ARI ตอนที่ 4 มันอยู่ในสายเลือด (3)
“แล้วคุณเอามันไปประเมินที่ไหน?”
“อะไรนะ? ถะ-ถ้านายมั่นใจขนาดนั้นละก็… นายจะลองไปคุยกับคุณหยาง ซังมินดูไหมละ?”
“งั้นก็ไปกันเถอะ เราสามารถไปหาเขาที่สำนักงานได้ รอผมอยู่ตรงนี้ เดี๋ยวขอตัวไปเปลี่ยนเสื้อผ้าก่อน”
ฮวางพยักหน้า เขาไม่คิดว่าแฮจินจะมีปฏิกิริยาแบบนี้
ไม่นานหลังจากนั้นเเฮจินก็เดินออกมาพร้อมกับกางเกงยีนส์และเสื้อฮูด
ฮวางยังคงมีความสงสัยอยู่บนใบหน้าของเขา จากนั้นเขาก็พูดออกมา “ไปกันเถอะ ที่ฉันรีบมาที่นี่ตอนแรกมันเป็นเพราะฉันกำลังตกใจ ว่าแต่นายรู้วิธีประเมินวัตถุโบราณจริงๆใช่ไหม?”
“ไร้สาระ! ถ้าคุณไม่เชื่อใจผม คุณก็ไม่ควรเอามันมาให้ผมดูตั้งแต่แรก” แฮจินตอบกลับไปแบบห้วนๆ
ฮวางรู้สึกกระดากอายและมองไปทางอื่น
“ก็เพราะตอนแรกฉันคิดว่าผู้ประเมินทุกคนมันก็เหมือนกันหมด บวกกับครั้งล่าสุดที่นายทำได้ค่อนข้างดี ดังนั้นฉันก็เลยไว้ใจให้นายประเมินในครั้งนี้ แต่สุดท้ายนายก็ทำพลาด”
ดูเหมือนว่าฮวางจะมั่นใจในตัวผู้ประเมินคนนั้นมากว่าแฮจิน
แต่มันก็ไม่สำคัญอีกต่อไป เพราะทุกสิ่งมันเกิดขึ้นไปแล้ว และเขาก็ไม่อยากจะเสียเวลาอันมีค่าของเขาไปกับฮวางอีก ตอนนี้เขาแค่อยากเห็นหน้าของผู้เชี่ยวชาญที่เป็นคนพูดว่าเครื่องเคลือบราคาหลายสิบล้านวอนเป็นของปลอมเท่านั้น
“แล้วไอหน่วยงานประเมินที่คุณพูดมันคือที่ไหน?”
“ฮะ! ฉันบอกไว้ก่อนเลยนะว่าถึงนายจะไปที่นั่นมันก็ไม่มีประโยชน์ เพราะที่พวกฉันไปกันคือ ‘หน่วยงานประเมินราคาชอนจิน’ มันค่อนข้างมีชื่อเสียง และยังถูกการันตีว่าเป็นหน่วยงานที่ประเมินออกมาแล้วได้ราคาที่เป็นธรรมที่สุดในอินซาดง นายอย่าคิดที่จะไปที่นั่นเชียวเพราะเดี๋ยวมันจะทำให้นายขายหน้าเปล่าๆ นายแค่ต้องไปหาคุณหยางและขอโทษเขา พร้อมกับคืนเงินที่นายเอามาเท่านั้นเอง”
“ผมสามารถคิดเองได้ เอาละตอนนี้เราไปกันได้รึยัง”
“เฮ้อ....”
