ตอนที่ 20 พ่อและลูกชาย
ตอนที่ 20 พ่อและลูกชาย
มียามทั้งหมดสามคนที่ทำหน้าที่ผลัดเปลี่ยนหมุนเวียนยิงเกาทัณฑ์
ในเวลาเดียวกันยามห้าคนมีหน้าที่รับผิดชอบในการบรรจุลูกศรลงในหน้าไม้ที่ว่างเปล่า หน้าไม้เหล่านี้ค่อนข้างซับซ้อน โหลดลูกศรได้ครั้งละสิบลูก
โชคดีที่ลูกศรทำได้ง่าย ลูกศรทุกลูกมีความยาวเท่ากับหนึ่งฝ่ามือและก้านไม้เมาพร้อมกันกับหัวลูกศร ทุกๆวันเมิ่งชวนต้องฟันลูกศรแปดพันลูก ดังนั้นช่างฝีมือจึงจำเป็นต้องสร้างก้านไม้ให้เพียงพอและติดตั้งหัวลูกศรไว้ที่พวกมันอย่างรวดเร็ว
“เร็วเข้า”
ทุกวันคนรับใช้จะส่งหัวลูกศรจำนวนหนึ่งไปที่โรงงาน
โรงงานจัดเด็กฝึกงานสิบคนรับผิดชอบในการทำก้านไม้และติดตั้งหัวลูกศร ตามคำสั่งของเมิ่งชวน ก้านไม้เหล่านี้ต้องการให้มีจุดสีแดงติดอยู่ เมื่อถึงเวลา เขาจะชักกระบี่และตัดฝานจุดสีแดงบนก้านไม้ การทำก้านไม้ไม่ใช่เรื่องยากนอกจากต้องใช้เวลานาน เมื่อเวลาผ่านไป หน้าไม้เหล่านั้นจะต้องได้รับการบำรุงรักษาและแม้กระทั่งเปลี่ยน
วูบ
เมิ่งชวนยืนอยู่ที่นั่น จากนั้นก็ชักกระบี่ออกมาทันที เมื่อประกายกระบี่วาบผ่าน เขาก็ผ่าลูกศรที่รวดเร็วราวกับผีออกจากกันด้วยประกายกระบี่ มันโดนจุดสีแดงของก้านไม้ ประกายที่หลงเหลือของกระบี่ก็จะตกลงบนลำต้นของต้นไม้ที่ห่อหุ้มด้วยโลหะ ทิ้งร่องรอยเอาไว้
“ข้าต้องเร็วกว่านี้” เขาแสวงหาความเร็วทุกครั้งที่ตวัดกระบี่
ร่างกายของเขา พลังปราณ และเพลงกระบี่หลอมรวมเข้าด้วยกัน ภายใต้ความปรารถนาอันแรงกล้า เขาได้ค้นพบศักยภาพของเขาอยู่ตลอดเวลาในขณะที่เขาไล่ตามความเร็วที่สูงกว่าเดิม
ร่างกายของคนเรามีศักยภาพมหาศาล ยิ่งค้นพบศักยภาพมากเท่าไหร่ก็จะสามารถปลดปล่อยพลังออกมาได้มากเท่านั้น การฝึกฝนด้วยการฝึกซ้ำแล้วซ้ำเล่านั้นมีประสิทธิภาพมากกว่าการสร้างมโนภาพ ในระหว่างขั้นตอนการตวัดกระบี่ซ้ำๆ ร่างกายของเขา พลังปราณ และเพลงกระบี่ของเขาก็เริ่มหลอมรวมเป็นหนึ่งเดียวกันและผูกพันกันแน่นมากขึ้น
แม้ว่าการพัฒนานี้จะละเอียดอ่อนมาก แต่เมิ่งชวนสามารถบอกได้ว่าเขามีพัฒนาการขึ้นจากรอยที่ทิ้งไว้บนผิวโลหะบนต้นไม้
ร่องรอยที่หลงเหลือจากแสงกระบี่จะค่อยๆเปลี่ยนตำแหน่งขึ้นทุกวัน แม้จะมีพัฒนาการเพียงเล็กน้อยก็ทำให้เขาพอใจ เขารู้ว่าเขามีพัฒนาการ วิชากระบี่ของเขาเริ่มเร็วขึ้นเรื่อยๆ
