บทที่ 36 ข้อควรระวัง
มุมมองของคาสเปี้ยนเบลดฮาร์ท:
หลังจากพาไอ้เด็กเวธของตระกูลไวค์สไปห้องพยาบาลแล้วฉันก็กลับมาที่ที่นั่งและอยากจะเผากองเอกสารที่สูงตระหง่านที่สะสมมาตลอดสองสามวันที่ผ่านมา หลังจากหายใจเข้าลึกๆ ฉันก็เลื่อนกระดาษพวกนั้นออกเมื่อเสียงเอี๊ยดอ๊าดของประตูดึงความสนใจของฉัน
นั้นคือนักผจญภัยโน็ต เมื่อปิดประตูด้านหลังเขาเสียงเสียงทุ้มที่สั่นระริกของเขาก็กระซิบออกมาด้วยเสียงที่ชัดเจน
"คุณเบลดฮาร์ทคุณยังไม่ลืมสิ่งที่คุณพูดใช่ไหมว่าคุณการต้องการที่จะช่วยฉันจริงๆ?”
ฉันหนาวสั่นอย่างรุนแรง มันไหลลงไปถึงกระดูกสันหลังของฉัน คำพูดที่ดูเหมือนจะไม่เป็นอันตรายของเขากลับแทงเข้ามาในตัวฉันราวกับเป็นภัยคุกคาม
โดยไม่สนใจความกังวลของฉันฉันอดทนต่อการแสดงการออกอาการและยืดแว่นให้ตรงก่อนจะตอบ
"แน่นอน ความเชื่อมโยงส่วนตัวของคุณกับมิสซิสเฟลมสเวิร์ธรวมถึงศักยภาพของคุณเองจะเป็นประโยชน์สำหรับกิลด์”
นักผจญภัยที่สวมหน้ากากซึ่งไม่ว่าจะตัวตนหรืออายุ - ก็ทำให้ฉันเดาไม่ออกได้พยักหน้า ฉันรู้ว่าเขามีส่วนเกี่ยวข้องกับครอบครัวเลย์วิน แต่แม้กระทั่งการค้นหาภูมิหลังอย่างละเอียดก็ยังไร้ผล
“ดีละ”
เขาตอบ
“ฉันวางแผนที่จะหยุดพักจากการเป็นนักผจญภัยระยะยาวอยู่พอดีเลยคุณคาสเปี้ยนดังนั้นฉันจึงอยากขอร้องให้คุณช่วยด้วย”
วิธีที่เขาพูดฟังดูเหมือนเป็นการกระตุ้น แต่ฉันก็ขอให้เขาพูดต่อ
“ได้โปรดพูดต่อ”
ฉันความอยากรู้อยากเห็นของฉันถูกกระตุ้น
มุมมองของอาร์เธอลีย์วิน :
หลังจากการโกลาหลทั้งหมดเกี่ยวกับลูคัสและการกระทำที่ไม่เหมาะสมของเขาในดันเจี้ยนใต้ดินมีบางสิ่งที่ต้องแก้ไข
ประการหนึ่งลูคัสจะต้องถูกทดสอบพฤติกรรมที่ไม่เหมาะสมสำหรับนักผจญภัยของเขาซึ่งจะต้องถูกไต่สวนต่อหน้าคณะผู้พิพากษาซึ่งประกอบไปด้วยผู้บริหารรระดับสูงในกิลด์
ฉันนั่งอยู่ในแกลเลอรีของห้องที่มีลักษณะคล้ายอัฒจันทร์ขนาดเล็กฉันหันหน้าไปทางผู้พิพากษาพร้อมกับลูคัสขณะที่ชายชราสวมชุดคลุมตรงโต๊ะที่ยกสูงกำลังอ่านบันทึก
หลังจากช่วงเวลาแห่งความเงียบงันที่ดูเหมือนไม่มีที่สิ้นสุดชายสูงอายุคนหนึ่งที่สูงที่สุดในทั้งสี่คนก็ลุกขึ้นและกระแอมในลำคอ
“ในนามของกิลด์นักผจญภัยและคณะที่อยู่ที่นี่ฉันขอประกาศว่าลูคัสไวค์คอนเจอะเรอร์ยศระดับ A ถูกถอดออกจากการเป็นสมาชิกของกิลค์อย่างเป็นทางการเนื่องจากการก่อวินาศกรรมและการทำให้สมาชิกปาร์ตี้ของเขาตกอยู่ในอันตรายในระหว่างการสำรวจดันเจี้ยน นอกจากนี้เขายังไม่ได้รับการเกณฑ์เข้ามาอีกครั้งในฐานะนักผจญภัยจนกว่ากิลด์จะระบุ ตอนนี้ขอให้ส่งมอบการ์ดของคุณมาได้แล้ว”
สมาชิกเคราหนาที่เพิ่งพูดกระแทกตะปบของเขาทำให้เกิดเสียงสะท้อนดังไปทั่วห้องขณะที่ลูคัสยื่นการ์ดของเค้าให้