พ่อของเขานั้นไม่ได้เป็นแค่โจรปล้นสุสานธรรมดา เพราะถ้าหากเขามีโอกาสได้สำเร็จการศึกษาจากมหาวิทยาลัย เขาก็จะกลายเป็นนักโบราณคดีที่มีชื่อเสียงในเกาหลีทันที
เขาถูกเรียกว่าตำนานแห่งอินซาดง ทุกคนที่อยู่ที่นั่นต่างก็รู้จักเขา
ยอนซอกนั้นเป็นทั้งนักโบราณคดีที่ยิ่งใหญ่และเป็นโจรปล้นสุสานในเวลาเดียวกัน ทันทีที่แฮจินเริ่มพูด พ่อของเขาก็พาเขาไปที่พิพิธภัณฑ์และหอศิลป์ ต่อมาเมื่อเขาเริ่มเรียนรู้วิธีอ่าน เขาก็ได้รับการสอนภาษาเกาหลีและจีนทันที
แม้ว่าเขาจะไม่สามารถมีส่วนร่วมกับกระบวนการต่างๆได้ แต่ตอนที่เขาเรียนอยู่ชั้นประถม เขาก็ได้เห็นวัตถุโบราณทุกชนิดที่พ่อของเขาขุดขึ้นมา
ในขณะที่เด็กคนอื่นๆต้องเรียนวรรณกรรม ภาษาอังกฤษ และคณิตศาสตร์ แต่เขากลับต้องเรียนรู้เรื่องภาพเขียน ประติมากรรม และเครื่องเคลือบจากพ่อของเขาแทน
ถ้าเกิดว่าตอนนั้น ยอนซอกตัดสินใจที่จะซื้อที่ดินและอพาร์ทเมนท์เอาไว้สักสองสามแห่งด้วยเงินที่เขาได้มาจากสุสานล่ะก็ แฮจินคงจะกลายเป็นคนร่ำรวยไปแล้วตอนนี้
แต่แทนที่จะเอาเงินไปทำแบบนั้น ยอนซอกกลับพาแฮจินเดินทางไปรอบโลกแทน พวกเขาไปที่พิพิธภัณฑ์ลูฟร์ พิพิธภัณฑ์อังกฤษ พิพิธภัณฑ์พระราชวังแห่งชาติไต้หวันและอื่นๆอีกมากมาย ดังนั้นแฮจินจึงลงเอยด้วยการมาอาศัยอยู่ในสลัม
แน่นอนว่าการใช้เงินและวัตถุโบราณทั้งหมดเพื่อนำยอนซอกออกมาจากคุกนั้นเป็นเหตุผลที่ใหญ่ที่สุด
“ท่านครับ! เขาบอกว่าการประเมินของเขามันถูกต้องแล้ว และเราควรกลับไปหาพวกเขาเพื่อขอข้อมูลเพิ่มเติม!”
ฮวางพาแฮจินมาที่บริษัทอสังหาริมทรัพย์ซอมซ่อที่พวกเขาเคยมาเมื่อไม่กี่วันก่อน หยาง ซังมินตอนนี้กำลังนั่งอยู่ตรงโต๊ะทำงานตัวเก่าของเขา เพียงแค่ไม่กี่วันเขาก็ดูแก่ลงมาก หลังของเขางอ และขณะที่ออกมาเขาก็จ้องไปทางแฮจิน
“แล้วจะให้กลับไปเพื่ออะไร? ตอนนี้ทุกอย่างมันจบแล้ว แม้ว่ามันจะเป็นของจริง มันก็คงจะขายไม่ได้ราคามากนักหรอก นอกจากนี้การก่อสร้างมันก็จะไม่ถูกหยุด ดังนั้นทั้งฉันและนายก็จะรอด ฮวาง ฉันมันบ้าเองที่ไปขอความช่วยเหลือจากเด็กคนนี้.... ส่วนแกก็เอาเงินของฉันคืนมา และรีบไสหัวออกไปจากที่นี่ซะ!”
