ARI ตอนที่ 5 ใช้เวทมนตร์ (1)
เขาวางแผนจะเดินทางตรงไปที่โรงประมูลเลย
ไม่ว่าเครื่องเคลือบลายครามมันจะผ่านอะไรมาก่อน แต่ตอนนี้พวกมันก็ได้มาอยู่ในมือของเขาแล้ว เขาไม่ได้อยากจะไปรบกวนธุรกิจของคนอื่น บวกกับเขาไม่อยากจะป่าวประกาศไปทั่วว่าเขานั้นมีพวกมันอยู่ในมือ
“อืมม....ฉันรู้ตัวว่าไม่ควรทำแบบนี้ แต่ว่ามัน....”
เขารู้ว่าเขาไม่ควรทำแบบนี้ แต่เขาก็ผ่านโรงประมูลของเกาหลีซึ่งเป็นจุดหมายของเขา และเดินลึกเข้าไปในอินซาดง
เขาต้องการเห็นหน้าของพวกที่กล้าเล่นตลกกับวัตถุโบราณอันมีค่าของบรรพบุรุษ
“นี่มัน-?”
ที่ชั้นหนึ่งของอาคารเก่าเขาเห็นป้ายเขียนว่า ‘หน่วยงานประเมินราคาชอนจิน’ ติดอยู่ มันทำให้เขาสงสัยในความคิดของเขาขึ้นมาอีกครั้ง แต่สุดท้ายแล้วเขาก็ตัดสินใจเดินเข้าไปในอาคารอยู่ดี
กริ๊ง....
เมื่อเขาเปิดประตูเข้าไป กระดิ่งที่ถูกแขวนเอาไว้มันก็ส่งเสียงดังกังวานทันที
“ยินดีต้อนรับค่ะ คุณมาที่นี่เพื่อที่จะมาประเมินราคาใช่ไหมคะ?”
ผู้หญิงในวัยสามสิบกลางๆมองมาที่แฮจินแล้วยิ้ม
เธอสวยมากจนดูไม่เหมาะกับที่ที่มีแต่ของเก่าๆแบบนี้ ผู้หญิงคนนี้ดูเหมือนพนักงานของบริษัทใหญ่ๆมากกว่า
“ใช่แล้วครับ ผมมาที่นี่เพราะอยากจะให้ประเมินเครื่องเคลือบลายครามสีขาว” แฮจินพูด
“เครื่องเคลือบลายครามสีขาว? โอ้.... .คุณช่วยรอสักครู่ได้ไหมคะ? รับกาแฟด้วยไหมคะ?”
“ผมยังไงก็ได้ครับ”
เธอเปิดประตูและกลับมาพร้อมกับกาแฟหนึ่งแก้วมอบให้แฮจิน
ประมาณสิบนาทีต่อมาแฮจินก็ถูกเชิญให้เข้าไปข้างใน
“โอ้ เป็นCEOหนุ่มนี่เอง มาสิมานั่งตรงนี้เลย... นี่คือเพื่อนของฉันเอง เขาเป็นผู้เชี่ยวชาญที่เก่งมาก ดังนั้นไม่ต้องกังวลและเอาของออกมาได้เลย”
“หืมม... โอเค”
ชายที่ทักทายแฮจินอย่างอบอุ่นมีอายุประมาณ50ตอนต้น เขาสวมชุดฮันบกที่ดูทันสมัย และเขาก็ดูคุ้นเคยเหมือนเคยเจอกันมาก่อน
ถ้าชายคนหนึ่งที่ทำงานในอินซาดงดูจะเคยเจอกับแฮจินมาก่อน งั้นมันก็มีความเป็นไปได้เดียวนั่นคือ แฮจินเคยพบกับชายคนนี้เมื่อตอนที่เขาทำงานกับพ่อของเขา
“วันนี้คุณเอาเครื่องเคลือบลายครามสีขาวมาให้ทางเราประเมินใช่ไหมครับ? ปัจจุบันหลายคนก็นำมันมาให้เราประเมินเช่นกัน เครื่องเคลือบลายครามสีขาวโดยพื้นฐานเป็นเพียงแค่ชามสีขาว ดังนั้นมันจึงค่อนข้างยากที่จะประเมินมัน นอกเสียจากว่าคุณจะเป็นผู้เชี่ยวชาญจริงๆ”
