WS บทที่ 17 แหวน
เมอร์ลินตรงไปที่โต๊ะเขียนหนังสือที่นั่นมีแหวนวางอยู่ตรงมุมโต๊ะ ก่อนหน้านี้เขาได้วางทิ้งไว้อย่างไม่สนใจเพราะคิดว่ามันเป็นแหวนธรรมดา ๆ
เมอร์ลินได้หยิบขึ้นมาและปัดฝุ่นออกเบาๆ
ตัวแหวนยังคงเป็นสีดำเหมือนหมึก เขารู้สึกได้ถึงออร่าเย็นและมืดมนออกมาจากมัน แม้ว่าเมอร์ลินจะไม่รู้อะไรแต่คิดว่าแหวนวงนี้ต้องไม่ธรรมดาแน่นอน
เมอร์ลินจำได้ว่าสภาพของชายชราอีธานตอนที่มอบแหวนให้เขานั้น ใบหน้าเขาค่อนข้างซีดและดูเหนื่อยล้า เมอร์ลินเองก็ไม่รู้เหมือนกันว่าเขาไปทำอะไรมา
“หรืออาจารย์อีธานจะรู้ล่วงหน้าว่า เขาจะตกอยู่ในอันตรายงั้นหรือ?”
ยิ่งคิดเมอร์ลินก็ยิ่งสงสัย มันคงไม่มีทางที่ชายชราอีธานจะไม่มอบแหวนวงนี้ให้เขาโดยไม่มีเหตุผลแน่นอน
เมอร์ลินมองไปที่รูปแกะสลักสัตว์ประหลาดดุร้ายและน่าสะพรึงกลัวที่อยู่บนแหวน เขาใช้นิ้วลูบทุกส่วนของแหวนเบา ๆ แต่เขาไม่เจออะไรเลย
เขาเลยเพ่งมองตัวแหวนอย่างละเอียด เขาตรวจสอบแหวนทุก ๆ นิ้วอย่างระมัดระวัง เขาต้องการดูว่ามีข้อความที่ถูกเขียนอยู่บนแหวนหรือไม่
หลังจากที่เขาเพ่งสายตาไปที่แหวน จู่ ๆ เขาก็รู้สึกมึนงงและรอบตัวได้มืดลงในพริบตา
เขามองไปรอบ ๆ อย่างตื่นตระหนก แม้ตอนนี้เขาจะอยู่ในความมืดแต่เขาก็ยัง ‘มองเห็น’ ทุกสิ่งรอบตัวได้อย่างชัดเจน
นี่เป็นพื้นที่กว้างประมาณสิบตารางเมตร รอบ ๆ นั้นว่างเปล่า มีเพียงหนังสือปกสีดำลอยอยู่ใจกลางของพื้นที่นี้
“พื้นที่มิติงั้นเหรอ?”