แฮจินรู้อยู่แล้วว่าอะไรมันจะเกิดขึ้น ดังนั้นเขาจึงวางแผนที่จะไปหาคนประเมินพร้อมกับซังมิน เนื่องจากเขาไม่พอใจกับคำตอบของพวกเขา..... แต่ตอนนี้เขาเปลี่ยนใจแล้ว
“เอาจริงดิ? ได้เลยผมเข้าใจแล้ว งั้นเอาแบบนี้เป็นไง? คุณขายของปลอมพวกนั้นให้ผมในราคาชิ้นละ1,000,000 วอน ผมจะรับซื้อพวกมันทั้งหมดเอาไว้เอง โอ้แล้วผมก็จะคืนเงิน 300,000วอนที่คุณให้ผมไว้ก่อนหน้านี้ด้วย”
“เธอพูดว่าอะไรนะ?”
“ผมบอกว่าจะซื้อพวกมันทั้งหมด คุณคงวางแผนว่าจะฝังพวกมันทั้งหมดโดยไม่บอกกรมการบริหารมรดกทางวัฒนธรรม ถูกไหม? หรือว่าคุณวางแผนจะขายพวกมันทั้งหมดให้กับผู้ประเมินราคาด้วยราคาที่ต่ำเหมือนคนโง่?”
ถ้าเขาทำแบบนั้นจริง มันจะเป็นสถานการณ์ที่เลวร้ายที่สุด อย่างไรก็ตาม แฮจินไม่คิดว่าซังมินจะโง่ขนาดนั้น และตอนนี้ผู้เชี่ยวชาญคนนั้นก็อาจจะกำลังรอให้แผนของเขาได้ผล
“ไม่ แต่... แกจะจ่ายชิ้นละ1,000,000วอนจริงๆใช่ไหม? เดี๋ยวก่อนนะ แล้วแกรู้ได้ยังไงว่ามันมีมากกว่าหนึ่งชิ้น?”
“เพราะว่าคุณจะไม่ตื่นเต้นขนาดนั้นถ้ามันขายได้แค่10,000,000วอน ฉะนั้นผมถึงได้รู้ว่ามันต้องมีมากกว่าหนึ่งชิ้นแน่นอน เรื่องนั้นนะช่างมันเถอะ คุณแค่ต้องขายมันให้ผมก็พอ หลังจากเรื่องทั้งหมดนี้ มันน่าจะดีกว่าใช่ไหมละ ถ้าคุณสามารถขายมันได้1,000,000วอนต่อชิ้น”
ซังมินและฮวางมองหน้ากัน จากนั้นก็มองไปที่แฮจิน อย่างไรก็ตามพวกเขาไม่ได้สงสัยนักประเมินมืออาชีพ และยังคงดูถูกแฮจินอีกด้วย
บางทีมันอาจจะเป็นเรื่องปกติ เพราะคนส่วนมากก็เลือกที่จะเชื่อมืออาชีพมากกว่าคนงานก่อสร้าง
“แกจะซื้อมันในราคา1,000,000วอนต่อชิ้นจริงๆใช่ไหม? แกแน่ใจนะ?”
“ใช่แล้ว และผมก็สามารถจ่ายเงินให้คุณได้ทันทีเลยด้วย”
แฮจินมีเงินเก็บอยู่ประมาณ 20,000,000วอน จากการทำงานใช้แรงงาน นอกจากนี้มันก็เป็นไปไม่ได้เลยที่จะมีเครื่องเคลือบลายครามมากกว่า20ชิ้นออกมาจากไซต์
“โอเค! ฉันตกลง!”
“เอ่อ ท่านครับ ผมคิดว่าเราไม่ควรด่วนตัดสินใจ......”
ฮวางพยายามหยุดซังมินที่ตัดสินใจรับขอเสนอเร็วเกินไป แต่ท้ายที่สุดแล้วเขาก็ไม่ได้พูดออกมา เพราะเขาต้องการให้บทเรียนกับชายหนุ่มคนนี้
“1,000,000วอนต่อชิ้น ดี มันเป็นข้อเสนอที่เยี่ยมไปเลย ฉันจะได้กำจัดของไร้ประโยชน์พวกนี้ และเริ่มการก่อสร้างต่อได้สักที อยู่ตรงนั้น และอย่าหนีไปที่ไหนสักก่อนละ!”