เขาเริ่มแผนการของเขาก่อนที่แฮจินจะนำเครื่องเคลือบลายครามสีขาวอออกมาซะอีก ชายในวัย40ที่นั่งอยู่ถัดจากเขายิ้มแปลกๆ และคอยมองแฮจินสลับกับผู้ประเมินไปมา
ตอนที่แฮจินพบกับคนจากอินซาดงพร้อมกับพ่อของเขา ในตอนนั้นเขายังเด็กกว่านี้มาก เนื่องจากเขาใช้ชีวิตอยู่ต่างประเทศเป็นส่วนใหญ่ ถ้าหากไม่นับคนที่ออกสำรวจสุสานพร้อมกับพ่อของเขาแล้วละก็ มันก็มีน้อยคนนักที่รู้จักใบหน้าของแฮจิน
แฮจินต้องเคยเจอชายคนนี้บ่อยแน่ๆ เมื่อครั้งที่เขาเดินทางมาที่อินซาดงกับพ่อของเขาเพื่อเรียนรู้ พวกเขาไม่ได้สนิทกันขนาดนั้น ดังนั้นเขาจึงไม่คิดจะปล่อยอีกฝ่ายไปง่ายๆ
จากนั้นเขาก็วางภาชนะบรรจุน้ำขนาดเล็กลงบนโต๊ะและค่อยๆแกะห่อของมันออก
ไม่นานเครื่องเคลือบลายครามสีขาวราวกับหิมะที่ระบายด้วยสีน้ำเงินที่อยู่ข้างในก็เผยโฉมของมันออกมา
“จริงสิผมยังไม่ได้รู้ชื่อของคุณเลย ชื่อของคุณคงจะไม่ไช่ชอนจินหรอกใช่ไหม?” แฮจินถาม
เขาเห็นผู้ประเมินราคาสะดุ้งก่อนที่จะตอบกลับมา “นะ-แน่นอนว่าไม่ใช่อยู่แล้ว ผมชื่อแกง ชอลซาง ทุกคนในอินซาดงต่างก็รู้จักผม อย่างไรก็ตาม... นี่มันค่อนข้างแปลก ผมรู้สึกราวกับว่าพึ่งเห็นของชิ้นนี้ไปเมื่อไม่กี่วันก่อน”
“จริงเหรอ? ความจริงแล้ววันนี้ผมค่อนข้างโชคดีที่ซื้อมันมาได้ ผมคิดว่ามันน่าจะมีราคาอยู่บ้างเลยกะว่าจะให้ที่นี่ประเมินราคาให้”
“คุณซื้อมันวันนี้เหรอ? จาก....”
“จากชายแก่คนหนึ่งน่ะ เขาบอกว่าของที่ดูมีราคาพวกนี้มันเป็นของปลอมทั้งหมดและเอาแต่ถอนหายใจ เมื่อได้ยินดังนั้นผมจึงซื้อมันทั้งหมดในราคาชิ้นละ1,000,000วอน เพราะผมคิดว่ามันมีค่ามากกว่านั้น”
“ชิ้นละ1,000,000วอน?”
ชอลซางตกใจ ตอนนี้เขาคงรู้สึกเหมือนแฮจินขโมยสิ่งที่ควรจะเป็นของเขาไป
“ใช่แล้วละ ผมแค่อยากจะลองเสี่ยงดวงดูและจ่ายไป5,000,000วอน”
“…….”
ชอลซางและชายที่นั่งอยู่ข้างๆจ้องไปที่เครื่องเคลือบลายครามสีขาว พวกเขาดูไม่มีความสุข
หลังจากนี้พวกเขาจะทำอะไรต่อ? พวกเขาจะยืนยันว่ามันเป็นของปลอมเหมือนเดิม? หรือพวกเขาจะแสดงความจริงใจต่อเรื่องนี้โดยการยืนยันว่าเครื่องเคลือบลายครามสีขาวดอกน้ำเงินเป็นของจริง?
