหม่ก่อนเพื่อจะอ้างสิทธิ์ในทรัพยากรใหม่ แม้ว่าการจัดการโฆษณาชวนเชื่อแบบนี้จะไม่มีผลกับฉัน แต่มันก็เอาชนะผลที่ตามมาของตัวเลือกหลัง
พ่อของฉันก้าวเข้าไปในรถม้าและรอเราอยู่ที่ขอบของจัตุรัสกลางเมือง เขาสั่งให้คนขับพาเขาไปที่บ้านประมูลของเฮลสเตอาก่อน
“พ่อมีบางอย่างที่ต้องดูแลดังนั้นเจอกันตอนที่พ่อกลับบ้านในคืนนี้แล้วก็อย่าสร้างปัญหามากเกินไปนะลูกชาย” พ่อจับแขนฉันเบาๆ แล้วตบหัวซิลวีที่อยู่ด้านบนของหัวฉัน
เมื่อเห็นรถม้าของพ่อออกจากมุมมองของเราวินเซนต์ก็กวักมือเรียกรถสาธารณะด้วยการโบกมือของเขา ในที่สุดรถม้าไม้ที่ยังไม่ได้ทาสีที่ถูกลากด้วยม้าสองตัวก็หยุดให้เราพร้อมกับคนขับที่กระดกหมวกเพื่อเป็นการแนะนำตัวอย่างเงียบ ๆ
“กรุณาพาเราไปที่โรงงานของกิเดี้ยน” วินเซนต์บอกและนำคนขับไปยังจุดหมายต่อไปของเรา เรานั่งรถไปประมาณสามสิบนาที ทิวทัศน์ก็เปลี่ยนจากตึกสูงมาเป็นบ้านหลังเล็กๆ ที่มีป้ายเขียนว่า "ไอเทมเวทย์มนต์" และ "ยาวิเศษ" อยู่หลายแห่ง
ฉันมองออกไปนอกหน้าต่างรถม้าและจดบันทึกร้านค้าต่างๆที่ฉันอยากไปในภายหลังจนกระทั่งเสียงของวินเซนต์ทำให้ฉันรู้สึกงุนงง “เราอยู่ในส่วนหนึ่งของเมืองที่บรรดาช่างฝีมือมารวมตัวกัน คุณจะเห็นไอเทมที่เป็นระเบียบมากมายและสิ่งของที่เป็นประโยชน์อื่นๆ สำหรับนักเวทย์ หากมีเวลาว่างก็ลองหาเวลามาดูนะ”
สิ่งนี้กระตุ้นความสนใจของอาไลจาห์อย่างเห็นได้ชัดเพราะเขาขอให้คนขับแวะที่ร้านขายวัตถุโบราณที่ใกล้ที่สุด “ฉันจะเดินดูรอบๆ ว่าฉันสามารถหาซื้ออะไรที่คุ้มค่าได้บ้าง” เขาบอกก่อนจะก้าวออกไปอย่างตื่นเต้น
‘ซิลวีไปกับอาไลจาห์ที่ เดี๋ยวฉันจะไปเยี่ยมกิเดี้ยนกับน้าวินเซนต์’ ฉันส่งกระแสจิตให้กับซิลวีซึ่งอยู่บนตักของฉัน เธอเอียงหัวเหมือนสุนัขจิ้งจอกและมองฉันด้วยสายตาสงสัย แต่เธอก็ไม่บ่นและกระโดดลงจากรถม้าเพื่อตามอาไลจาห์ไป ฉันอาจจะคิดมากไปแต่ฉันไม่ต้องการนักวิจัยอัจฉริยะอย่างกิเดียนอยากได้ตัวซิลวีมาทดลอง
"นายมีเงินหรือ?!" ฉันตะโกนใส่เขาจากในรถม้าขณะที่เราจากเขาไปโดยตระหนักดีว่าเด็กชายอายุสิบสองปีตามปกติไม่ควรมีเงินมากขนาดนั้น