“ข้าต้องแม่นยำและเร็วขึ้น” รูปแบบการฝึกวิชาของเมิ่งชวนนั้นใช้จ่ายเงินอย่างฟุ่มเฟือย แต่ผู้ฝึกฝนระดับไร้ตำหนิเพียงไม่กี่คนที่ควรจะเป็นคู่ซ้อมของเขาก็ไม่จำเป็นอีกต่อไปอีก จำนวนเงินที่ใช้ทุกเดือนจึงกลับเปลี่ยนเป็นลดเล็กน้อย เพราะค่าใช้จ่ายในการจ้างผู้ฝึกฝนระดับไร้ตำหนิเพียงไม่กี่คนนั้นสูงเหลือเกิน
เมิ่งชวนปัจจุบันนี้ได้ค้นพบวิชาลับแล้ว จอมยุทธระดับไร้ตำหนิเพียงไม่กี่คนที่ได้ค้นพบวิชาลับมาก่อนนั้นช่วยเขาได้เพียงเล็กน้อย
…
สิ่งที่เขาเน้นเป็นเรื่องที่สองของการฝึกฝนประจำวัน ก็คือวิชาการเคลื่อนไหว และเพลงกระบี่สำหรับป้องกันตัว
"ยิง" คนรับใช้สั่ง
ฟับ ฟับ ฟับ ฟับ ฟับ ฟับ ฟับ
ยามระดับชำระแก่นแท้สิบคนและยามระดับก่อกำเนิดสองคนยิงศรออกมาพร้อมกัน ก้านลูกศรทำจากเหล็กดำเลือดม่วงแต่ไม่มีหัวลูกศร หัวลูกศรถูกคลุมด้วยผ้า
เมื่อลูกศรทั้งสิบสองลูกถูกยิงมาจากระยะหนึ่งร้อยก้าวที่อยู่ห่างออกไป แรงที่ส่งออกมาโดยยามระดับชำระแก่นแท้นั้นมีพลังมากถึง 500 กิโลกรัม ไม่จำเป็นต้องพูดว่ายามระดับก่อกำเนิดต้องให้ความรุนแรงที่มากกว่า เห็นได้ชัดว่าลูกศรนั้นเร็วแค่ไหน ในขณะที่กลุ่มลูกศรที่หนาแน่นถูกยิงเข้ามา เมิ่งชวนก็ต้องใช้วิชาการเคลื่อนที่เพื่อหลบหลีกให้ดีที่สุดเท่าที่จะทำได้ พร้อมกับใช้วิชากระบี่ของเขาเพื่อสกัดกั้นพวกมัน
"ยิง" ยามหน่วยแรกทั้งหมดถอยกลับ ยามหน่วยที่สองซึ่งมีระดับชำระแก่นแท้สิบคนและอีกสองคนในระดับก่อกำเนิดเช่นเดียวกันก็ได้ปล่อยลูกศรออกไป
"ยิง” ไม่นานนัก หน่วยที่สามซึ่งประกอบด้วยรูปแบบเดียวกับสองชุดแรก ก็ยิงออกไปอย่างพร้อมเพรียงกัน
ทั้งสามหน่วยผลัดกันยิง หลังจากหน่วยที่สามยิงเสร็จ หน่วยแรกก็พร้อมที่จะยิง
ทีละหน่วยยิงติดต่อกันไม่มีหยุด แต่ละชุดจะถูกปล่อยออกมาอย่างพร้อมเพรียงกัน และแต่ละครั้งลูกศรสองดอกจะมาจากยามในระดับก่อกำเนิด ลูกศรทั้งสองจะเร็วกว่าและทรงพลังมากกว่า พวกมันจะมีผลคุกคามอย่างมากเนื่องมาจากระยะทางที่สั้น ภายใต้ห่าลูกศร เมิ่งชวนจะโดนยิงเป็นบางครั้ง
เขาก็เช่นกัน ย่อมอ่อนเปลี้ยและเหนื่อยล้า
แต่เขาต้องอดทนต่อไป ยิ่งเหนื่อยมากเท่าไหร่เขาก็ยิ่งต้องการความมุ่งมั่นมากขึ้นเท่านั้น
ด้วยการใช้ภาวะแห่งจิตกดดันร่างกายและจิตใจให้เป็นหนึ่งเดียวกัน การหลอมรวมของร่างกายและจิตใจก็จะยิ่งลึกซึ้งขึ้น ซึ่งทำให้วิชาการเคลื่อนไหวของเขาเร็วยิ่งขึ้น คล่องตัวมากยิ่งขึ้น ทั้งยังเพิ่มความเร็วในการป้องกันด้วยกระบี่ของเขา
รูปแบบการฝึกนี้ต้องใช้ยามระดับชำระแก่นแท้ทั้งหมดสามสิบคนและยามระดับก่อกำเนิดหกคนเพื่อช่วยเหลือเขา และนี่ต้องใช้เวลาหนึ่งชั่วโมงในแต่ละวัน