จริงๆแล้วมันก็ไม่มีอะไรที่เขาสามารถทำอะไรได้ ถ้าพวกเขาเอาแต่อ้างว่ามันเป็นของปลอม เพราะเครื่องเคลือบลายครามสีขาวมันไม่สามารถพิสูจน์ทางวิทยาศาสตร์ได้
พวกเขาทำได้เพียงแค่คาดเดาช่วงเวลาที่มันถูกทำขึ้นโดยดูจาก รูปร่าง สี และลวดลายเท่านั้น
ดังนั้นแม้แต่ผู้เชี่ยวชาญบางครั้งก็สามารถพลาดกันได้
แม้ว่ามันจะมีบางอย่างที่ต่างกัน แต่ก็สามารถดูตัวอย่างได้จากภาพที่รู้จักกันอย่างกว้างขวางที่ชื่อว่า ‘Painting of a Beautiful Woman’ ที่ถูกวาดโดย ชอน กยองจา
แม้ว่าศิลปินท่านนี้จะบอกว่าไม่ได้เป็นคนวาดมันขึ้นมา แต่ผู้เชี่ยวชาญกลับยืนยันว่าเธอเป็นคนวาด แล้วใครกันแน่ที่เป็นฝ่ายถูก?
ด้วยเหตุนี้เองแฮจินจึงไม่สามารถฟ้องร้องชอลซางได้ แม้ว่าเขาจะยังคงยืนกรานว่าเครื่องเคลือบลายครามนั้นเป็นของปลอมก็ตาม
“น่าเศร้านะครับ แต่ผมไม่คิดว่ามันจะเป็นของจริง”
“คุณมั่นใจ?”
“ก่อนอื่นคุณจำเป็นต้องรู้บ่างสิ่งก่อน คนส่วนมากที่ไม่ค่อยมีความรู้เกี่ยวกับเรื่องเครื่องเคลือบนั้นนักมักจะคิดว่าเครื่องเคลือบลายครามสีขาวดอกน้ำเงินนั้นสวยเพราะสีที่ระบายอยู่บนตัวมัน ดังนั้นมันจึงมีการปลอมแปลงจำนวนมาก เมื่อตัดสินจากสีและลวดลายของมันแล้ว ผมคิดว่ามันน่าจะมาจากช่วงยุคตอนกลางถึงปลายของสมัยโชซอน อย่างไรก็ตามสภาพของมันนั้นดีเกิดไปเมื่อคิดว่ามันมาจากช่วงเวลานั้น แล้วคุณเห็นตัวหนังสือที่เขียนอยู่ด้านล่างนี่ไหม?”
“ครับ มันเขียนว่า ‘ปาร์ค’”
คำที่เขียนอยู่ข้างใต้เครื่องเคลือบ มันจะต้องเป็นนามสกุลของช่างฝีมือที่สร้างมันขึ้นมา
“ช่างฝีมือในช่วงยุคโชซอนพวกเขาจะไม่สลักชื่อของตนเองลงบนเครื่องเคลือบลายครามสีขาว เนื่องจากพวกเขาให้ความสำคัญกับการไม่เปิดเผยตัวตน”
จากนั้นผู้เชี่ยวชาญก็เงียบ
ด้วยเหตุผลแค่นี้งั้นเหรอที่ทำให้มันเป็นของปลอม? แฮจินเกือบจะหลุดหัวเราะออกมา
เหตุผลที่เครื่องเคลือบลายครามชิ้นนี้มันยังอยู่ในสภาพดี ก็เพราะมันถูกเก็บรักษาเอาไว้อย่างดีโดยไม่ได้สัมผัสกับอากาศ ยิ่งไปกว่านั้นแม้ว่าโดยปกติแล้วช่างฝีมือจะไม่สลักชื่อของตัวเองลงบนเครื่องเคลือบลายครามสีขาว แต่นั่นมันก็หมายความว่าของที่แฮจินครอบครองอยู่มันหายากยิ่งกว่า
ผู้ประเมินคนนี้คงต้องการที่จะหาเหตุผลอื่นมายืนยันว่ามันเป็นของปลอม แต่เขาก็ไม่สามารถหาได้ แฮจินมีความคิดที่จะแย้งเขากลับไป อย่างไรก็ตามเขาก็ตัดสินใจหยุดตัวเองเอาไว้
เขาไม่ต้องการยอมรับอย่างเปิดเผยว่าเขากำลังจะทำกำไรได้มหาศาล
แต่เขาไม่สามารถถอยกลับได้อีกแล้ว เพราะคาถามันยังคงวนเวียนอยู่ในความคิดของเขา
เขารู้ตัวว่ามันกำลังจะออกมาเนื่องจากความเจ็บปวดที่กำลังเพิ่มมากขึ้นในทุกขณะ ในท้ายที่สุดแล้วเขาก็ถูกบังคับให้ใช้เวทมนต์
เขาเริ่มบันทึกเสียงด้วยโทรศัพท์ของเขา ขณะที่เอานิ้วจุ่มลงไปในน้ำที่อยู่บนโต๊ะ จากนั้นเขาก็โบกมือ
“งั้นมันก็เป็นของปลอมใช่ไหม?”