ในขณะที่ปกติการพิจารณาคดีจะเต็มไปด้วยครอบครัวและเพื่อนๆที่วิตกกังวลลูคัสและฉันเป็นคนเดียวที่อยู่กับผู้พิพากษา ฉันได้ข้อสรุปว่านี่คือการเก็บข่าวที่อาจใส่ร้ายชื่อของตระกูลไวค์ส
แต่หลังจากได้ยินคำตัดสินของลูคัสในตอนนี้ฉันก็คิดว่ามันเป็นอย่างอื่น โดยปกติสิ่งที่ลูคัสทำลงไปที่สุสานไดเออร์นั้นเพียงพอแล้วสำหรับเขาที่จะถูกตัดสินให้จำคุกมากกว่าการถูกปลดออกจากตำแหน่ง อย่างไรก็ตามการเพิ่มเติมที่คลุมเครือที่ผู้อาวุโสพูดเอาไว้ในตอนท้ายเกี่ยวกับการที่เขาถูกห้ามไม่ให้เป็นนักผจญภัยจนกว่าจะมีการระบุเป็นจุดที่หลวมเอามากๆ
ฉันทำได้แค่กลั้นลิ้นเอาไว้และรอให้การพิจารณาคดีของไอ้เด็กเวรนี้สิ้นสุดลง แม้จะมีการลงโทษที่ไม่เข้มงวดสำหรับลูคัส แต่ลูกครึ่งเอลฟ์ผู้สูงศักดิ์ก็มีสีหน้าเย็บลงบนใบหน้าราวกับว่าเขาเพิ่งกลืนกบที่ยังมีชีวิตอยู่
ข้อดีเพียงอย่างเดียวที่ฉันเห็นในนี้คือคนในตระกูลที่เข้ามาด่าลูคัสและตอกสามัญสํานึกให้ไอ้เด็กนี้รู้สึกตัวว่ากำลังทำให้ชื่อเสียงของตระกูลเขาต้องอับอาย
ลูคัสรู้สึกกระปรี้กระเปร่าจากการตอบโต้อย่างหน้าด้านๆ ของฉันที่สำนักงานของคาสเปี้ยน ตั้งแต่นั้นมาฉันแน่ใจว่าเขาไม่มีอะไรเลยนอกจากความโกรธที่เดือดพล่านอยู่ในร่างเล็กๆ ของเขา แต่หลังจากรู้ความจริงจากแคสเปี้ยนว่าฉันสามารถเอาชนะผู้พิทักษ์เอลเดอร์วู้ดแทนที่จะวิ่งหนีจากมันความอาฆาตแค้นของเขาก็เต็มไปด้วยความโกรธและความสงสัย
“ถัดไปคนที่ถูกไต่สวนคือออกเมนเตอร์โน็ต การที่คุณเผชิญกับความเป็นศัตรูอย่างชัดเจนกับลูคัสไวค์สและเป็นไปได้ที่จะทำร้ายคนของตระกูลไวค์ส ทั้งหมดด้วยการแสดงออกที่ไม่เป็นมิตรต่อลูคัส ในนามของคณะกรรมการและทั้งหมดของกิลด์นักผจญภัย”
ผู้พิพากษาเหลือบไปมองเพื่อนของเขาไปทางซ้ายและขวาก่อนจะพูด
" ฉันขอประกาศขอแบนคุณจากเมืองไซรัสตลอดระยะเวลาที่ลูคัสไวค์สเข้าเรียนที่สถาบันไซรัส”
เขาตะปบค้อนอีกครั้งและมีเสียงดังขึ้นทั่วห้อง ทางขวาของฉันฉันรู้สึกได้ว่าลูคัสจ้องมองมาที่ฉันขณะที่เขารอปฏิกิริยาของฉัน
พยายามแสดงน้ำเสียงให้ดูโกรธที่สุดของฉันฉันเอนตัวไปข้างหน้าบนแท่น
"ท่าน! ฉันคัดค้านการลงโทษนี้! ทำไมฉันต้องถูกตำหนิทั้งๆที่ลูคัสทรยศที่ดันเจี้ยนใต้ดิน”
ฉันกระแทกหมัดลงบนม้านั่งตรงหน้า ในขณะที่ฉันสามารถเห็นใบหน้าที่วิตกกังวลของลูคัสเปลี่ยนเป็นความไม่พอใจฉัน
ฉันรู้ว่าการเพิกถอนใบอนุญาตของเขาไม่ได้มีผลอะไรกับเขามากนักและฉันก็“พยายามหลบหลีกทาง” เพื่อให้เขาไม่ต้องกังวลอะไร
“เราไม่ได้มาเพื่อสนทนา! เราตระหนักดีถึงสถานการณ์ซึ่งเป็นสาเหตุที่เราเลือกที่จะไม่เพิกถอนใบอนุญาตของคุณ คุณจะได้รับอนุญาตให้เป็นนักผจญภัยต่อไปได้ตราบเท่าที่เราไม่เห็นคุณเข้าใกล้มิสเตอร์ไวค์สหรือครอบครัวของเขา”