“พอดีฉันไม่เหมือนใครบางคน ฉันอดออมเงินที่เราได้รับจากดันเจี้ยนมาตลอดเวลา!” เขาตบกระเป๋าเงินตรงหน้าอกเขาแล้วส่งยิ้มให้ฉัน
“อืมไม่ต้องตบหัวแล้วลูบหลังหรอก” ฉันยักไหล่เอนหลังพิงเบาะรถม้า
ประมาณหนึ่งชั่วโมงต่อมาหลังจากที่เราผ่านส่วนที่หนาแน่นที่สุดของเมืองเราก็มาถึงอาคารขนาดใหญ่พอสมควร อาคารหลังนี้เป็นอาคารชั้นเดียวแต่ก็มีความกว้างค่อนข้างใหญ่ซึ่งหาได้ยากในเมืองที่มีกลุ่มก้อนเช่นไซรัส
"ถึงแล้วครับ!" คนขับประกาศขณะเปิดประตูให้เรา
ฉันกระโดดออกจากรถม้าตามวินเซนต์ เราเดินไปที่ประตูหน้าบ้านที่ไม่มีการตกแต่ง หลังจากเคาะประตูไม่กี่ครั้งชายชราที่มีหนวดยาวและโค้งขึ้นเหมือนหนวดปาเก็ตตี้ที่แต่งตัวเหมือนพ่อบ้านก็ปรากฏตัวขึ้น
"ยินดีต้อนรับครับแต่ว่ามาสเตอร์กิเดี้ยนไม่... - อา...สวัสดีครับมาสเตอร์วินเซนต์ได้โปรดเข้ามาก่อน” เขาทักทายและพูดให้เราเข้าไปข้างใน เมื่อพิจารณาจากการแสดงออกที่รุนแรงที่พ่อบ้านมีในเสี้ยววินาทีก่อนที่จะรู้ว่าเราเป็นใครฉันต้องเดาว่าคนที่ชื่อกิเดี้ยนคนนี้เป็นคนที่ไม่ค่อยต้อนรับแขก
ในขณะที่เราก้าวเข้าไปข้างในกลิ่มของส่วนผสมของโลหะสมุนไพรที่เน่าเหม็นก็กระหน่ำเข้ามาที่จมูกของฉัน ในขณะที่ภายนอกของสถานที่นั้นแทบจะไม่โอ่อ่าแต่ภายในก็ดูน่าสนใจไม่น้อยเลย
สถานที่ทั้งหมดเต็มไปด้วยความยุ่งเหยิงด้วยเครื่องมือที่กระจัดกระจายทั้งกองเสื้อผ้าทิ้งและของเบ็ดเตล็ดอื่นๆ เกลื่อนพื้น
มันมีทั้งวัตถุดิบที่ค่อนข้างน่าสนใจและวัตถุดิบที่ดูไม่คุ้นตากองอยู่สูงบนชั้นวางนอกจากนี้ยังมีกล้องจุลทรรศน์และเครื่องมืออื่นๆ ที่ดูคลุมเครือซึ่งดูคลายๆกับสิ่งที่อยู่ในโลกเก่าของฉัน
“ฮิมส์! ฉันบอกแล้วไงว่าอย่าให้ใคร... - โอ้ว...นายเองหรือวินเซนต์ นายมารบกวนฉันอีกแล้วสินะ” จากมุมสลัวๆของห้องด้านหลังมีชายหลังค่อมตัวสั้นเดินผ่านไป
เมื่อพิจารณาอย่างใกล้ชิดถึงความเป็นนักประดิษฐ์หรือนักวิจัยอัจฉริยะ ฉันสามารถพูดได้ว่าเขาดูเป็นหนึ่งในนั้นอย่างแน่นอน ผมหยิกของเขาที่ดูเหมือนถูกฟ้าผ่ามากกว่าหนึ่งครั้งทำให้ดวงตากลมโตมีถุงสีเข้มอยู่ข้างใต้ ผิวของเขาซีดและเขามีแว่นตาแขวนอยู่ที่คอคู่กับเสื้อโค้ทสกปรกๆ