การยิงธนูอย่างต่อเนื่องเป็นเวลาหนึ่งชั่วโมงทำให้ยามหมดแรงแม้จะมีการผลัดเปลี่ยนหมุนเวียน เมิ่งชวนเองก็มาถึงขีดจำกัดของตัวเองเช่นเดียวกัน
…
เมื่อถึงยามดึก เมิ่งชวนซึ่งสามารถฟื้นฟูพลังปราณของเขาได้เต็มที่แล้ว ก็จะฝึกฝนขั้นสุดท้ายของวัน ท่าชักกระบี่ขั้นสูงสุด
เมิ่งชวนยืนอยู่คนเดียวโดยไม่ขยับ
ทันใดนั้น
ร่างกายของเขาเปลี่ยนเป็นเงามายา เคลื่อนตัวไปนัยร้อยก้าวในทันที และส่งลำแสงกระบี่ออกไป คราครั้งนี้วิชาการเคลื่อนไหวของเขาก็จะยิ่งรวดเร็ว และการฟาดฟันของเขาก็จะเร็วยิ่งกว่า เขานั้นเร็วยิ่งกว่าตอนกลางวันมาก
ทำไมวิชาการเคลื่อนไหวและเพลงกระบี่ของเขาถึงเร็วกว่าเดิม
นี่เป็นเพราะท่าชักกระบี่ขั้นสูงสุดจะถูกปลดปล่อยออกมาด้วยการใช้ปริมาณพลังปราณสูงสุด เขาจะรู้สึกเจ็บปวดบอบช้ำ จากการที่เข้าถึงขีดจำกัดของเส้นชีพจร หากเขาโคจรพลังปราณเพิ่มมากกว่านี้ไปยังเส้นชีพจร เขามั่นใจว่าพวกมันจะต้องได้รับความเสียหาย ด้วยการผลักดันตัวเองไปถึงขีดจำกัด การเคลื่อนไหวและเพลงกระบี่ของเขาก็ย่อมเร็วขึ้นตามธรรมชาติอย่างแน่นอน
อย่างไรก็ตามพลังปราณของเขาจะถูกใช้ไปในอัตราที่น่าตกใจ เมื่อใดก็ตามที่เขาใช้ท่าชักกระบี่ขั้นสูงสุด แม้จะมีข้อบกพร่อง แต่มันก็ทรงพลังเป็นอย่างมาก
หนึ่งครั้ง สองครั้ง… เมิ่งชวนผลักดันตัวเองให้ถึงขีดสุดซ้ำแล้วซ้ำเล่า
ร่างของเขากลายเป็นภาพหลอนขณะที่เขาทิ้งประกายกระบี่ไร้ตัวตนไว้เบื้องหลัง
สามสิบเอ็ดครั้ง เมิ่งชวนก็หยุด เส้นชีพจรที่พลังปราณของเขาส่งผ่านนั้นเมื่อยขบ แต่ก็ยังไม่มีความเจ็บปวดใดๆ
“ข้าสามารถใช้ท่าชักกระบี่ขั้นสูงสุดได้ 31 ครั้งเท่านั้นหลังจากที่ผลักดันพลังปราณของข้าจนถึงขีด จำกัด ตามคำสอนของสำนักเต๋าร่างกายมีความมหัศจรรย์มาก กล้ามเนื้อและกระดูกจะแข็งแรงขึ้นภายใต้การฝึก หากเส้นชีพจรของข้าได้รับการฝึกฝนจนถึงขีดจำกัด พวกมันจะค่อยๆขยายกว้างขึ้นและทนทานขึ้น การหมุนเวียนของพลังปราณก็จะช่วยกระตุ้นเส้นชีพจรของข้าให้ปรับตัวเช่นเดียวกัน”
“ข้าต้องการให้เส้นชีพจรของข้าทนทานต่อการระเบิดพลังที่รุนแรงกว่านี้ ในกรณีที่เมื่อมีการต่อสู้แบบเอาชีวิตเป็นเดิมพันนั้นเกิดขึ้น วิชาการเคลื่อนไหวและเพลงกระบี่ของข้าจะต้องเร็วขึ้นจนถึงที่สุด”
การบังคับให้ร่างกายปรับตัวเข้ากับพลังปราณปริมาณมาก ก็เป็นอีกวิธีหนึ่งในการหลอมรวมร่างกาย จิตใจ และวิชาของตนเอง เขาสามารถแข็งแกร่งยิ่งกว่าเดิมจากการการผสมผสานทั้งสองวิธีนั้นเข้าด้วยกัน