ซังมินบอกให้แฮจินอย่าหนีไปไหน และรีบเดินเข้าไปข้างในเพื่อเอาของทั้งห้าชิ้นออกมา
“เอาล่ะ งั้นนายจะซื้อพวกมันทุกชิ้นเลยใช่ไหม? ว่าไงละ?”
เครื่องเคลือบลายครามสีขาวทั้งหมดล้วนเป็นของจริง และค่อนข้างมีราคา
แม้กระทั่งชามที่ไม่มีการตกแต่งใดๆและดูเหมือนว่าจะไร้ค่า แต่โคลนและสารเคลือบที่พวกเขาใช้ทำมันเป็นของที่ดีที่สุด และพวกมันก็จะเป็นสีเทาเมื่อโดนแสงอ่อนๆ
พวกมันทั้งหมดคือเครื่องเคลือบลายครามสีขาวดอกน้ำเงิน มีชิ้นหนึ่งที่เคยเป็นจานใส่น้ำหมึก มันมีดอกแปริคอตและต้นไผ่เหมือนกับชิ้นแรก ส่วนอีก3ชิ้นที่เหลือมันคือเครื่องเคลือบลายครามสีขาวย้อมแดงที่มีความสูงประมาณ 30 ซม.
พวกมันทั้งหมดยิ่งดูดีขึ้นเมื่อมาอยู่รวมกัน แม้ว่าเครื่องเคลือบลายครามสีขาวมันอาจจะดูเรียบๆและไม่ฉูดฉาด เหมือนเครื่องเคลือบลายครามสีน้ำเงิน แต่เนื่องจากสีฟ้าขาวที่ดูลึกลับของพวกมัน มันจึงทำให้คุณไม่รู้สึกเบื่อเลยเวลาที่มองไปยังพวกมัน และนั่นจึงเป็นเหตุผลที่ทำให้พวกมันมีค่ามาก นอกจากนี้ เครื่องเคลือบลายครามสีขาวเหล่านี้ก็ยังคงสามารถรักษารูปร่างที่สวยงามของมันเอาไว้ได้
“เอาเลขบัญชีของคุณมาให้ผม และร่างสัญญาขึ้นมาด้วย” แฮจินพูด
“สัญญา? สัญญาอะไร?”
“ก็สัญญาที่บอกว่าคุณได้ขายเครื่องเคลือบลายครามให้ผมชิ้นละ 1,000,000วอนไง ก็คุณบอกเองนิว่าพวกมันเป็นของปลอม ผมก็แค่อยากทำให้แน่ใจว่าคุณจะไม่เปลี่ยนใจ และขอพวกมันคืนหลังจากที่ผมซื้อมันไปแล้ว”
“ฮะฮา...”
‘ฮะฮา’ ของซังมิน แม้แต่เด็กก็ยังรู้เลยว่าเขาพยายามจะถ่วงเวลา
“หืมม? หรือว่าอยู่ดีๆคุณก็เกิดกังวลว่ามันจะเป็นของจริงขึ้นมางั้นเหรอ? ถ้าคุณคิดแบบนั้นผมก็จะได้ไม่ต้องคืนเงิน300,000วอนของคุณ และคุณก็อย่ามารบกวนผมอีกละ อ๋อ แล้วอีกอย่างคือ คุณควรโทษตัวเองบ้างนะ...”
แฮจินแสดงความโกรธของเขา ในขณะที่หน้าของซังมินตอนนี้เริ่มเปลี่ยนเป็นสีแดง
“ได้! แกคิดว่าฉันไม่กล้ารึไง! แล้วเด็กแบบแกกล้าพูดแบบนี้กับฉันได้ยังไง… เอาล่ะได้ แต่แกอย่ามาขอเงินคืนจากฉันทีหลังก็แล้วกัน!”