“ฮ่าฮ่า! กิเดี้ยน นายก็ชอบต้อนรับแขกแย่ๆเหมือนเช่นเคย” วินเซนต์ส่ายหัวส่งยิ้มและจับมือคนรู้จักอย่างหมดอาลัย
“ห๊ะ! หยุดพูดเลย! ปีที่ผ่านมาราชวงศ์ได้ส่งผู้ส่งสารมามากกว่าสิบคนเพื่อขอวิธีเดินทางข้ามมหาสมุทรเพื่อไปยังทวีปใหม่! ฉันไม่ได้นอนหลับสบายๆมาหลายเดือนแล้ว!” ตัวประหลาดที่หลังค่อมสะบัดแขนของเขาด้วยความรังเกียจขณะที่เขาเริ่มเดินไปรอบ ๆ
“เป็นความจริงไหมที่พวกเขาพบหลักฐานของทวีปอื่น?” วินเซนต์ถามอย่างเงียบๆ และโน้มตัวเข้าไปใกล้นักประดิษฐ์
“โฮโฮ! นั่นเป็นความจริงในหลายๆปีที่ผ่านมาที่ราชวงศ์จอมเจ้าเล่ห์กล้าประกาศ ฉันเป็นคนหนึ่งที่ศึกษาหลักฐานนั้น! ทั้งหมดที่ฉันบอกได้ก็คือทวีปใหม่มีนักประดิษฐ์ที่เก่งกว่าและอาจจะมีนักเวทย์ที่เก่งกว่าพวกเราด้วยซ้ำ” ดวงตาที่นิ่งของเขาหายไปเมื่อรอยยิ้มชั่วร้ายของเขาเบิกกว้างจนเผยให้เห็นฟันสีเหลืองซึ่งมีเศษของอะไรก็ตามที่เขากินเป็นอาหารมื้อสุดท้ายติดอยู่
"อะไรทำให้นายพูดแบบนั้น?" วินเซนต์ผลักดันต่อและนั่งลงบนเก้าอี้ข้างๆกิเดี้ยน
“ราชวงศ์เอาหลักฐานกลับมาเพื่อเก็บรักษาไว้ แต่ 'หลักฐาน' นั้นเป็นสิ่งประดิษฐ์ แม้ว่าฉันจะคิดไม่ออกว่ามันทำอะไรได้บ้าง แต่สิ่งประดิษฐ์นี้ติดอยู่กับสัตว์มานาที่เหมือนกับนกที่ไม่เคยมีในไดคาเธนมาก่อน สัตว์มานาที่มีลักษณะคล้ายนกตัวนี้มีความสามารถในการพรางตัวกับสภาพแวดล้อม ที่เราสามารถจับมันได้เพราะมีนักผจญภัยคนหนึ่งยิงมันเข้าโดยบังเอิญในขณะที่เขากำลังเล็งไปที่กระรอกที่เขากำลังล่าเพื่อกินกัน ไม่เพียงแค่นั้น หนึ่งในฟังก์ชั่นที่ฉันสามารถเข้าใจได้จากสิ่งประดิษฐ์นี้คือมันสามารถบันทึกและจัดเก็บภาพเคลื่อนไหวได้ สิ่งประดิษฐ์นั้นมีขนาดเท่าฝ่ามือของฉันและมันยังสามารถฉายภาพได้! ตอบฉันทีสิว่าทำไมคนจากทวีปของเราถึงต้องการบันทึกวิดีโอ” เขาโน้มตัวเข้าหาวินเซนต์เพื่อให้ทั้งสองคนห่างกันเพียงแค่เอื้อมมือ
“ยอดเยี่ยม!” วินเซนต์ถอนหายใจขณะที่เขาลูบคาง
“แล้ว…ไอ้หนูขอทานตัวเล็กที่นายพามาคือใคร? ลูกชายของเมียน้อยนายหรือ?” กิเดี้ยนยักคิ้วทะลึ่งๆใส่วินเซนต์