“อ่า.... มันต้องเป็นข่าวร้ายสำหรับคุณแน่ๆที่ซื้อมันมาในราคาชิ้นละ1,000,000วอน อย่างไรก็ตามผมกล้ายืนยันเลยว่ามันเป็นของปลอมแน่นอน”
“คุณแน่ใจ?”
แฮจินโบกมือเพื่อวาดรูปแบบที่เขาต้องการขณะท่องคาถาอย่างเงียบๆ จากนั้นเขาก็รู้สึกราวกับว่ามีบางอย่างออกมาจากอกของเขา
เขารู้สึกอยากจะอาเจียน ในขณะที่หัวของเขาตอนนี้กำลังปวดอย่างบ้าคลั่ง
“ขอโทษนะครับ? เมื่อกี้คุณพูดว่าอะไรนะ?”
“ไม่มีอะไรหรอกครับ อืมม... ตกลงมันเป็นของปลอมจริงๆใช่ไหม?”
เขาตกใจและค่อนข้างกลัว เขากลัวว่าเขาอาจจับหน้าอกของตัวเองและล้มลง แต่ในเวลาเดียวกันเขาก็อยากจะรู้ว่าคาถามันใช้ได้ไหม
“ไม่ มันเป็นของจริง” ใบหน้าของชอลซางเปลี่ยนเป็นสีแดงหลังจากที่เขาพูดคำนั้น
“อะไรนะ?”
“เอ่อ? นั่นนายกำลังพูดอะไร?”
ชายที่นั่งอยู่ข้างๆเขาก็รู้สึกประหลาดใจเช่นกัน เขาถึงกับยืนขึ้นเลยทีเดียว แต่เมื่อเทียบกันแล้วแฮจินกลับรู้สึกประหลาดใจมากกว่า
“จริงเหรอ? มันเป็นของจริงใช่ไหม?”
“มะ-มันเป็นของจริง” ชอลซางไม่สามารถควบคุมตัวเองได้ เขามองไปที่ผู้ชายที่อยู่ข้างๆเขา และร้องไห้ออกมา
“แล้วทำไมก่อนหน้านี้คุณถึงบอกผมว่ามันเป็นของปลอมละ?”
“เพราะว่าฉันเคยบอกว่ามันเป็นของปลอมมาก่อน! เพื่อหลอกชายชราที่โง่เขลาคนนั้น!”
เขาอยากจะแก้ตัว แต่ปากของเขามันก็ยังคงพูดในสิ่งที่เขาไม่ต้องการออกมา เขาตื่นตระหนก กรีดร้องและคร่ำครวญ แต่ไม่ว่ายังไงเขาก็ไม่สามารถพูดสิ่งที่เขาต้องการพูดออกมาได้
“ฮะฮา!”