ใบหน้าที่บึ้งตึงของผู้พิพากษาเปล่งประกายดุดันเมื่อสายตาอันแหลมคมของเขาทะลุผ่านหน้ากากของฉัน
"เดี๋ยวก่อน! แล้วตัวตนของเขาล่ะ? เขาสามารถถอดหน้ากากออกได้ง่ายๆและหลุดเข้าไปในเมืองและอาจเป็นอันตรายต่อฉันหรือครอบครัวของฉันได้”
ลูคัสยกนิ้วขึ้นมาที่ฉันตอนนี้มั่นใจมากพอที่จะผลักฉันให้จนมุม
“เราได้ตัดสินใจที่จะบันทึกตัวตนที่แท้จริงของเขาเมื่อการพิจารณาคดีนี้สิ้นสุดลง คุณไวค์สคุณจะไม่ได้รับอนุญาตให้ทราบตัวตนของคุณโน็ตเนื่องจากมันก็อาจมีเจตนาร้ายต่อเขาหรือครอบครัวของเขาในขณะที่เราจะสนคนจากกิลด์ฮอลเพื่อคอยติดตามเบาะแสของมิสเตอร์โน้ตไม่ว่าเขาจะสวมหน้ากากหรือไม่ เราไม่ได้มาที่นีเพื่อถกเถียง การพิจารณาคดีนี้สิ้นสุดลงแล้ว”
ผู้พิพากษาอีกคนกล่าวและพวกเขาทั้งห้าก็ลุกขึ้นยืนและจากไปก่อนที่เราจะมีโอกาสได้ตอบโต้
เมื่อเดาะลิ้นของเขาลูคัสก็สะบัดหัวของเขาและส่งสายตาที่คุกคามมาทางฉันก่อนที่จะเดินไปพร้อมกับผู้คุมที่ยืนรออยู่นอกประตู ก่อนที่จะก้าวออกจากห้องเขามองข้ามไหล่และยิ้มให้ฉันด้วยท่าทางเยาะเย้ยหยิ่งยโส
“ถ้าแกรู้ว่าอะไรดีสำหรับแก แกก็ควรอยู่ออกห่างจากฉันเอาไว้อย่างน้อยห้าเมือง”
“เป็นการคุกคามที่ใช้ได้ที่เดียวสำหรับคนที่วิ่งหนีเเหมือนเด็กน้อย”
ฉันย้อนคำพูดกลับ หน้าของเด็กเจ้าปัญหาของตระกูลไวค์สเปลี่ยนเป็นสีแดงเข้มขณะที่ฉันหันหลังกลับเพื่อให้ผู้คุมพาไปที่ด้านหลังโต๊ะทำงานของคณะกรรมการ พวกเขานั่งอยู่ด้านหลังประตูแคบๆที่เปิดออกด้วยการสัมผัส
“ตามสบายสุภาพบุรุษ ฉันรู้ว่าคุณทุกคนต้องการที่จะกลับแล้ว ฉันจะพาคุณโน้ตออกไปทางด้านหลังพร้อมๆกับผู้คุม”
ผู้พิพากษาที่เป็นคนพิจารณาคดีกล่าว
ผู้พิพากษาที่เหลือต้องให้ความไว้วางใจกับชายคนนี้เป็นอย่างมากเพราะทั้งสี่คนจากไปอย่างสง่างามเช่นเดียวกับที่เรากำลังจะไป เมื่อก้าวผ่านทางเข้าประตูฉันปรับหน้ากากใหม่เพื่อให้แน่ใจว่ามันจะไม่หลุดขณะที่กรรมการคนหนึ่งถอนหายใจ
“ฉันเชื่อว่าการแสดงเล็กๆ น้อยๆ นี้จะเป็นที่พอใจของคุณนะคุณโน้ต?”
คิ้วขาวคมของเขาขมวดลึกยิ่งขึ้น
“การแสดงของคุณเหนือกว่านิดหน่อย แต่ผมคิดว่าคุณทำได้ดีพอสมควร”
ฉันยักไหล่
"ขอบคุณสำหรับความร่วมมือ"
เขาส่ายหัวและทำอะไรไม่ถูก
"ไม่จำเป็น ไม่ใช่เพราะฉันต้องการจะทำให้คุณหรอก แต่ฉันหวังเป็นอย่างยิ่งที่วางใจได้ว่าคุณจะไม่สร้างความเดือดร้อนอีกต่อไป? เราจะไม่สามารถซ่อนความจริงจากตระกูลไวค์สได้ทุกครั้ง แต่ตราบใดที่คุณไม่ต่อต้านพวกเขาพวกเขาก็จะไม่มารบกวนคุณ”
“ผมระวังตัวให้มากๆ ครับท่าน”
ฉันก้มหัวลงอย่างรวดเร็ว
“คาสเปี้ยนบอกว่าจะมีวิธีที่ผมจะสามารถลบ ‘ตัวตน’ ของผมได้อย่างปลอดภัยใช่ไหม?”