“โอ้พระเจ้า…อย่าเล่นมุกแบบนั้นต่อหน้าเมียของฉันก็แล้วกันเธอ... เอาฉันตายแน่ๆ แต่เสียใจด้วยนี่คืออาเธอร์ เขาเป็นเหมือนกับหลานชายของฉัน” เขาวางมือบนไหล่ของฉัน
ฉันแนะนำตัวด้วยความเคารพ “อาเธอร์เลย์วินลูกชายของเรย์โนลด์เลย์วิน สวัสดีครับคุณกิเดี้ยนคุณน้าวินเซนต์ได้บอกผมมากมายเกี่ยวกับคุณและงานของคุณ”
“มารยาทค่อนข้างดีมากสำหรับเด็กอวดดี แกอายุเท่าไหร่แล้ว?”เขารำพึงศึกษาฉันด้วยสายตาที่นิ่ง
“ผมจะอายุครบสิบสองขวบในเดือนพฤษภาคมครับ” ฉันตอบง่ายๆ
“ฉันเข้าใจ…แล้วทำไมนายถึงพาเขามาที่นี่วินเซนต์? ฉันไม่รับนักเรียนหรือลูกศิษย์นายก็รู้” เขาผายมือออกอย่างอ่อนแรง
“ที่จริงฉันเองก็อยากรู้ด้วยว่าทำไมเขาถึงอยากมา” วินเซนต์หันมาหาฉัน
"คุณกิเดี้ยนความจริงที่ว่าคุณมีผู้ส่งสารจากราชวงศ์มาเยี่ยมคุณผทสามารถสันนิษฐานได้ว่างานของคุณมีอิทธิพลมากใช่มั้ยครับ? "ฉันทำตัวเป็นเด็กหนุ่มที่เคารพนับถือผู้ใหญ่
"แน่นอนพวกเขาทำให้ฉันปวดหัวแต่ฉันได้รับเงินจำนวนมากจากพวกเขา!" เขายื่นคางออกมาและฉันเกือบจะเห็นว่าจมูกของเขายาวขึ้นจากความภาคภูมิใจของเขา
“งั้นก็ดีเลย” โดยไม่พูดอะไรเพิ่มเติมฉันหยิบกระดาษแผ่นใหญ่ที่วางอยู่บนพื้นและร่างพิมพ์เขียว ฉันใช้เวลาสักพักในการเอาไอเดียที่จะขายเขาโดยที่มันจะไม่เปลี่ยนแปลงโลกมากจนเกินไป
โลกนี้พึ่งพาเวทมนตร์มากกว่าเครื่องมือและเครื่องจักรที่ใหญ่ นั่นเป็นสาเหตุหลักที่ทำให้พวกเขาไม่สามารถสร้างเรือที่สามารถเดินทางในระยะทางไกลได้ ไม่มีนักเวทย์คนใดมีแหล่งมานาที่ไม่สิ้นสุดและการพยายามใช้นักเวทย์จำนวนมากเพื่อเป็นแหล่งพลังงานให้กับเรือลำใหญ่ก็ดูไม่มีประสิทธิภาพ
ฉันรู้สึกได้ถึงลมหายใจร้อนๆของวินเซนต์และกิเดี้ยนที่หลังคอขณะที่พวกเขามองดูรูปวาดของฉันอย่างใกล้ชิด
หลังจากนั้นประมาณครึ่งชั่วโมงฉันก็วาดแบบร่างของเครืองจักรไอน้ำแบบคร่าวๆ ฉันไม่ได้ใช้องค์ประกอบหลักบางอย่างเพื่อที่กิเดี้ยนจะไม่สามารถขโมยความคิดของฉันไปได้ ฉันจะวาดสิ่งเหล่านั้นหลังจากการเจรจาเสร็จสิ้น
“นี่คือ…นี่…” ดวงตาที่สงบนิ่งของเขาเบิกกว้างขึ้นสองเท่าขณะที่เขาดึงกระดาษออกไปเพื่อที่เขาจะได้ศึกษาในเชิงลึก
