WS บทที่ 18 การไต่สวน
“หน่วยสอบสวนสินะ”
เมอร์ลินจดจำชื่อนี้ไว้ในใจของเขา เขาจำเป็นต้องระวังตัวคนจากหน่วยนี้ให้ดี หากพบเจอพวกเขาในอนาคต
หลังจากนั้นสักพักรถม้าหยุดลง นักรบศักดิ์สิทธิ์ได้เปิดประตูลงไปก่อนตามด้วยเมอร์ลิน เขาเงยหน้าขึ้นมอง เขาประหลาดใจที่จุดหมายของเขาเป็นโบสถ์ของเมืองแบล็กวอเตอร์
มีคนหลายคนมาที่นี่เช่นเดียวกับเมอร์ลิน แต่ส่วนใหญ่ไม่ได้รับสิทธิพิเศษแบบเขา พวกเขาล้วนเป็นพลเมืองปกติที่ถูกนำตัวมาสอบสวนที่โบสถ์โดยกองกำลังป้องกันเมือง
"ไปกันเถอะ บอกทุกสิ่งที่พวกเขาจำเป็นต้องรู้ ตราบใดที่มันไม่เกี่ยวข้องกับคนนอกรีตที่ชั่วร้าย พวกเขาจะปล่อยกลับบ้านโดยเร็ว”
นักรบศักดิ์สิทธิ์พูดกับเมอร์ลินด้วยรอยยิ้ม เนื่องจากความสัมพันธ์ของเมอร์ลินกับคอว์ธัน เขาจึงรู้สึกดีกับเมอร์ลินมาก
เมอร์ลินพยักหน้าและเข้าไปในโบสถ์พร้อมกับนักรบศักดิ์สิทธิ์คนนี้
ในโบสถ์มีคนมากกว่าร้อยคน พวกเขาบางคนได้ต่อแถวยาว บางคนที่ถึงคิวก็ด้พูดเรื่องที่เกี่ยวข้องกับชายชราอีธานและเสมียนทำหน้าที่ในการบันทึกถ้อยคำต่าง ๆ
เมอร์ลินที่อยู่ใกล้ ๆ กับโต๊ะเสมียน เขาได้ยินเสียงของคนที่ถูกซักถาม
“คุณได้พบกับคนนอกรีตตอนไหน”
“เมื่อหลายปีแล้ว ฉันเป็นช่างตัดเสื้อ เมื่อใดก็ตามที่มีการเปลี่ยนแปลงของฤดูกาล คุณอีธานจะมาที่ร้านเพื่อรับเสื้อผ้าที่เหมาะสำหรับฤดูนั้น”
“นอกจากที่เขาไปเอาเสื้อผ้า เขาได้ทำอะไรอย่างอื่นมั้ย”
“ฉันเห็นเขามาเอาเสื้อผ้าเท่านั้น นอกนั้นฉันไม่รู้ว่าคุณอีธานไปที่ไหนเลย เขาเป็นคนสันโดษที่ชอบอยู่ในบ้านไม้คนเดียวเสมอ โดยปกติเขาจะไม่ได้ไปไหน ใครจะคิดว่าเขาเป็นคนนอกรีตที่ชั่วร้าย?”
"โอเค ต่อไป"
นั่นคือกระบวนการทั้งหมด พวกเขาจะสักถามคำถามอย่างรวดเร็ว หากคนไหนไม่เข้าเกณฑ์ พวกเขาจะปล่อยคนถูกถามไปและเปลี่ยนคนซักถามอย่างรวดเร็ว
“ถ้าเป็นการสอบปากคำแบบง่ายๆ มันก็ไม่มีอะไรน่ากลัว”
เมอร์ลินได้ทำใจให้สงบลง
ในไม่ช้ามันก็ถึงตาของเมอร์ลิน เสมียนยืนอยู่หน้าเมอร์ลินดูเรียบร้อยและเป็นระเบียบ เขามีหน้าที่รับผิดชอบในการบันทึกการสนทนาในขณะที่คนที่ถามคำถามคือนักรบศักดิ์สิทธิ์
นักรบศักดิ์สิทธิ์คนนี้จ้องมองที่เมอร์ลินเพียงแวบเดียวก่อนที่เขาจะถามว่า "คุณชื่ออะไร"
“เมอร์ลิน วิลสัน”
หลังจากได้ยินชื่อของเมอร์ลินการแสดงออกของนักรบศักดิ์สิทธิ์ก็เปลี่ยนไปเล็กน้อย จากนั้นเขาก็มองเมอร์ลินและการแสดงออกของเขาก็ดูเคร่งเครียด
“คุณมีความสัมพันธ์กับคนนอกศาสนาที่ชั่วร้ายอย่างไร”