"ใช่แล้ว อีกอย่างคนรู้จักของคุณรอคุณอยู่อีกด้าน”
ผู้พิพากษาคลำไปรอบๆ พร้อมกับหนังสือสองสามเล่มบนชั้นวางใกล้ ๆ และทันใดนั้นก็มีเส้นทางปรากฏขึ้นมาจากพื้นดิน
“ฉันขออำลาคุณโน้ตและฉันหวังว่าคุณจะไม่ลืมการช่วยเหลือจากกิลด์นี้ ฉันคาดการณ์ว่าจะมีช่วงเวลาหนึ่งที่เราจะเรียกร้องขอความช่วยเหลือจากคุณและจะเป็นที่ชื่นชมมากถ้าหากคุณจะจำสิ่งที่เราทำเพื่อคุณได้ในวันนี้”
“หึหึ ผมว่าแล้วว่าหัวหน้าระดับสูงของกิลด์นักผจญภัยต้องเป็นคนเจ้าเล่ห์พอสมควร”
ฉันหัวเราะเบา ๆ
“อย่างน้อยคุณก็มีความรู้สึกที่จะรู้ว่าใครที่ความพูกมิตร ผมจะไม่ลืม”
ฉันก้าวลงบันไดที่นำไปสู่ทางเดินใต้ดินสั้นๆ ขณะที่เจ้าหน้าที่คนหนึ่งปิดทางเข้าด้านหลังฉัน
เมื่อเปิดประตูอีกด้านหนึ่งฉันก็ได้รับการต้อนรับจากซิลวีโดยการโขกหัว
“อ้าก!”
ฉันหายใจออกมาและจับท้องของฉัน
“คยู!”
ซิลวี่ร้องเสียงหลงขณะที่เธอวิ่งไปที่ด้านบนของหัวของฉัน
‘ทุกอย่างเป็นยังไงบ้างปะป๊า? ตอนนี้จบแล้วเหรอ? เรากลับบ้านได้ไหม?
จัสมินและอาไลจาห์ทักทายฉันด้วยรอยยิ้มจางๆ บนใบหน้าของพวกเขา
“ทุกอย่างจบลงแล้ว กลับบ้านกันเถอะ”
ฉันพูดกับทุกคน
อาไลจาห์ถามว่า
“นายไม่อยากไปเยี่ยมซาแมนธาหรือ?”
“ฉันคิดว่าจะดีกว่าถ้าฉันไม่ไปเยี่ยมเธอ จัสมินบางทีคุณควรไปโรงพยาบาลครั้งหน้าเพื่อตรวจเธอดู?”
จัสมินซึ่งนิ่งเงียบตลอดเวลาพยักหน้าเล็กน้อยขณะที่เราเดินต่อไป
เราเดินทางข้ามพรมแดนของบีสเกลดไปยังประตูเทเลพอร์ตที่ใกล้ที่สุด ในขณะที่ฉันสนทนากับซิลวีอยู่สองสามครั้งทางจิต ทั้งจัสมินและอาไลจาห์ก็นิ่งเงียบจนกระทั่งพวกเขามองเห็นอีกด้านของประตูมิติ
“ฉันเดาว่าพวกเราควรแยกทางกันตรงนี้ใช่ไหม?”
อาไลจาห์เกาผมสีดำที่ไม่เป็นระเบียบของเขาและสลับมองระหว่างจัสมินกับฉันด้วยรอยยิ้มฝืนๆ
"อะไร?"
ฉันพูดด้วยความประหลาดใจ
“นายจะไม่มากับเราหรืออาไลจาห์? นายมีสิ่งที่ต้องทำมั้ย?”
ฉันเดาโดยอัตโนมัติว่าเพื่อนที่เพิ่งคบหากันจะมากับเรา แต่เมื่อนึกย้อนกลับไปฉันจำได้ว่าเขาไม่ได้มาจากอาณาจักรเซปิน
“อะไรนะ? ฉันหมายความว่าฉันไม่ได้วางแผนอะไรไว้จริงๆ แต่นายโอเคที่ฉันที่ไปกับนายหรือ?”