“แน่นอน…ทำไมฉันถึงคิดเรื่องนี้ไม่ออก? มีวิธีแก้ปัญหานี้เช่นกัน!” ฉันเห็นมือของเขาสั่นระริกขณะที่จมูกของเขาสัมผัสกับแผ่นหนัง
ทันใดนั้นคิ้วของเขาก็ขมวดขึ้นและสายตาของเขาก็พุ่งไปทั่วกระดาษ “ฉันรู้สึกว่ามันยังขาดอะไรไป…”
ฉันค่อยๆเอากระดาษกลับมาและม้วนขึ้น “ผมไม่ได้ใส่รายละเอียดสำคัญๆบางอย่างแต่ผมจะให้ด้วยความยินดี…เมื่อการเจรจาของเราสิ้นสุดลง” ฉันยิ้มอย่างไร้เดียงสา
“นายอายุแค่สิบสองปีจริงๆหรือ?” การจ้องมองของเขาเฉียบคม แต่หลังจากนั้นไม่กี่วินาทีเขาก็ถอนหายใจอย่างช่วยไม่ได้ แม้วินเซนต์จะดูงุนงงกับเหตุการณ์ที่พลิกผัน แต่เขาก็รับมือได้ดีกว่าเพราะเขารู้ว่าฉันเป็นคนแบบไหน
"ครับ! ผมขอดูสิ่งประดิษฐ์ล้ำค่าที่สุดของคุณได้ไหม คุณน้าวินเซนต์บอกผมว่าคุณมีของพวกนั้น!” ฉันยิ้มและเก็บกระดาษไว้ในกระเป๋าเสื้อคลุม
“ฮิมส์! เอาผลงานล่าสุดของฉันมา!” กิเดี้ยนตะโคกหลังจากนั้นไม่นานพ่อบ้านที่มีหนวดสปาเก็ตตี้ก็ปรากฏตัวขึ้นพร้อมกับกล่องเคสขนาดเท่าผู้ใหญ่ปิดผนึกอย่างดีด้วยอะไรบางอย่างที่ฉันไม่รู้จัก
กิเดี้ยนกระซิบบางอย่างลงในแม่กุญแจพร้อมกับวางมือทั้งสองข้างไว้ หลังจากนั้นครู่หนึ่งล็อคก็เรืองแสงและพับเป็นรูปทรงต่างๆก่อนที่จะเปิด ภายในกล่องมีอาวุธที่น่าหลงใหลมากมาย
กิเดี้ยนใช้เวลาพอสมควรในการเสนออาวุธแต่ละชิ้นและสิ่งที่พวกเขาสามารถทำได้ คุณภาพของไอเท็มเหล่านี้สูงกว่าของที่ขายในบ้านประมูลหลายเท่า ฉันรู้ดีว่าอาวุธเหล่านี้แต่ละชิ้นมีค่าและหาที่เปรียบไม่ได้กับอาวุธที่ขายในร้านค้าและร้านตีเหล็ก แต่มันยังไม่พอสำหรับค่าไอเดียของฉัน
ฉันมองไปที่ไม้กายสิทธิ์บางอันที่อาจจะหาให้กับอาไลจาห์ แต่ไม่มีไม้ไหนที่เหมาะกับเขา
ขณะที่ฉันส่ายหัวนักวิทยาศาสตร์สติเฟื่องก็บ่นว่าเริ่มมีกลิ่นไม่ดี
ในที่สุดกิเดี้ยนก็พาเราเข้าไปในห้องเก็บของที่ซ่อนอยู่ซึ่งมีอัญมณีและวัตถุดิบล้ำค่าที่ทำให้ดวงตาของฉันกระพริบตาด้วยความโลภ “นี่คือเพชรไอรอนไนต์ซึ่งเป็นหนึ่งในอัญมณีที่มีค่าที่สุดในทวีปนี้ มันมีคุณสมบัติที่สามารถเก็บมานาจำนวนมากเพื่อใช้ในกรณีฉุกเฉินได้” กิเดี้ยนศึกษาใบหน้าของฉันโดยหวังว่าจะมีสีหน้าที่พึงพอใจแต่ก็ไม่เป็นเช่นนั้น