เมอร์ลินไม่ลังเลและพูดตอบไปตรง ๆ ว่า “ฉันไม่รู้จักตัวตนที่แท้จริงของอีธาน ฉันแค่ไปเรียนรู้เกี่ยวกับการตรวจสอบศิลปวัตถุจากเขาเท่านั้น”
เมอร์ลินเฝ้าสังเกตนักรบศักดิ์สิทธิ์อย่างใกล้ชิด เขาเห็นว่ามีการเปลี่ยนแปลงไม่มากนักของเขา นั่นทำให้เมอร์ลินได้เข้าใจในทันที
คนเหล่านี้รู้ว่าชายชราอีธานได้ติดต่อกับคนอื่นมาก่อน พวกเขายังได้รับข้อมูลบางอย่างของคนที่อีธานติดต่อด้วย แน่นอนพวกเขารู้ถึงความสัมพันธ์ของเมอร์ลินกับอีธาน
นักรบศักดิ์สิทธิ์ถามเมอร์ลินต่อและเมอร์ลินก็ตอบตามความเป็นจริงยกเว้นเพียงเรื่องแหวน เขาคิดว่าไม่ควรไม่ปิดบังข้อเท็จจริงใด ๆ เกี่ยวกับชายชรา มิฉะนั้นพวกเขาจะสงสัยได้
หลังจากที่นักรบศักดิ์สิทธิ์ถามทุกอย่างที่เขาต้องการ เขาเงยหน้าขึ้นแล้วพูดกับนักรบศักดิ์สิทธิ์คนอื่นที่อยู่ข้าง ๆ เขา “นำเขาเข้าไปให้ลอร์ดเจสันตรวจสอบขั้นสุดท้าย”
นักรบศักดิ์สิทธิ์อีกคนได้ออกมาข้างหน้าแล้วพาเมอร์ลินไปที่ห้องเล็ก ๆ ในโบสถ์
“เชิญครับ”
นักรบศักดิ์สิทธิ์หยุดลง หลังจากที่เขามาส่งเมอร์ลินไปที่ประตู เขาพูดกับเมอร์ลินอย่างเฉยเมย
เมอร์ลินถอนหายใจอย่างช่วยไม่ได้ เขาเปิดประตูและก้าวเข้าไปข้างใน
ห้องนี้มืดและชื้นเล็กน้อย ทันทีที่เมอร์ลินก้าวเข้ามาข้างใน เขารู้สึกถึงสายตาที่จ้องมองมาที่เขา
“คุณคาริซ?”
เมอร์ลินมองเขาไปข้างใน เขาเห็นว่ามีคนที่เขารู้จักในห้อง คน ๆ นั้นเป็นคาริซ เธอถูกพามาที่นี่ด้วย
คาริสเห็นเมอร์ลินและพยักหน้ารับ ดูเหมือนว่าเธอจะสงบลงมากกว่าเมื่อวาน
นอกจากคาริสแล้วยังมีคนแปลกหน้าอีกสองสามคนในห้อง เป็นชายชราหัวล้าน มาดามร่างท้วมและช่างตัดเสื้อที่เคยถูกถามก่อนหน้านี้
พวกเขายืนอยู่ในห้องด้วยความรู้สึกที่ไม่สบายใจ พวกเขามองไปที่ชายเสื้อคลุมสีขาวที่นั่งอยู่บนเก้าอี้ด้วยความกลัว
เมอร์ลินได้เพ่งมองชายผิวขาว เขาก็พบว่าเขาเป็นพ่อมดที่ฆ่าอีธาน พ่อมดเจสันแห่งหน่วยสืบสวน
เมอร์ลินเหมือนกับคนอื่นๆ ที่ยืนอยู่เฉยๆ ในห้อง เจสันไม่ได้พูดอะไรและทำเพียงรออย่างเงียบๆ
หลังจากนั้นไม่นานก็มีคนอีกคนเพิ่มเข้ามา จนทำให้ตอนนี้ในมีคนทั้งหมดแปดคน พวกเขารู้สึกไม่สงบ เนื่องจากไม่รู้ว่าจะมีการสอบสวนอะไรรอพวกเขาอยู่
เบื้องของพ่อมดเจสันมีภาพจิตรกรรมฝาผนังทางศาสนาขนาดใหญ่ มันเป็นเรื่องราวเกี่ยวกับเทพแห่งแสงที่ลงโทษกลุ่มปีศาจชั่วร้าย ด้วยภาพจิตรกรรมฝาผนังรวมกับพ่อมดเจสันมันทำให้เกิดความกลัวในหัวใจของคนที่อยู่ในห้อง มันให้ความรู้สึกราวกับเจสันเป็นพระเจ้าและพวกเขาเป็นปีศาจ