อาไลจาห์ดูตกใจกับความประหลาดใจของฉัน
“นายกับจัสมินไปที่ประตูมิติก่อนเผื่อว่ามีใครสงสัยอะไรบางอย่าง แต่ฉันคิดว่ามันเป็นการดีที่นายจะอยู่กับเราอีกสักหน่อยก่อนที่เราจะไปโรงเรียน”
ฉันเกาหัว
"เรา? ฉันไม่เข้าใจ ฉันไม่เคยมีแผนจะเข้าโรงเรียน”
ดวงตาของอาไลจาห์ดูสงสัยมากกว่าเก่าฉันเลยเติมให้เขา
“ก็ในเมื่อเห็นว่าเป้าหมายของนายคือการสร้างชื่อให้ตัวเองในเซปิน การที่ได้รับการศึกษาจากสถาบันไซรัสก็เป็นความคิดที่ไม่เลวเลย”
ฉันยิ้มเยาะ
อาไลจาห์มองมาที่ฉันราวกับว่าฉันพูดผิดในขณะที่จัสมินยังเลิกคิ้วกับความคิดของฉัน
“ฉันขอโทษฉันตามไม่ทัน ฉันจะเข้าโรงเรียนได้อย่างไร? ฉันหมายความว่า…ฉันอาจมีคุณสมบัติ แต่ไม่มีภูมิหลัง แม้ความจริงที่ฉันมาจากดาร์ฟก็ไม่ได้ทำให้ฉันมีโอกาสในการเข้าเรียน”
ฉันวางแขนรอบคอของเขาและพิงเพื่อนของฉัน
“นายไม่ต้องกังวลอะไรเลยไอ้หนูน้อยจอมเนิรด์ของฉัน ปล่อยให้พี่ใหญ่ของนายจัดการเอง”
“อะไรนะพี่ใหญ่? นายรู้ว่าฉันแก่กว่านายใช่มั้ย? แล้วคำว่า”เนิร์ด" หมายความว่ายังไง? "
อาไลจาห์ร้องเสียงหลงและฮุกหมัดแยบเบาๆ มาที่ซี่โครงของฉัน
“นอกจากนี้ฉันไม่ค่อยแน่ใจเกี่ยวกับเรื่องที่จะไปโรงเรียนที่มีนักเรียนจำนวนมาก ฉันจะทำตัวยังไงดีหลังจากใช้ชีวิตร่วมกับคนแคระที่ไม่เข้าสังคมเหล่านั้น”
ฉันกล่าวเสริมว่า
“นายรู้ไหมว่าลูคัสกำลังจะเข้าเรียนที่สถาบันไซรัส นายจะพอใจหรือถ้าฉันจะสนุกอยู่คนเดียว”
“ฉันเห็นด้วยกับอาร์ …เออโน็ต คุณยังกลับไปเป็นนักผจญภัยในภายหลังได้ตลอดเวลา”
จัสมินเหลือบมองไปรอบๆ เพื่อดูว่ามีใครได้ยินความผิดพลาดที่เธอเกือบหลุดพูดออกไปหรือไม่
"ตกลง!"
เขายอมแพ้เมื่อฉันบีบเขาหนักขึ้น
“ถ้านายพาฉันเข้าไปได้ฉันก็จะไป! นอกจากนี้เรายังต้องมีใครสักคนคอยรั้งนายไว้ไม่ให้ฆ่าลูคัสในวันแรกของการเข้าเรียน!”
"ดี! จัสมินช่วยพาอาไลจาห์กลับไปที่คฤหาสน์ของเฮลสเตอาได้ไหม ฉันมีบางอย่างที่ฉันต้องทำก่อน ฉันจะติดต่อพวกคุณเอง!”
ฉันผลักพวกเขาไปทางประตูมิติที่อยู่ข้างหน้า
จัสมินพยักหน้าโดยไม่มีคำพูดและพาอาไลจาห์ไป หลังจากที่พวกเขาไม่อยู่ในสายตารอยยิ้มของฉันก็หายไปเมื่อฉันถอนหายใจเล็กน้อย
“ออกมาได้แล้ว”
ฉันพูดออกมาอย่างใจเย็น
จู่ๆคาสเปี้ยนก็ปรากฏตัวขึ้นข้างๆฉันโดยมีดาบเรเปียผูกไว้ที่เอวของเขา
“ฉันดีใจที่คุณส่งทั้งสองคนออกไปก่อน”
คาสเปี้ยนพยักหน้าอย่างเห็นด้วย
“ขอบคุณที่ให้ผู้พิพากษารร่วมแสดงในครั้งนี้ ลูคัสจะไม่สงสัยในเร็วๆ นี้”