ความสงสัยส่องประกายในแววตาของเมอร์ลิน จากนั้นเขาก็ตั้งสติได้ ทุกอย่างก็กลับเหมือนเดิม เขาหันไปมองรอบ ๆ และพบว่าเขายังคงนั่งอยู่บนเก้าอี้ไม้ถือแหวนในมือของเขา ราวกับว่าทุกสิ่งที่เกิดขึ้นก่อนหน้านี้เป็นเพียงภาพลวงตาของเขา
“ไม่ เมื่อกี้มันไม่ใช่ภาพลวงตา”
จากนั้นเมอร์ลินได้เพ่งมองแหวนอีกครั้ง หลังจากนั้นไม่นานเขาก็กลับมาอยู่ในห้วงมิติมืดๆ เหมือนก่อนหน้านี้
“ดูเหมือนว่าแหวนวงนี้จะมีมิติเก็บของด้วย”
เมอร์ลินคาดเดาว่าที่ชายชราอีธานได้มอบแหวนให้กับเขา เพื่อจะทิ้งของบางอย่างไว้ให้เขา เขาอยากจะรู้ของที่ว่านั้นมันคืออะไร
เขามองตรงไปที่หนังสือปกดำ นี่คงเป็นของที่ชายชราอีธานมอบไว้ให้เขา
เมอร์ลินลองพยายามเพ่งจิตเพื่อเอาหนังสือออกมา จู่ ๆ หนังสือได้หายไปและปรากฏออกมาด้านนอก เขาไม่คิดว่าวิธีนี้จะสามารถนำของอออกมาได้
จากนั้นเขาได้ออกจากช่องว่างมิติและพบว่าหนังสือปกสีดำได้อยู้บนโต๊ะเขียนหนังสือแล้ว
หนังสือปกสีดำนี้หนามาก มีหลายส่วนแบ่งอยู่ข้างในและถูกมัดด้วยด้ายสีดำ
เมอร์ลินเปิดไปดูเนื้อหาข้างใน เขาเห็นภาพแปลกๆ ที่วาดขึ้นมา พวกมัน ดูเหมือนมันจะเป็นรูปแบบจำลองทางคณิตศาสตร์บางอย่าง มันดูคล้ายกับของในโลกในชีวิตก่อนของเขา
มีคำอธิบายอยู่ใต้ภาพ พวกมันเขียนด้วยภาษามอลต้าและลายมือนั้นคุ้นเคยมาก มันเป็นลายมือของชายชราอีธาน
“ภาษามอลต้า?”
เมอร์ลินขมวดคิ้ว แม้เขาจะศึกษาภาษามอลต้ามาอย่างพอสมควรแต่เขารู้สึกว่าแต่คำในหนังสือนี้มันอ่านยากเกินไป
เขาอ่านออกเพียงไม่กี่ตัวเท่านั้นอย่างเช่น "ลูกไฟ" "รูปแบบ" และ "เวทย์มนต์" อย่างไรก็ตามเขาก็ยังไม่เข้าใจเนื้อหาส่วนใหญ่ในหนังสือยู่ดี
แม้เขาจะไม่สามารถอ่านได้ทั้งหมดแต่เขาก็พอจะปะติดปะต่อได้ เขาเดาว่ามันน่าจะเป็นคู่มือของอีธานหรือไม่ก็เป็นบันทึกประจำวันของเขา บางทีนี่อาจจะบันทึกการฝึกเวทมนต์ของเขา
‘เดี๋ยวนะ หรือว่านี่จะเป็นตำราเวทมนต์!!!’
เมื่อคิดถึงเรื่องนี้ หัวใจของเมอร์ลินก็เต้นรัว นับตั้งแต่เขาได้เห็นพลังอันยิ่งใหญ่ของชายชราอีธานและชายผิวขาวเขาก็ไม่สามารถลืมพลังอันยิ่งใหญ่พวกนั้นได้
ยิ่งไปกว่านั้น มันได้เปิดประตูบานใหม่ให้กับเมอร์ลิน เขาจะได้กลายเป็นผู้ใช้เวทมนต์
หลังจากนั้นเขาก็ได้เปิดอ่านมันอย่างตื่นเต้นแต่พอเขาอ่านไปเรื่อย ๆ ความพลุ่นพล่านของเขาก็ค่อย ๆ ลดลงและในที่สุดเขาก็ปิดหนังสือ มีหลายคำในภาษามอลต้าที่เขายังอ่านไม่ออก แม้เขาจะจำคำได้สองร้อยกว่าคำแต่ก็ไม่สามารถทำให้เขาเข้าใจได้แม้แต่ประโยคเดียว
ดังนั้นเขาจำเป็นต้องเรียนรู้ภาษมอลต้าให้เชี่ยวชาญซะก่อน อย่างน้อย ๆ ต้องเรียนมากกว่าพันคำ ถึงเขาจะสามารถเรียนการใช้เวทมนต์ในระดับต่ำได้
“ก๊อก! ก๊อก! ก๊อก!”