หลังจากนั้นไม่นานพ่อมดเจสันก็ยืนขึ้นมา เขาตวัดสายตาที่แหลมคมกวาดมองพวกในเพียงสั้น ๆ ก่อนที่จะพูดช้า “พวกคุณคือคนที่เคยพูดคุยกับพวกนอกรีตที่ชั่วร้ายสินะ คนนอกรีตนั้นนั้นโหดร้าย เจ้าเล่ห์และมีความสามารถในการใช้เวทย์มนตร์ ดังนั้นฉันต้องทดสอบด้วยตัวเองเพื่อตรวจสอบว่าพวกคุณถูกคนบาปนอกรีตร่ายคาถาใส่หรือไม่”
เมื่อได้ยินพ่อมดเจสันกล่าว ชายชราหัวล้าน มาดามร่างท้วมก็ตัวสั่นเทาด้วยความกลัว
ในคริสตจักรแห่งแสงผู้ที่เกี่ยวข้องกับคนนอกศาสนาที่ชั่วร้ายจะได้รับการลงโทษที่โหดร้าย สิ่งที่ร้ายแรงที่สุดคือการถูกมัดไว้กับไม้และถูกเผาทั้งเป็น ดังนั้นพวกเขาจึงกลัวว่าตัวเองจะเป็นในคนที่ถูกเผา
มุมปากของพ่อมดเจสันก็ยิ้มแย้มแจ่มใส ด้วยมือทั้งสองของเขาไขว้ข้างหน้าหน้าอกของเขาเขาพูดด้วยน้ำเสียงอันอ่อนโยน “ไม่ต้องกลัวไป หากคุณเป็นพวกเดียวกับคนนอกรีตที่ชั่วร้ายพระเจ้าจะทรงให้อภัยคุณอย่างแน่นอน”
หลังจากนั้นพ่อมดเจสันก็เริ่มพูดพืมพัมเบาๆ หลังจากนั้นร่างของเขาเขาเริ่มเปล่งแสงสีขาวจางๆ ที่ทำให้รู้สึกมนต์ขลังและศักดิ์สิทธิ์
ในพริบตามันครอบคลุมทั้งห้อง ในขณะเดียวกันพ่อเจสันก็ถอดชุดเกราะที่เขาสวมอยู่ออก ทำให้เห็นเสื้อคลุมสีขาวขนาดใหญ่ที่อยู่ข้างในและเห็นแสงศักดิ์สิทธิ์บนเครื่องหมายไม้กางเขนสีเงินบนเสื้อคลุมสีขาวของเขา
ผู้คนที่ถูกห่อหุ้มด้วยแสงศักดิ์สิทธิ์ พวกรู้สึกราวกับว่าพวกเขาถูกมองผ่านอย่างสมบูรณ์ พวกเขาไม่สามารถซ่อนสิ่งใดเลยแม้แต่น้อย เมอร์ลินมองที่คาริสที่อยู่ด้านข้างและเห็นว่าหน้าของเธอเป็นสีแดงสดพร้อมกับการแสดงออกที่น่าอึดอัดใจเล็กน้อย
เมอร์ลินขมวดคิ้วเพราะเขารู้สึกเหมือนกัน ถึงแม้จะใส่เสื้อผ้าอยู่เหมือนแต่ด้วยแสงศักดิ์สิทธิ์ทำให้เหมือนเขาไม่ได้ใส่อะไรปกปิดร่างกายเลยราวกับว่าพวกเขาถูกคนอื่นปดเปลื้องร่างกาย
‘นี่เป็นเวทมนตร์งั้นหรือ? โชคดีที่ฉันไม่ได้เอาแหวนมาด้วย ไม่อย่างนั้นฉันไม่มีทางหนีพ้นจากการตรวจสอบของเจสันได้'
เมอร์ลินเริ่มรู้สึกว่าเขาควรจะระวังพวกพ่อมดผู้ลึกลับเอาไว้เพราะพวกเขามีเวทมนตร์คาถาที่ทรงพลังและมีความแข็งแกร่งที่ไม่สามารถหยั่งรู้ได้
คนอื่นๆ ต่างตกใจกับแสงเจสันที่เปล่งออกมาเช่นกันแต่เมอร์ลินกลับสงบนิ่งและเขามองไปที่เจสัน เขาได้สังเกตเห็นว่ามีเครื่องหมายกากบาทสีเงินบนเสื้อคลุมสีขาวของเจสัน
เมอร์ลินจำได้ว่าพวกนักรบศักดิ์สิทธิ์ไม่มีเคื่อยงหมายนี้ ดังนั้นนี่น่าจะเป็นเครื่องที่บ่งบอกถึงหน่วยสอบสวน