ฉันตอบพร้อมพยักหน้า
"ด้วยความยินดี ณ จุดนี้ฉันดีใจมากที่ปัญหานี้ได้รับการแก้ไขโดยไม่มีใครต้องตาย”
คาสเปี้ยนหัวเราะเบาๆ แต่ฉันรู้สึกได้ว่าคำพูดของเขาจริงจัง
“ฉันดีใจที่คุณคิดแบบนั้น”
ฉันตอบ
“อย่างไรก็ตามนี่เป็นของขวัญเล็กๆน้อยๆจากฉัน”
ผู้จัดการกิลด์ฮอลล์กล่าวพร้อมกับมอบกระเป๋าใบเล็กให้ฉัน
ฉันดึงเชือกเปิดกระสอบสีแดงที่เขาให้ฉัน ข้างในมีเหรียญทองมากมายพอที่จะทำให้เด็กบ้านนอกอย่างฉันเป็นลมได้
อย่างไรก็ตามฉันยังคงเงียบอยู่หลังหน้ากากและขอบคุณเขาสำหรับของขวัญ ขณะที่ฉันหันหลังเดินออกไปคาสเปี้ยนก็ร้องตะโกนจากด้านหลัง
“ฉันแนะนำให้คุณระมัดระวังตัวอยู่เสมอนะมิสเตอร์โน้ต มันไม่ฉลาดที่คิดว่ามันปลอดภัยหลังจากที่ผ่านอุปสรรคลูกใหญ่มาได้”
โดยไม่หันกลับไปมองฉันยกแขนขึ้นแล้วโบกมือกลับไปที่คาสเปี้ยนมุ่งหน้าไปที่ประตูเทเลพอร์ตด้วยตัวเองโดยมีซิลวีเกาะอยู่บนหัวของฉัน
อาไลจาห์ที่เข้าเรียนในสถาบันไซรัสจะไม่ทำให้เกิดความสงสัยมากเกินไป ตอนนี้จัสมินสนิทกับครอบครัวเฮลสเตอาดังนั้นการที่เธอรับรองอาไลจาห์จะดูเป็นธรรมชาติ
ฉันไม่ได้ใช้ดอนบัลลาดในตอนที่ฉันอยู่กับลูคัสในระหว่างการเดินทาง ปัญหาเดียวคือไอ้เด็กสารเลวนั้นต้องจำซิลวีได้แน่นอน เขาได้เห็นซิลวีที่มีร่างเล็กที่เป็นแมวเมื่อเขาอยู่ที่กิลด์ฮอลล์
“ซิลวี?”
ฉันถามด้วยความกังวลขณะที่มีแสงส่องสว่างออกมาจากบนหัวของฉัน หลังจากที่เอาเธอออกจากหัวของฉัน ฉันก็เห็นความเธอแปลงร่างอีกครั้ง
เกล็ดสีดำสนิทของเธอเปลี่ยนเป็นสีขาว เขาที่งอกออกมาจากหัวของเธอหายไปอย่างสมบูรณ์ เกล็ดบนหางคล้ายจิ้งจกของเธอยื่นออกมาเหมือนขนและเกล็ดบนร่างกายของเธอก็สั้นลงเช่นกัน
เมื่อแสงที่ส่องสว่างหายไปฉันมองด้วยความประหลาดใจเมื่อเห็นว่าซิลวีได้รับการเปลี่ยนแปลงอย่างสมบูรณ์อีกครั้ง รูปแบบกิ้งก่าที่เธอเคยอยู่ไม่หลงเหลืออยู่เลยและถูกแทนที่ด้วยรูปแบบของสุนัขจิ้งจอก ขณะที่ฉันสอดนิ้วผ่านหลังของเธออย่างระมัดระวังฉันรู้สึกได้ถึงหนังนุ่มๆ แทนที่จะเป็นเกล็ด
เมื่อตรวจสอบอย่างใกล้ชิดฉันเห็นว่าจริงๆแล้วขนของเธอมีเกล็ดที่บางอย่างไม่น่าเชื่อซึ่งมีลักษณะคล้ายขนอ่อนบนร่างกายของเธอ ร่างกายของซิลวีปกคลุมไปด้วยหนังสีขาวราวกับหิมะ อุ้งเท้าและปลายหูของเธอยังคงเป็นสีดำ
"แบบนี้ดีกว่าไหมปะป๊า?"
เสียงของซิลวีดังขึ้นในหัวของฉันขณะที่เธอนอนขดตัวอยู่ในอ้อมแขนของฉัน
“คุณสามารถเปลี่ยนรูปแบบได้กี่แบบ?”