ซังมินหยิบกระดาษแผ่นใหม่จากเครื่องพิมพ์ของเขา และร่างสัญญาขึ้นมา
“นี่ไง! คราวนี้ก็ส่งเงินมาให้ฉัน และประทับรอยนิ้วมือของแกลงบนสัญญาซะ!”
“โอเค”
แฮจินโอนเงิน5,000,000วอนไปยังบัญชีของซังมินด้วยโทรศัพท์ของเขา จากนั้นเขาก็เอาหลักฐานให้ดู “นี่ไงดูมันให้ชัดๆ! ผมส่งเงินไปให้คุณแล้ว”
จากนั้นเขาก็ใช้นิ้วหัวแม่มือที่ตอนนี้เป็นสีแดงประทับลงในสัญญา และเก็บหนึ่งในสองใบเอาไว้กับตัว
“ตอนนี้พวกมันทั้งหมดก็เป็นของผมแล้วใช่ไหม?”
“ชะ-ใช่”
“งั้นผมขอรับมันไปเลยก็แล้วกัน อ่าเกือบลืมไปเลย อะอันนี้คือเงิน300,000วอนของคุณ”
เขาวางซองจดหมายสีเหลืองลงบนโต๊ะของซังมิน และเรียกรถแท็กซี่ จากนั้นเขาก็ได้กล่องกระดาษและหนังสือพิมพ์จากซุปเปอร์มาร์เก็ตที่อยู่ใกล้เคียง และนำมันมาห่อเครื่องเคลือบด้วยระมัดระวัง
เนื่องจากที่ที่เขาอยู่มันค่อนข้างไกลจากตัวเมือง มันจึงต้องใช้เวลาสักครู่กว่ารถแท็กซี่จะมาถึง ในขณะที่เขากำลังรอพร้อมกับดื่มโซดาที่ได้มาจากซุปเปอร์มาร์เก็ต ในตอนนั้นเอง ซังมินก็ได้เดินมาหาเขา
“หลังจากนี้แกจะไปไหน? แกคงกำลังจะไปหาผู้ประเมินใช่ไหม? นั่นมันจะทำให้แกเสียเวลาเปล่า เพราะยังไงมันก็ไม่มีทางที่ของปลอมจะกลายเป็นของจริงได้”
“แน่นอนว่าของปลอมยังไงมันก็ไม่มีทางที่จะเป็นของจริงไปได้”
“ถ้าอย่างนั้นแล้ว?”
“ก็พวกนี้มันเป็นของจริงตั้งแต่แรกแล้วไงละ”
“เฮ้อ..ทำไมคนหนุ่มสมัยนี้ถึงไม่รู้คุณค่าของเงินกันบ้างเลยนะ ตอนนี้แกก็คงจะไม่ได้คิดเรื่องการเก็บเงินเลยใช่ไหม? เงิน5,000,000วอนมันสามารถใช้เป็นเงินมัดจำสำหรับค่าเช่าบ้านของแกได้เลยนะ!”
แฮจินรู้ว่าทำไมซังมินถึงพูดกับเขาแบบนั้น มันเป็นเพราะเขาหวังว่าของที่เขาขายมันจะเป็นของปลอมอย่างที่มันควรจะเป็น
“คุณไม่เคยมีประสบการณ์การซื้อขายวัตถุโบราณเลยใช่ไหม?”
“ฮะ?”
“คุณไม่เคยซื้อ และผมก็เป็นคนแรกที่คุณขายวัตถุโบราณให้ถูกไหม?”
“…….”
ซังมินแกล้งไอออกมาเพราะเขาไม่รู้ว่าควรจะตอบกลับยังไงดี กับคำถามที่แทงใจดำเขาเช่นนี้
“เมื่อมันขึ้นชื่อว่าเป็นวัตถุโบราณ คุณก็ไม่ควรที่จะขายสิ่งที่อยู่ในมือของคุณง่ายๆแบบนี้”
“แกหมายความว่ายังไง?”