กิเดี้ยนถอนหายใจอย่างพ่ายแพ้ “ฮิมส์นายช่วยเอาจี้มาให้ฉันได้ไหม?” เขาถามพลางถูขมับของเขา
“แต่มาสเตอร์ คุณทำมันให้กับ... -”
"ฉันรู้น่า! เอามันมา!" กิเดี้ยนพูดขัดฮิมส์ที่กำลังงุนงง
ในที่สุดฮิมส์ก็กลับพร้อมกับเคสขนาดเล็กที่มีล็อคที่ซับซ้อนยิ่งขึ้น
“นี่คือผลิตภัณฑ์ที่ฉันสร้างขึ้นให้กับราชวงศ์เท่านั้น พวกเขาร้องขอสิ่งประดิษฐ์ที่จะสามารถปกป้องชีวิตได้ในกรณีที่เกิดอันตรายใด ๆ” เขาเพียงแค่ยักไหล่โดยรู้สึกไม่มั่นใจอย่างที่เคยมีมาก่อน
ฉันหยิบจี้ที่หน้าตาเหมือนกันขึ้นมาเพื่อดูใกล้ ๆ อัญมณีของมันเป็นสีชมพูที่อ่อนนุ่มแต่กลับเปล่งปลั่งประดับประดาอย่างพิถีพิถันและประดับไปด้วยทองคำขาวเส้นบางๆ
“ฉันให้นักออกแบบที่ดีที่สุดออกแบบกับมือดังนั้นมันจะเออ… ‘เหมาะสม’ สำหรับราชวงศ์” เขาชี้แจง
ฉันเสริมมานาเล็กน้อยไปในจี้และเมื่อทำเช่นนั้นฉันก็มองเห็นร่างของสัตว์มานาที่ฉันเคยอ่านเจอ “นี่ทำจากนกฟีนิกซ์นิก” ฉันพึมพำ
“นายดูออกด้วยหรือ?” กิเดี้ยนรู้สึกทึ่งมากขึ้นเมื่อดวงตาของเขาศึกษาฉันอย่างรอบคอบและพยายามคิดว่าฉันมีความสามารถอะไรมากกว่านั้น
กิเดี้ยนอธิบายต่อไปว่า “ในขณะที่นกฟีนิกซ์นิกไม่ได้หายากเท่ากับสายพันธุ์ของมังกร แต่สายพันธุ์นี้ก็ยังคงเป็นสัตว์มานาระดับสูง พวกมันไม่ได้มีพลังและความสามารถในการต่อสู้มาก แต่มีความสามารถพิเศษในการรักษาชีวิตของตนเอง เมื่อนกฟีนิกซ์นิกถูกโจมตีเกล็ดสีชมพูของมันจะยืดออกและแข็งรอบๆ ตัวพวกมันจนกลายเป็นเหมือนกับรังไหม”
สิ่งนี้ดึงดูดความสนใจของฉันมากๆ
“อย่างไรก็ตามนั่นไม่ใช่ส่วนที่ดีที่สุด เมื่อรังไหมที่แข็งเป็นพิเศษของพวกมันพังลง พวกมันจะใช้มานาทั้งหมดในแกนของพวกมันเพื่อที่จะพาตัวเองไปยังที่ที่พวกมันคิดว่าปลอดภัยในทันที มันเป็นความสามารถพิเศษที่พบเห็นได้เฉพาะนกฟีนิกซ์เท่านั้น จี้สองอันนี้น่าจะเป็นสิ่งประดิษฐ์ที่มีค่าที่สุดที่ฉันมี อัญมณีนั้นทำมาจากแกนสัตว์ของนกฟีนิกซ์นิกและเศษเล็ก ๆ ของเกล็ดของมันทำให้สามารถสร้างเอฟเฟกต์ในการรักษาชีวิตของผู้ใส่ได้ในระดับหนึ่ง” เขากล่าวต่อ