ฉันถามด้วยความประหลาดใจ
"ฉันไม่รู้ แต่ฉันเหนื่อยแล้ว"
เธอตอบ 'ราตรีสวัสดิ์'
“ใช่…ฝันดีนะซิลวี”
ฉันพึมพำดังๆ และยังคงงุนงงกับความสามารถอันลึกลับของเธอ มังกรทุกตัวมีความสามารถในการปรับเปลี่ยนรูปร่างของมันอย่างนั้นหรือ? ฉันรู้ว่ารูปร่างจริงๆของเธอคือมังกรเหมือนกับที่เราเห็นที่ดันเจี้ยนใต้ดิน แต่การที่เธอสามารถเปลี่ยนสีและขนาดของมันได้มากกว่ารูปร่างสีดำขนาดเล็กของเธอนั้นน่าประหลาดใจมาก
ฉันอดไม่ได้ที่จะยิ้มออกมาว่าปัญหาใหญ่ที่สุดของฉันได้รับการแก้ไขอย่างสะดวกเพียงใด
ก่อนที่จะเข้าไปในเมืองที่มีประตูเทเลพอร์ตเข้ามาฉันแอบปล่อยกระแสไฟฟ้าอ่อนๆ ขึ้นไปในอากาศเพื่อให้แน่ใจว่าฉันจะไม่ถูกสอดแนมเหมือนที่เคยเจอมาก่อน หลังจากยืนยันว่าฉันอยู่คนเดียวฉันก็ถอดหน้ากากและเสื้อคลุมที่หลังต้นไม้และใส่มันไว้ในกระเป๋า
เมื่อไปถึงเมืองเล็กๆ ที่ดูเหมือนด่านฉันเดินไปรอบๆ ฝูงชนของเหล่านักผจญภัยที่หุ้มชุดเกราะหนักและพ่อค้าเสื้อคลุมที่กำลังขายสินค้าที่พวกเขาเก็บมาได้
ฉันจับซิลวีที่กำลังหลับใหลของฉันไว้แน่นและเดินไปหาพ่อค้าแบบสุ่มๆเพื่อขายดาบสั้นที่ชำรุดและบิ่นด้วยเงินไม่กี่เหรียญ ดอนบัลลาดแท่งไม้สีดำที่ดูไม่น่าประทับใจยังคงรัดแน่นที่เอวของฉันในขณะที่ฉันก้มตัวผ่านประตูหน้าร้านขายของ
“ยินดีต้อนรับสู่ ร้านค้าเอ็กซ์วิอุส”
เสมียนร้านค้ากล่าวด้วยแรงกระตุ้นก่อนที่จะมองมาที่ฉัน
“โอ้สวัสดีเด็กน้อยคุณหลงทางมาหรือเปล่า?”
ฉันเล่นไปตามน้ำส่ายหัวและเช็ดเหงื่อออกจากคิ้ว
“ไม่ พ่อขอให้ผมมาซื้อของให้เขา พวกเรากำลังจะออกจากเมืองนะ”
“อ๊ะ”
ผู้หญิงคนนั้นหลบอยู่หลังโต๊ะทำงาน
"หนูอายุเท่าไหร่แล้วจ่ะ?"
“สิบเอ็ดครับ”
ฉันตอบพร้อมกับยิ้มอย่างไร้เดียงสา
“แล้วหนูเก่งจังเลยที่ทำธุระได้ด้วยตัวเอง” เธอยิ้ม
“ผมมีสัตว์เลี้ยง แต่เธอกำลังหลับอยู่”
ฉันตอบพร้อมกับอุ้มซิลวี่อย่างร่าเริงและเริ่มเบื่อที่จะทำตัวเหมือนเด็กๆ แล้ว
“ฉันเข้าใจแล้วฉันจะช่วยคุณได้อย่างไร”
ผู้หญิงในร้านกุมมือเธออย่างกระตือรือร้น
“ผมกำลังมองหาสิ่งประดิษฐ์ที่เอาไว้เก็บของขนาดเล็ก”
ฉันตอบสำรวจร้านเล็กๆ ที่เป็นระเบียบเรียบร้อยที่เต็มไปด้วยเครื่องประดับเล็กๆ
“โอ้…”
เสมียนร้านมองฉันด้วยความประหลาดใจ แต่เธอรีบเดินไปที่ห้องด้านหลังโต๊ะทำงาน
“อยู่นี่ไงละ!”
หญิงสาวนำกล่องเล็กๆ ที่เต็มไปด้วยเคสสองสามใบ
“นี่คือที่ที่เราเก็บสิ่งประดิษฐ์ของเราไว้ทั้งหมด”
เธอตอบพร้อมปลดล็อกกล่อง
“คุณพ่อของหนูมีขนาดที่ต้องการหรือเปล่า?”