แม้ว่าแฮจินจะเป็นคนที่ใช้เวทมนตร์ แต่เขาก็ทำได้แค่หัวเราะแบบแห้งๆเท่านั้น ของแบบนี้มันจะไปเรียกว่าเวทมนต์ได้ยังไง มันเหมือนกับคำสาปมากกว่า
“เกิดอะไรขึ้น? นายบ้าไปแล้วรึไง?”
ชายคนนั้นคว้าตัวชอลซางและเขย่าเขา
“เชี่ย! ฉันก็ไม่รู้! มันมีบางอย่างผิดปกติเกิดขึ้นกับฉัน!”
“งั้นแปลว่าคุณหลอกเจ้าของเดิมสินะ ผมจะไม่ปล่อยเรื่องนี้ไปเฉยๆแน่”
แฮจินเอาโทรศัพท์ของเขาขึ้นมาเพื่อที่จะแสดงให้พวกเขาได้เห็นว่าเขาอัดทุกอย่างเอาไว้หมดแล้ว
ใบหน้าของพวกเขาทั้งคู่ก็ซีดลง ผู้ประเมินตอบกลับมา “มันเป็นความผิดของเขาทั้งหมด! เขาไม่รู้ด้วยซ้ำว่าอะไรมันค่า! ถ้าฉันบอกเขาไปว่ามันเป็นของจริง คุณคิดว่าจิ้งจอกเฒ่าแบบนั้นมันจะยอมขายให้ฉันงั้นเหรอ? เขาไม่สมควรได้รับมันตั้งแต่แรกเลยด้วยซ้ำ!”
“หยุดเถอะ! ได้โปรด!”
ชายคนนั้นพยายามหยุดชอลซาง แต่สุดท้ายความจริงก็ยังคงออกมาจากปากของเขาอยู่ดี
“ผมเข้าใจเรื่องทั้งหมดแล้ว งั้นก็ลาก่อนนะครับ”
แฮจินหยิบเครื่องเคลือบลายครามขึ้นมาก่อนที่เขาจะพยายามควบคุมขาที่กำลังสั่นของเขาและเดินออกจากที่นี่ไป ตอนนี้ร่างกายของเขามันไม่มีแรงเหลืออยู่เลย บางทีเขาอาจจะคิดถูกแล้วก็ได้เรื่องที่ว่ามันเป็นคำสาป เพราะว่าเขาพึ่งจะสาปชายคนนั้นไปเมื่อกี้นี้เอง
“อึก.....”
ท้ายที่สุดแล้วเขาก็เอาตัวพิงกำแพงแล้วอาเจียนมันออกมา
คาถาที่เขาพึ่งใช้ไปนั้นมันมีพลังที่ทำให้คนที่โดนพูดแต่ความจริงออกมา มันเป็นหนึ่งในคาถามากมายที่เขารู้ ตอนแรกเขาก็คิดว่ามันน่าจะสนุกดี แต่......
เขาควรจะวาดคาถาด้วยเลือด อย่างไรก็ตามเขากลับใช้น้ำแทนเพื่อให้ผลของมันอ่อนลงและอยู่ได้ไม่นานซึ่งดีแล้ว
แม้ว่าจุดหมายของเขามันจะอยู่ไม่ไกล แต่เขาก็เลือกที่จะนั่งแท็กซี่กลับแทน ตอนแรกเขาวางแผนว่าจะไปที่โรงประมูลต่อทันที แต่ตอนนี้เขารู้สึกแย่มากๆ เขาสงสัยเลยด้วยซ้ำว่าเขาควรจะไปที่โรงพยาบาลดีไหม
เขาล้มตัวลงนอนบนเตียงโดยไม่คิดแม้แต่จะอาบน้ำเพราะตอนนี้เขารู้สึกทั้งเวียนหัวและอ่อนแอ
เขาเพียงแค่นอนอยู่ตรงนั้นโดยไม่ได้คิดอะไรเป็นพิเศษ เขายิ้มออกมา มันทั้งแปลกและประหลาด แต่มันกลับทำให้เขารู้สึกดี เขานั้นรู้อยู่แล้วว่าอินซาดงมันเต็มไปด้วยพวกนักต้มตุ๋น แต่เหตุผลหลักๆที่ทำให้ทุกคนคิดว่าผู้ค้าโบราณวัตถุเป็นพวกหลอกลวงเพราะการมีอยู่ของคนอย่างชอลซาง