มีเสียงเคาะประตูที่จู่ดังขึ้นมาทำให้เมอร์ลินตกใจ เขารีบซ่อนตำราเวทย์อย่างรวดเร็ว ก่อนที่จะเปิดประตูออกมา
“คุณชายเมอร์ลินครับ ตอนนี้มีอัศวินสองสามคนจากกองกำลังป้องกันเมืองมาที่ปราสาทของเราพวกเขาแจ้งว่ามีบางอย่างที่จะสอบถามคุณชายนะครับ”
พ่อบ้านยืนอยู่ข้างนอกประตู ใบหน้าของเขามีความกังวลอย่างมาก
“อัศวินจากกองกำลังป้องกันเมืองมาที่นี่งั้นหรือ?”
หัวใจของเมอร์ลินตกตะลึง หลังจากที่เขากลับมาที่ปราสาทเขารู้สึกกังวลเรื่องที่เกี่ยวกับชายชราอีธานอาจจะกลายเป็นประเด็นใหญ่และทุกคนที่เกี่ยวข้องกับชายชราอีธานอาจจะต้องเดือดร้อน
แต่เขาไม่ได้คาดคิดว่าปัญหาจะมาถึงเร็วขนาดนี้
“เข้าใจแล้ว งั้นช่วยพาฉันไปพบพวกเขาที”
เมอร์ลินลงไปชั้นล่างและมาถึงห้องโถง
ในห้องโถงมีชายคนหนึ่งสวมชุดเกราะสีเงินนั่งอยู่บนเก้าอี้ ข้าง ๆ เขามีอัศวินสามคนสวมเครื่องแบบทหารป้องกันเมือง
เมอร์ลินมองผ่านอัศวินทั้งสามจากกองกำลังป้องกันเมืองและเหลือบไปมองชายในชุดเกราะสีเงิน นั่นทำให้เมอร์ลินมั่นใจว่าที่พวกเขามาที่นี่ก็เพราะเรื่องเกี่ยวกับชายชราอีธาน
“คุณคือเมอร์ลิน วิลสันรึเปล่า?”
ชายในชุดเกราะสีเงินถามอย่างเย็นชา
“ใช้แล้ว ฉันชื่อเมอร์ลิน วิลสัน พวกคุณที่นี่มีธุระอะไร”
เมอร์ลินยังคงใบหน้านิ่ง ๆ และตอบคำถามอย่างใจเย็น
“พวกเราคือนักรบศักดิ์สิทธิ์จากโบสถ์ในเมืองหลวง ทางเรามีเรื่องบางอย่างที่จะซักถามคุณ โปรดมากับเราด้วย”
อัศวินทั้งสามจากกองกำลังป้องกันเมืองได้เร่งฝีเท้าและเดินมาที่ด้านหลังของเมอร์ลินพร้อมกับจ้องมองเขาอย่างดุเดือด
เมอร์ลินขมวดคิ้วเล็กน้อย เขารู้ว่าพลังของโบสถ์เทพแห่งแสงนั้นยิ่งใหญ่ จนสามารถควบคุมทหารของเมืองได้ จึงทำให้เขาไม่ทางเลือกและยอมตามพวกเขาไป
“ก็ได้ ฉันจะไปกับพวกคุณ”
เมอร์ลินจัดเสื้อผ้าของเขาสักครู่ ก่อนที่จะติดตามชายเกราะสีเงินออกจากปราสาท
พ่อบ้านรีบวิ่งไปใกล้เมอร์ลินถัดและพูดกับเขาว่า “คุณชายเมอร์ลินเกิดอะไรขึ้นเหรอครับ มีเรื่องไม่ดีเกิดขึ้นรึเปล่าครับ? ให้ผมนำเรื่องไปเรียนท่านบารอนให้รีบกลับมาไหมครับ”
เมอร์ลินเป็นลูกชายคนเดียวของตระกูลวิลสันและเป็นผู้สึบทอดตำแหน่งบารอนด้วย ดังนั้นจึงเป็นเรื่องธรรมดาที่พ่อบ้านจะกังวลมากเกี่ยวกับสถานการณ์เช่นนี้