แสงศักดิ์สิทธิ์ยังคงดำเนินต่อไปชั่วขณะหนึ่งแล้วก็ค่อย ๆ สลายไป จากนั้นพ่อมดเจสันแสดงรอยยิ้มที่ร่าเริงเล็กน้อยและพูดด้วยน้ำเสียงยินดี “ดีมาก ฉันตรวจสอบเสร็จแล้ว คุณเป็นผู้ศรัทธาที่ซื่อสัตย์และไม่เคยถูกคนนอกรีตร่ายคาถาใส่”
เมื่อได้ยินคำเช่นนั้น ทุกคนต่างถอนหายใจด้วยความโล่งอก บางคนถึงกับสวดภาวนาอย่างเงียบ ๆ
*แอ๊ดดด*
ประตูห้องได้เปิดอกและเจสันก็โบกมือ “ทุกคนสามารถกลับบ้านได้”
ทุกคนก็โค้งคำนับพ่อมดเจสันเล็กน้อยแล้วออกจากห้องอย่างรีบเร่ง หลังจากที่ได้เห็นฉากการต่อสู้นั่นก็ไม่มีใครอยากจะอยู่กับเจสันอีกต่อไป
นักดาบบ็อคที่รออยู่ด้านนอกได้เดินเข้ามาในห้อง เขาถามว่า “ท่านเจสันท่านพบอะไรหรือไม่?”
เจสันส่ายหัว "ไม่มีอะไรเลย ฉันได้ตรวจสอบด้วยเวทย์มนต์ตรวจสอบแต่พวกเขาเหล่านี้ไม่มีพลังเวทย์มนตร์ใด ๆ ในตัวเลย ไม่ต้องพูดถึงสิ่งของที่มีออร่าเวทย์มนต์ดูเหมือนว่าคนนอกศาสนาที่ชั่วร้ายจะมาที่เมืองแบล็กวอเตอร์เพียงคนเดียว”
นักดาบบ็อคพยักหน้าและพูดต่อ “สิ่งของต่าง ๆ ในบ้านของคนนอกรีต เราควรจัดการกับพวกมันอย่างไร”
“ใส่พวกมันไปในรถม้าแล้วนำพวกมันกลับไปที่เมืองหลวง เอาไปให้พวกบาทหลวงจัดการ บางทีหากเราตรวจสอบพวกมันอย่างละเอียด พวกเราอาจจะสามารถหาคนนอกศาสนาคนอื่น ๆ ได้”
พ่อมดเจสันพูดกับนักดาบบ็อค
หลังจากที่เดินออกจากโบสถ์ลมหนาวก็พัดมา เมอร์ลินอดไม่ได้ที่จะดึงเสื้อขึ้นมาที่คอ ตอนนี้เขารู้สึกโล่งอกอย่างมาก เขาได้รอดจากการสอบสวนจากทางโบสถ์ เขาตั้งใจว่าหลังจากนี้จะศึกษาตำราเวทมนต์ของชายชราอีธานได้อย่างลับ ๆ โดยไม่มีล่วงรู้ความลับนี้
“คุณคาริซ คุณไม่เป็นอะไรนะครับ”
เมอร์ลินถามด้วยความสุภาพเมื่อเขาเห็นคาริซที่อยู่ข้างหลังเขา
"ไม่เป็นไร ฉันสบายดี…"
คาริซฝืนยิ้ม เขาเห็นว่าเธอยังอ่อนเพลีย แน่นอนว่าเรื่องที่เกิดขึ้นกับชายชราอีธานสร้างความกลัวให้เธอ
“คุณคาริสคุณควรกลับไปบ้านไปพักผ่อนเพื่ออะไร ๆ จะดีขึ้น”เมอร์ลินปลอบใจคาริซ เธอได้พยักหน้า จากนั้นเธอก็กล่าวอำลาเมอร์ลินและเดินเข้ามาในรถม้าและรีบออกไป
หลังจากแน่ใจว่าคาริสได้กลับไปแล้ว เมอร์ลินได้หันไปมองไปข้างหน้าโบสถ์เพื่อหารถม้าของเขา เขารู้พ่อบ้านจะต้องมารับเขาแน่นอน
ตามที่เขาคาดไว้เมอร์ลินเห็นร่างที่คุ้นเคยของพ่อบ้านและมอสส์ อย่างไรก็ตามข้างด้านข้างของมอสส์ยังมีร่างของอีกคน ๆ หนึ่งที่เขาคุ้นเคยซึ่งเขาไม่คาดคิดว่าคนๆนั้นจะมาด้วย