การที่ได้ลงโทษพวกที่ฉ้อโกงแบบนี้นั้นมันทำให้เขารู้สึกดีมาก มันแตกต่างจากความสุขที่เขาเคยรู้สึกเมื่อต้องทำงานเพื่อแลกเงิน
เขามักจะรู้สึกว่าตัวเขาเองมีบาปติดตัวอยู่เสมอ เพราะพ่อของเขาที่เป็นคนปล้นสุสาน แต่บางทีตอนนี้เขาก็สามารถทำสิ่งที่ถูกต้องได้ด้วยพลังและความรู้ที่เขาเพิ่งได้รับมา
เขาคิดต่อไปอีกสักพักก่อนที่จะหลับไปหลังจากนั้นไม่นาน
“……”
เมื่อเขาลืมตาขึ้นมา เขาก็เห็นว่าข้างนอกมันยังคงสว่างอยู่ อย่างไรก็ตามเมื่อเขามองไปที่นาฬิกา เขาก็พบว่าตอนนี้มัน8โมงแล้ว
“ฮะ? นี่ฉันหลับข้ามวันเลยงั้นเหรอ?”
วันที่ในโทรศัพท์ของเขามันบอกว่าเป็นวันถัดไป น่าแปลกที่แฮจินหลับไปนานกว่า16ชั่วโมง
ในขณะที่ลุกขึ้นจากเตียงเขาก็กระโดดเบาๆพร้อมกับส่ายแขน น่าแปลกที่ร่างกายของเขามันเต็มไปด้วยพลัง ความว่างเปล่าที่เขาเคยรู้สึกตอนนี้มันได้ถูกแทนที่ด้วยพลังงานลึกลับ
“เฮ้อ....ดูเหมือนว่าฉันจะติดกับเข้าซะแล้วสิ”
พลังแปลกๆนั่นมันทำให้เขากลัว เขารู้สึกราวกับว่าตอนนี้เขามีพลังปีศาจอยู่ในร่างกายของเขา
เขาเดินวนไปมาในห้องอยู่พักหนึ่ง แต่ก็ไม่สามารถคิดแผนที่ดีได้ เป็นเพราะเขารู้สึกได้ว่าความเจ็บปวดมันลดลงอย่าวมากระหว่างความฝันเมื่อคืน
อาการเจ็บมันจะแย่ลงกว่านี้อีกไหมถ้าอยู่ๆฉันก็หยุดใช้เวทมนต์? ก็อาจจะ
แต่ถ้าเกิดว่ามันไม่ใช่คำสาปขึ้นมาล่ะ? ถ้าเป็นแบบนั้นจริงมันคงจะคุ้มค่าเสียยิ่งกว่าการถูกลอตเตอรี่
เขาตัดสินใจที่จะทำตามแผนเดิมของเขานั้นก็คือเดินทางไปยังโรงประมูล เขาอาบน้ำใส่เสื้อผ้า และเดินออกจากโรงแรม
โรงประมูลเกาหลีมันตั้งอยู่ถัดจากอินซาดง ที่นี่มันเป็นโรงประมูลวัตถุโบราณที่ใหญ่ที่สุดในเกาหลี คนรวยส่วนใหญ่ได้รับวัตถุโบราณมาจากข้างในนั้น แน่นอนว่าคนที่ร่ำรวยยิ่งกว่าพวกเขามาก อย่างคนที่ถูกเรียกว่ามหาเศรษฐี พวกเขานั้นมีวิธีอื่นๆอีกมากมายเพื่อให้ได้รับสิ่งที่พวกเขาต้องการ
“ยินดีต้อนรับเข้าสู่โรงประมูลเกาหลีค่ะ คุณเป็นสมาชิกของโรงประมูลเกาหลีรึเปล่าคะ”
ตอนนี้แฮจินตัดสินใจที่จะลืมเรื่องคำสาปไปก่อน
พ่อครับ ชีวิตต่อจากนี้ของผมมันจะดีขึ้นใช่ไหมครับ?