เมอร์ลินส่ายหัว “ไม่จำเป็นต้องเดือดร้อนท่านพ่อเลย ทุกอย่างจะโอเค ฉันสามารถจัดการเรื่องนี้ได้ด้วยตัวเอง จริงสิ อย่าบอกเรื่องนี้ให้เมซี่ส์รู้นะ ฉันกลัวว่าเธอจะหุนหันพลันแล่นและทำอะไรที่ไม่คิดหน้าคิดหลัง”
หลังจากเมอร์ลินขึ้นไปนั่งในรถม้าที่เป็นของกองกำลังป้องกันเมืองและออกจากปราสาทอย่างช้าๆ
ในรถม้ามีเพียงอัศวินจากกองกำลังป้องกันเมืองและนักรบศักดิ์สิทธิ์กำลังเฝ้าดูเมอร์ลิน ส่วนอัศวินอีกสองคนทำหน้าขี่ม้าและดูแลรถม้า
เนื่องจากเมอร์ลินเป็นทายาทเพียงคนเดียวของตระกูลวิลสัน เขามีตำแหน่งที่สูงมาก ดังนั้นนักรบศักดิ์สิทธิ์จึงนำตัวเขามาแบบพิเศษ มิเช่นนั้นคงไม่มีทางที่จะเอาเมอร์ลินออกจากปราสาทวิลสันได้โดยอาศัยอัศวินกองกำลังป้องกันเมืองเหล่านี้
“คุณชายเมอร์ลิน คุณไม่ต้องประหม่าไป เราจะพาคุณไปเพื่อการซักถามบางอย่างเท่านั้น หลังจากที่เรายืนยันว่าท่านไม่มีความสัมพันธ์ใด ๆ ที่เกี่ยวข้องกับคนนอกรีตที่ชั่วร้าย เราจะส่งคุณกลับปราสาท”
อัศวินแห่งกองกำลังป้องกันเมืองได้กล่าวขึ้นมา เขากลัวครอบครัววิลสันมากเนื่องจากเลห์แมน วิลสันได้ดำรงตำแหน่งผู้บัญชาการกองกำลังป้องกันเมือง การมาคุมตัวลูกชายของเขาแบบนี้เป็นเรื่องที่พวกเขาไม่คิดจะทำเลยสักนิด เขาไม่กล้าจิตนาการเลยว่า หากบารอนวิลสันรู้เรื่องนี้ พวกเขาจะเป็นยังไง
แม้ว่าอัศวินแห่งกองกำลังป้องกันเมืองและต้องเชื่อฟังคำสั่งจากทางโบสถ์ จึงต้องพาเมอร์ลินไปสอบสวนแต่พวกเขาก็ไม่กล้าที่จะปฏิบัติต่อเขาอย่างรุนแรง
เมอร์ลินพยักหน้าเล็กน้อยและไม่สนใจอัศวินแห่งกองกำลังป้องกันเมืองอีกต่อไป เขาจับตาดูนักรบศักดิ์สิทธิ์อยู่ในรถม้าแทน
นักรบศักดิ์สิทธิ์คนนี้ดูอายุไม่มากนัก เขาน่าจะมีอายุไม่เกินสามสิบปี แต่การแสดงออกของเขานั้นช่างเย็นชามาก หลังจากที่เขาเข้ามาให้รถม้า เขาก็ไม่ได้ให้ความสนใจในตัวเมอร์ลินเลย
เมอร์ลินอยากรู้ข่าวคราวจากปากของผู้พิทักษ์ดาบดังนั้นเขาเริ่มพูดออกมา “พอดีฉันมีเพื่อนคนหนึ่งที่เป็นนักดาบธาตุเดินทางไปหาประสบการณ์ในเมืองหลวง เมื่อหลายวันก่อนและเขาได้กลายเป็นนักรบศักดิ์สิทธิ์ ฉันได้ยินมาว่าเขาได้รับพรจากบิชอปของเมืองหลวง ไม่ทราบว่าคุณรู้จักเขาหรือไม่?”