ขณะที่เธอเปิดตู้คอนเทนเนอร์ทีละชิ้นมันก็มีกำไลแหวนสร้อยคอและเครื่องประดับอื่นๆ ที่เปล่งประกายจากอัญมณีหลากชนิดที่ประดับอยู่
เช่นเดียวกับหนังสือที่ฉันเคยอ่านเกี่ยวกับสิ่งประดิษฐ์ที่ใช่ในการเก็บของฝ่ายมิติ พวกมันทั้งหมดดูเหมือนจะเป็นอุปกรณ์เสริมที่สามารถพกพาไปได้โดยไม่ต้องสงสัย เนื่องจากสิ่งประดิษฐ์เฉพาะเหล่านี้มีความสามารถในการจัดเก็บและรักษาสิ่งของที่อยู่ภายในนั้นขึ้นอยู่กับคุณภาพของมัน สิ่งประดิษฐ์เช่นนี้จึงมีราคาสูงมาก บางชิ้นสามารถเก็บของที่มีขนาดของเกวียนไว้ข้างในได้และน้ำหนักของมันจะไม่เปลี่ยนแปลงด้วยซ้ำ
ราคาของสิ่งของเหล่านี้เป็นราคาที่แพงเอามากๆ แต่สำหรับคนที่ต้องถือสินค้ามีค่าตลอดเวลามันก็คุ้มค่าสำหรับพวกเขา
ไม่มีหนังสือเล่มใดที่ฉันเคยอ่านได้ลงรายละเอียดว่ามันสามารถสร้างได้ยังไงเนื่องจากพวกมันส่วนใหญ่ถูกส่งต่อมาหลายชั่วอายุคน แต่วิธีการหนึ่งคือการแบ่งพื้นที่จัดเก็บในมิติขนาดใหญ่ขึ้นมาและสร้างสิ่งประดิษฐ์ที่จะแยกพื้นที่ของมันทีหลัง
“ฉันต้องการแค่อันใหญ่พอที่จะเก็บเจ้านี้ได้”
ฉันตอบขณะที่ถือดอนบัลลาดให้เธอดู ดวงตาของฉันยังคงจดจ่ออยู่กับสิ่งประดิษฐ์ต่างๆที่เธอมีอยู่
“อืมม…ถ้าเป็นเช่นนั้นฉันคิดว่าแหวนวงนี้น่าจะทำได้”
เธอพูดพร้อมกับหยิบแหวนวงหนึ่งออกมา ฉันมองลงไปเห็นว่าเธอเลือกแหวนทองหรูหราที่มีเพชรฝังอยู่ข้างๆอัญมณีเม็ดเล็กอื่นๆ
“คุณมีแหวนที่มีสีสันน้อยกว่านี้ไหม?”
ฉันบอกและส่งแหวนคืนให้เธอ
“อืมม”
เธอเกาหัวของเธอเธอและหามันในกล่องอีกครั้ง
“อ๊า! แล้ววงนี้ล่ะ”
ฉันเปิดกล่องเล็กๆ ที่เธอมอบให้ฉันเพื่อดูแหวนสีเงินที่ไร้การตกแต่งอยู่ข้างใน
“ความจุของแหวนนี้มีมากกว่าแหวนทองที่ฉันให้คุณดูก่อนหน้านี้ แต่ช่างตีเหล็กที่ทำมันยืนกรานที่จะทิ้งแหวนไว้ในสภาพธรรมดาๆนี้ แหวนวงนี้น่าจะมีที่ว่างมากพอที่จะใส่ไม้เทาและกระเป๋าเดินทางขนาดใหญ่ไว้ข้างในได้”
เธอกล่าวอย่างภาคภูมิใจพร้อมกับรอยยิ้มของนักธุรกิจให้ฉัน
ฉันไม่เสียเวลาในการตัดสินใจ
"งั้นเอาวงนี้"
หลังจากตกลงซื่อขายกับผู้หญิงคนนั้นฉันก็จัดการซื้อมันโดนแลกกับคอร์สัตว์อสูรหลายตัวที่ฉันเก็บมาได้เมื่อปีที่แล้วพร้อมกับเหรียญทองสองร้อยเหรียญ - นั่นเป็นเพียงเพราะนั่นคือจำนวนที่ 'พ่อ' ของฉันให้ฉันมา
เงินออมทั้งหมดของฉันตอนนี้ประกอบด้วยเหรียญเงินไม่กี่เหรียญและแกนสัตว์อสูรระดับ S ที่ฉันใช้ไปแล้วบางส่วน
ฉันถอนหายใจลึกๆ อย่างหดหู่ชวนให้นึกถึงช่วงเวลาที่ฉันสามารถมีชีวิตอยู่อย่างมีความสุขด้วยเหรียญทองแดงสองสามเหรียญที่เมืองแอชเบอร์
ถ้าแคสเปี้ยนไม่ให้เงินหนึ่งร้อยเหรียญทองเพื่อใช้ในการ "ระวังตัว" อย่างที่บอกไปฉันคงไม่มีเงินเพียงพอที่จะจ่ายแม้แต่วงเดียว
หลังจากสอดแหวนเข้าไปในนิ้วหัวโป้งขวาของฉันแล้วเนื่องจากมันใหญ่เกินไปสำหรับนิ้วอื่นๆ ฉันใช้มานาไปที่แหวนและดาบของฉัน
ทันใดนั้นดาบสีดำก็เปล่งประกายและถูกดูดเข้าไปในวงแหวน ฉันทำแบบเดียวกันกับหน้ากากและเสื้อคลุมที่อยู่ในกระเป๋าของฉันและเดินต่อไปยังประตูเทเลพอร์ตที่จัสมินและอาไลจาห์ได้ผ่านเข้าไปยังใจกลางเมือง