“นี่เป็นคำแนะนำสุดท้ายที่ผมสามารถให้คุณได้ ลาก่อน”
แท็กซี่มาถึงแล้วดังนั้นแฮจินจึงวางของเอาไว้ที่เบาะหลังอย่างระมัดระวัง
“นี่แกบ้าไปแล้วรึไง แท็กซี่สีดำคันนี้ค่าโดยสารมันแพงมาก......ทำไมแกถึงไม่รู้จักคุณค่าของเงินกันนะ...”
ซังมินยังคงบ่นเขาอยู่เหมือนเดิม แต่แฮจินทำเพียงแค่ยิ้มกลับไปเท่านั้น ซึ่งแตกต่างจากสิ่งที่เขาพูดตอนนี้ใบหน้าของซังมินมันบิดเบี้ยวราวกับว่าเขากำลังจะร้องให้
แฮจินปิดประตูโดยไม่สนใจความรู้สึกของเขา
“ขอโทษนะครับ คือของพวกนี้มันแพงมาก ถ้าเกิดมันมีรอยร้าวแม้แต่นิดเดียว คุณอาจจะต้องขายรถของคุณเพื่อชดใช้มัน ดังนั้นได้โปรดช่วยขับอย่างระมัดระวังหน่อยนะครับ ผมไม่สนใจว่าจะต้องจ่ายค่าโดยสารเท่าไหร่”
“เข้าใจแล้วครับ”
คนขับรถที่มีผมสีขาวบางส่วนเริ่มออกรถของเขาอย่างช้าๆ
“เอ่อ? อ่า?”
ซังมินพยายามจับรถ แต่เขาคว้าได้แค่อากาศเท่านั้น และล้มลงไปกับพื้น ตอนนี้เขาเพิ่งมาคิดได้ว่ามันมีบางอย่างผิดปกติ ชายหนุ่มคนนี้มีความมั่นใจมากเกินไป ในขณะที่เขานั้นด่วนตัดสินใจเร็วเกินไป
“ไปที่ไหนดีครับ?”
“ไปจงโรครับ”
มันมีอยู่ชั่ววูบหนึ่งที่แฮจินต้องการที่จะตำหนิซังมินกลับ แต่เขาก็รั้งตัวเองเอาไว้ก่อน เพราะซังมินเป็นแค่เหยื่อของคนร้ายตัวจริงเท่านั้น
เหตุผลที่ตอนนี้เขากำลังจะไปจงโร แทนที่จะเป็นอินซาดงก็เพื่อไม่ให้มีใครรู้ว่าเขามีวัตถุโบราณอยู่ในครอบครอง จากนั้นเขาก็จะฝากพวกเครื่องเคลือบเอาไว้ที่โรงแรมธุรกิจใกล้เคียง
เขาจ่ายค่าแท็กซี่ด้วยบัตรไป 130,000วอน มันอาจจะแพง แต่เมื่อเทียบกับเงินที่เขากำลังจะได้จากการขายเครื่องเคลือบลายครามแล้ว มันก็เป็นจำนวนที่ไม่มีค่าอะไรเลย
เมื่อเขาเข้ามาในห้องของโรงแรม เขาก็วางสัมภาระทั้งหมดของเขา จากนั้นก็หยิบภาชนะใส่น้ำและมุ่งหน้าไปยังอินซาดง
เขาเริ่มผิวปากของเขา ถึงแม้ว่าเขาจะมีเครื่องเคลือบลายครามเพียงไม่กี่ชิ้น แต่เขาก็มีความรู้สึกว่าโลกทั้งใบอยู่ในกำมือของเขา
ทันใดนั้นเขาก็คิดถึงพ่อของเขาขึ้นมา