“แล้วผู้ใช้มันจะสามารถใช้เอฟเฟกต์ของมันได้กี่ครั้ง?” ฉันถามมากขึ้น
“พูดตามตรงฉันเองก็ไม่แน่ใจเหมือนกัน ตระกูลเกลย์เดอร์ได้มอบแกนสัตว์พวกนี้มาทั้งหมดห้าอันซึ่งถูกเก็บรักษาไว้เป็นเวลาหลายชั่วอายุคน อย่างไรก็ตามพวกเขาไม่รู้ว่าแกนมานาเหล่านี้สามารถทำอะไรได้บ้าง พวกเขารู้แค่ว่าพวกมันมีค่ามาก พวกเขาได้ตรวจสอบมาแล้วและมันไม่มีเจตจำนงของสัตว์มานา แต่ถึงกระนั้นมูลค่าของแกนอย่างเดียวก็มีราคาสูงกว่าแกนของสัตว์มานาคลาส S ทั่วไปแล้ว แกนแรกที่ฉันทำล้มเหลวและไม่สามารถแสดงความสามารถอะไรได้เลย ครั้งที่สองและสามแสดงให้เห็นถึงความสามารถของมันหนึ่งครั้งก่อนที่จะกลายเป็นฝุ่น ฉันเดาการว่าเนื่องจากแกนมานาไม่ได้หมดพลังไปในการขนส่งมนุษย์มันจะทำงานอย่างน้อยสองครั้งเหมือนกับแกนสองอันก่อนหน้านี้ที่ฉันเคยทำ” เขาเลื่อนสายตาจากจี้มาที่ฉันด้วยสายตาที่เต็มไปด้วยความหวัง
“สิ่งเหล่านี้มีไว้สำหรับครอบครัวเกลย์เดอร์ ใช่ไหม? มันจะดีหรือไม่ที่ผมจะรับสิ่งเหล่านี้เอาไว้ทั้งๆที่ครอบครัวเกลย์เดอร์จัดหาวัตถุดิบให้”
“ก็อย่างที่ฉันพูดไปพวกเขาไม่รู้ว่าแกนสัตว์มานาเหล่านั้นทำอะไรได้บ้าง ฉันก็แค่ต้องสร้างสิ่งประดิษฐ์ที่สามารถช่วยชีวิตได้แทนก็จบ แน่นอนว่าหากนายเลือกที่จะแลกพิมพ์เขียวของนายกับไอเทมอื่นมันก็คงจะดีกว่านี้” เขาเผยให้เห็นฟันโดยเขายิ้มกว้าง
“ฮ่าฮ่า! ผมไม่ใจดีขนาดนั้นหรอกครับคุณกิเดี้ยน งั้นผมขอแลกจี้สองอันนี้” ฉันมอบพิมพ์เขียวและวาดส่วนสำคัญที่เหลือให้
“เฮ้อ…นายทำให้ฉันอยู่ในตำแหน่งที่ยากลำบาก แต่ฉันรู้ว่านายกำลังทำการกุศลด้วยการมอบพิมพ์เขียวเหล่านี้ให้ฉัน ด้วยสิ่งนี้ฉันบอกได้เลยว่าคนของเราจะไปถึงทวีปใหม่ก่อนที่พวกเขาจะมาถึงเรา” เขาศึกษาพิมพ์เขียวก่อนที่จะพับและใส่ลงไปในกระเป๋าอย่างระมัดระวัง
เขาหันกลับมาหาฉัน สายตาของเขาไม่ได้มองมาที่ฉันราวกับว่าฉันเป็นเด็กอีกต่อไปแต่กลับอยู่ในฐานะเท่าเทียมกันมากกว่า “นายได้แนวคิดนี้มาจากไหน? นายกำลังวางแผนอะไรอยู่อาเธอร์? นายอยากจะช่วยเร่งกระบวนการในเดินทางไปยังทวีปใหม่หรือ?”