…
การฝึกฝนวิชาทั้งสามแบบนี้ร่วมกับการอาบยากินยาตามมาตรฐานเพื่อเร่งระดับชำระแก่นแท้ของเขาเป็นกิจวัตรประจำวันของเมิ่งชวน
เขาพากเพียรไม่หยุดหย่อน
วันเวลาผ่านไป
พ่อของเขาออกจากเมืองตงหนิง ร้านอาหารของพ่อของเขาอาจกล่าวได้ว่าเป็นอันดับหนึ่งในเมืองตงหนิงเพราะมีเครื่องปรุงรสอย่างหนึ่งนั่นคือผงปลาบัว มันเป็นผงแป้งที่พิเศษมากที่บดจากปลาแห้ง ใช้เป็นเครื่องปรุงรสทำให้อาหารธรรมดานั้นอร่อยมาก ร้านอาหารกลายเป็นร้านที่ดีที่สุดในเมืองตงหนิงโดยอาศัยพลังของผงปลาบัว
ทว่า ต้นกำเนิดของปลาชนิดนี้คือ “ปลาบัว”อย่างงั้นรึ ตะกูลเทพอสูรอื่นๆในเมืองตงหนิงก็ต้องการที่จะรู้เช่นกัน
อย่างไรก็ตามเห็นได้ชัดว่าตระกูลเมิ่งนั้นได้เก็บเรื่องนี้ไว้เป็นความลับ นี่คือปลาลึกลับตัวเล็กๆที่เมิ่งต้าเจียงได้ค้นพบ เขาออกไปนอกเมืองปีละสองครั้ง โดยการเดินทางแต่ละครั้งใช้เวลาหนึ่งถึงสองเดือนจึงจะสามารถนำผงปลาบัวลึกลับกลับมาได้
มันก็ไม่ได้แย่มากนัก ถึงแม้เมิ่งต้าเจียงใช้เวลาสามถึงสี่เดือนนอกบ้าน แต่หลิวเย่ป๋ายพ่อของชีเยว่จะใช้เวลาส่วนใหญ่อยู่ข้างนอก
…
ยามค่ำคืน
สองร่างเดินผ่านไปในป่ารกชัฏเหมือนกับภูตผี
“เรามาถึงเมืองอี๋ฟ่างที่อยู่ในรัฐหวูแล้ว ไปพักผ่อนที่เมืองอี๋ฟ่างกันเถอะ เจ้าต้องให้การบาดเจ็บของเจ้านั้นได้มีเวลาพักผ่อนอย่างเพียงพอ เจ้าไม่สามารถเดินทางต่อไปอีกได้” สองร่างนั้นก็ได้หยุดยั้งลง หนึ่งในนั้นคือหลิวเย่ป๋ายที่ค่อนข้างเสเพลและสง่างาม ส่วนอีกคนคือเมิ่งต้าเจียงซึ่งน้ำหนักได้ลดลงไป
เมิ่งต้าเจียงสวมชุดสีดำ หลังจากที่เขาน้ำหนักลด รูปร่างของเขาก็คล้ายกับตอนที่เขายังเด็ก เขาหล่อขึ้นมากกว่าเดิมเช่นเดียวกัน
ใบหน้าของเขาซีดและอดไม่ได้ที่จะไอออกมาเบาๆได้ “แค่กแค่ก” เมิ่งต้าเจียงปิดปากของเขาขณะที่ไอ อย่างไรก็ตามก็มีเลือดติดอยู่ในมือ
หลิวเย่ป๋ายอดไม่ได้ที่จะพูดว่า “เจ้าทำเกินไปจริงๆ”
“ชวนเอ๋อร์กำลังจะเข้าสู่ระดับก่อกำเนิด ข้าต้องสะสมแต้มให้เพียงพอ” เมิ่งต้าเจียงกล่าว
หลิวเย่ป๋ายส่ายหน้าและพูดว่า “เจ้าเสี่ยงชีวิตมาหลายปีแล้ว ความพยายามทั้งหมดของเจ้าแลกเป็นผลใจน้ำแข็งหนึ่งผล คุ้มไหมกับการวางรากฐานเทพอสูรของลูกชายเจ้า”
เมิ่งต้าเจียงยิ้มอย่างเหนื่อยล้าและกล่าวว่า "ความภาคภูมิใจที่สุดในชีวิตของข้านี้ก็คือลูกชายของข้า ตราบใดที่มันเป็นการทำเพื่อชวนเอ๋อร์แล้ว มันก็คุ้มค่าไม่ว่าข้าจะจ่ายเท่าไหร่ก็ตาม”