“คุณกำลังพูดถึงคอว์ธันใช่มั้ย”
นักรบศักดิ์สิทธิ์ก็เบิกตากว้างและพูดด้วยความประหลาดใจ
เมอร์ลินพยักหน้าอย่างเร่งรีบและพูดว่า “ถูกต้อง”
หลังจากที่นักรบศักดิ์สิทธิ์ ได้ยินคำตอบ ท่าทีของเขาก็ดูอบอุ่นขึ้น เขาพูดว่า “มันเป็นเรื่องบังเอิญจริง ๆ หลังจากที่คอว์ธันได้รับพรจากท่านบิชอป พวกเราก็ถูกส่งมาที่เมืองนี้ ที่คอว์ธันไม่ได้มาด้วยเนื่องจากเขาเพิ่งจะรับการแต่งเป็นนักรบศักดิ์สิทธิ์ เขาจึงไม่ได้รับอนุญาตให้มาด้วย”
ดูเหมือนการเอ่ยชื่อคอว์ธันมันจะทำให้บรรยากาศในรถม้าค่อย ๆ ดีขึ้น เมื่อเมอร์ลินเห็นเช่นนั้น เขาจึงยิงคำถามที่เขาสงสัยมานาน “คนนอกรีตนั้นชั่วร้ายและทรงพลังมาก คนทั่วไปไม่มีทางต่อสู้กับพวกนอกรีตได้เลย อย่างไรก็พวกคุณกลับสามารถสังหารเขาได้ ทำให้ฉันอยากรู้ว่าท่านเจสันเป็นใครเหรอ”
หลังจากเมอร์ลินถามคำถามไป ทำให้บรรยากาศในรถม้าได้เงียบชั่วขณะ ทางด้านอัศวินจากกองกำลังป้องกันเมืองก็หันไปมองนักรบศักดิ์สิทธิ์ด้วยความอยากรู้อยากเห็นในเรื่องนี้เช่นกัน
นักรบศักดิ์สิทธิ์มองเห็นความคาดหวังของเมอร์ลินและอัศวินของกองกำลังป้องกันเมือง นั่นทำให้เขารู้สึกพอใจขึ้นมา เขาเผยรอยยิ้มที่มุมปากของเขาก่อนที่เขาจะพูดด้วยน้ำเสียงต่ำ “พวกคุณถามได้ถูกคนแล้ว คนอื่นอาจไม่รู้จักตัวตนของท่านเจสันแต่ฉันรู้ ท่านเจสันเป็นเจ้าหน้าที่สืบสวนระดับสูง ตำแหน่งของเขาสูงกว่าพวกเราซะอีก เขาเป็นเจ้าหน้าที่ที่ขึ้นตรงต่อสำนักงานใหญ่ แม้แต่บาทหลวงก็ไม่มีอำนาจในการควบคุมสมาชิกของทีมสอบสวน หน้าที่ของทีมนี้มีไว้เพื่อจัดการกับคนนอกรีตที่ชั่วร้าย พวกเขาเป็นคนลึกลับมากจึงไม่มีใครรู้ว่าพวกเขาเป็นใคร แต่อย่างไรก็ตามก็มีข่าวลือว่าสมาชิกของทีมสืบสวนคือคนที่ใกล้ชิดกับพระเจ้ามากที่สุดซึ่งพวกเขาได้รับพลังอันยิ่งใหญ่จากพระเจ้า!”
หลังจากที่เขาพูดจบความอิจฉาแสดงให้เห็นชัดบนใบหน้าของนักรบศักดิ์สิทธิ์