ฉันได้แต่หัวเราะและมุ่งหน้าออกไปที่ประตู วินเซนต์ที่เงียบซึ่งยังคงงุนงงกับเหตุการณ์ที่พลิกผันเดินตามหลังฉันมา
“อย่างที่ผมพูดไปมิสเตอร์กิเดี้ยนผมไม่ใช่คนดีขนาดนั้น ผมแค่อยากได้ของขวัญวันเกิดที่ดีกับน้องสาวตัวน้อยของผม” ฉันตอบโดยไม่หันกลับไปมองข้างหลังและโบกกล่องเล็ก ๆ ที่มีจี้ทั้งสองข้างอยู่ข้างในก่อนจะขึ้นไปในรถม้า
การเดินทางกลับบ้านเป็นไปอย่างเงียบงันในช่วงครึ่งแรกจนกระทั่งในที่สุดวินเซนต์ก็พูดขึ้น “ไม่เพียงแต่เป็นออกเมนเตอร์อัจฉริยะเท่านั้นแต่ยังเป็นนักประดิษฐ์ที่ยอดเยี่ยมอีกด้วย? นายวาดอะไรให้กิเดี้ยน?”
ฉันอธิบายแบบง่ายๆ “ผมวาดพิมพ์เขียวสำหรับเครื่องจักรไอน้ำซึ่งสามารถผลิตพลังงานได้ค่อนข้างมากโดยใช้ไอน้ำที่ผลิตจากวัสดุเฉพาะที่มีอยู่ในทวีปนี้ ด้วยสิ่งนั้นและการปรับเปลี่ยนบางอย่างเพื่อให้สามารถแลกเปลี่ยนกับเชื้อเพลิงที่ขับเคลื่อนโดยมานา การเดินทางในระยะทางไกลก็ไม่น่าจะเป็นปัญหา”
“นายเกิดมาจากดาววิเศษดวงใดกันนี้?” วินเซนต์ส่ายหัว
“ได้โปรดนี่เป็นไอเดียที่ผมได้รับมาจากที่อื่น ผมก็แค่ปรับแต่งเล็กน้อยเพื่อให้มันทำงานได้ดีขึ้น ได้โปรดอย่าทำเรื่องนี้ให้เป็นเรื่องใหญ่โดยเฉพาะกับพ่อแม่ของผมนะ” ฉันขอร้องและมองไปที่จี้สีชมพูที่แสนสวยทั้งสองอันอีกครั้ง
“พ่อแม่ของนายคงไม่ตกใจด้วยซ้ำแม้ว่านายจะผิดปกติแค่ไหน” เขายักไหล่และหัวเราะกับตัวเอง
โชคดีที่ไม่มีใครอยู่บ้านดังนั้นฉันจึงซ่อนเคสอย่างระมัดระวังหลังจากห่อจี้ทั้งสองทีละชิ้น วันเกิดของน้องสาวของฉันคือสัปดาห์หน้าและหลังจากนั้นจะเหลือเวลาอีกเพียงไม่กี่เดือนจนถึงวันเกิดปีที่สิบสองของฉันและก็เป็นช่วงเวลาเปิดเทอมใหม่ของสถาบันไซรัส
แม้ว่าฉันจะไม่ได้อยู่ห่างไกลจากครอบครัวในขณะที่ฉันอยู่ที่โรงเรียน แต่ฉันก็มีข้อจำกัดในการไปเยี่ยมพวกเขาอย่างแน่นอนดังนั้นเป้าหมายหลักของฉันในช่วงเวลานี้คือแน่ใจว่าครอบครัวของฉันจะสามารถดูแลตัวเองได้หากมีอะไรไม่ดีเกิดขึ้น
ฉันรู้ว่าฉันอาจจะคิดมากเกินไป แต่ฉันชอบที่จะเลือกวิธีที่ปลอดภัยหากมันหมายถึงครอบครัวของฉัน เพื่อสิ่งนั้นฉันเต็มใจที่จะขายแม้กระทั่งจิตวิญญาณของฉัน