WS บทที่ 16 เวทย์มนต์คาถา 2
“นั่นมันคือคุณอีธานนี่!! เป็นไปได้ยังไงกัน”
คาริซไม่อยากจะเชื่อสายตาตัวเองว่าร่างที่ปรากฏตัวออกจากบ้านคือชายชราอีธานที่หายตัวไปนานกว่าสิบวันซึ่งตอนนี้ถูกทางคนจากโบสถ์เทพแห่งแสงกล่าวหาว่าเป็นคนนอกรีตผู้ชั่วร้าย
เมอร์ลินจ้องไปที่ชายชราอีธาน แม้ว่าเขาจะรู้ว่าชายชราอีธานนั้นลึกลับมากและดูเหมือนจะเก็บความลับบางอย่างเอาไว้แต่เขาก็ไม่ได้คาดคิดว่าชายชราอีธานจะเป็นคนที่พลังแข็งแกร่งขนาดนี้ ถึงขนาดสังหารนักดาบธาตุสองสามคนได้ในพริบตา ยิ่งไปกว่านั้นนักดาบธาตุแสงระดับสองก็เกือบจะพ่ายแพ้ต่อฝีมือของชายชราอีธานด้วยเช่นกัน
อย่างไรก็ตามสิ่งที่เมอร์ลินสงสัยก็คือชายชราอีธานไปเอาพลังจากไหนเอาชนะพวกนักดาบธาตุพวกนั้นได้?
“หุบปากเจ้าคนนอกรีต! จิตวิญญาณของเจ้าได้ตกลงสู่ความมืดมิดอย่างสมบูรณ์แล้ว หากเจ้าไม่เชื่อในพระเจ้า เจ้าก็จะต้องได้รับการลงทัณฑ์จากพระเจ้า!”
เสียงของชายเสื้อคลุมสีขาวประกาศอย่างแข็งกร้าว เขาโบกมืออย่างรุนแรงส่งสัญญาณให้นักดาบบ็อคไปข้างหน้า
นักดาบบ็อคสูดหายใจลึกๆ เขายกดาบด้วยมือทั้งสองขึ้นเหนือหัว จากนั้นก็มีแสงสว่างเปล่งออกมาจากตัวดาบ
“ดาบแห่งแสง!”
นักดาบบ็อคฟันดาบลงมา แรงเหวี่ยงดาบได้ส่งคลื่นกระแทกไปรอบ ๆ แม้แต่เมอร์ลินที่อยู่ไกลก็สามารถรู้สึกถึงพลังอันยิ่งใหญ่ได้
“นั่นมันพลังของนักดาบเลเวลสอง!”
เมอร์ลินอดไม่ได้ที่จะสั่นกลัว แม้ว่าจะได้ความแข็งแกร่งขึ้นจากท่าออกกำลังของประติมากรรนูนที่ทำให้ความแข็งทางร่างกายของเขาแทบจะเทียบเท่านักดาบธาตุเลเวลหนึ่ง
อย่างไรก็ตามหากเขาต้องเผชิญหน้ากับนักดาบเลเวลสอง เมอร์ลินรู้ดีว่าเขาจะไม่มีโอกาสชนะอย่างแน่นอน
ตัดภาพมาที่ชายชราอีธาน แม้ว่ากำลังจะเผชิญกับพลังที่ดุร้ายของบ็อคแต่ชายชราอีธานก็ทำตัวเฉยเมยราวกับไม่มีอะไรเกิดขึ้น เขาส่ายหัวเบาๆ และพูดว่า "ยังคงส่งนักรบธรรมดามาตายก่อนสินะ โบสถ์เทพแสงของเจ้านั้น ช่างร้ายกาจและเลือดเย็นจริง ๆ”
จากนั้นชายชราอีธานโบกมือไปรอบๆ จู่ ๆ กลุ่มของลูกไฟที่มีขนาดเท่ากำปั้นปรากฏขึ้นมาและหันหน้าไปยังทิศทางที่นิ้วของเขาชี้ ลูกไฟลอยอยู่กลางอากาศและหมุนวนด้วยความบ้าคลั่ง
"ไป!"
เมื่อสิ้นเสียงของชายอีธานกลุ่มลูกไฟเหล่านั้นก็ได้พุ่งเข้าหานักดาบบ็อคและชนเข้าอย่างรุนแรง นักดาบได้พยายามใช้พลังธาตุแสงฟันลูกไฟที่ลุกโชนพวกนั้น แต่เขาดาบของเขาแทบจะหลอมละลายทันที จากนั้นเปลวไฟที่ลุกโชติช่วง มันเริ่มจะลุกลามมาเผาไหม้ร่างกายของนักดาบบ็อคโดยตรง เขาจึงตัดสินใจขว้างดาบในมือทิ้งไปและถอยไปด้านหลังอย่างรวดเร็ว
*ซ่า*
ดาบของนักดาบบ็อคที่ถูกขว้างลงไปบนพื้นนั้นได้กลายเป็นกลุ่มของเหลวในพริบตา นี่แสดงให้เห็นว่าอุณหภูมิของลูกไฟในนั้นมากมายมหาศาลแค่ไหน นักดาบทั้งสามคนที่เสียชีวิตไปก่อนหน้านี้อาจถูกไฟไหม้จนตายด้วยคาถานี้ก็ได้
สายตาของชายชราอีธานหรี่ลงเล็กน้อยและจากนั้นก็เบนสายตาของเขาไปยังชายเสื้อคลุมสีขาว เขาหัวเราะเยือกเย็นและพูดว่า "เฮ้แค่คาถาระดับแรกพวกเจ้ายังทนไม่ได้ เจ้าอยากให้พวกนักรบเหล่านี้ตายอย่างไร้ค่างั้นหรือ?"
ใบหน้าชายเสื้อคลุมสีขาวเปลี่ยนเป็นสีเทา เขาพูดว่า “เจ้าคนนอกรีตที่ชั่วร้ายเจ้าคงไม่รู้ตัวว่าความตายกำลังจะมาเหาจ้าในไม่ช้า!”
เสียงตะโกนของชายผ้าคลุมขาวนั้นดังราวฟ้าผ่าจนทำให้คนรอบข้างถึงกับยกมือมาปิดหู เห็นได้ชัดว่าเขากำลังโกรธ เขาที่นั่งอยู่บนหลังม้าอยู่นั้น จู่ ๆ เขาได้ยื่นมือขึ้นมาตรงหน้าอก จากนั้นเขาก็เริ่มสวดมนต์ด้วยเสียงเบา “ด้วยพระผู้เป็นเจ้า ผู้ทรงเปี่ยมด้วยความเมตตา ผู้มีอำนาจทุกหนทุกแห่ง ข้าผู้ศรัทธาของท่าน จำเป็นต้องยืมความแข็งแกร่งของท่านเพื่อลงทัณฑ์พิพากษา!”
*พรึ่บ!!*
“แสงแห่งการพิพากษา!”
หลังจากนั้น ท้องฟ้าได้มืดลงอย่างฉับพลัน จากนั้นได้มีลำแสงสีขาวขนาดมหึมาควบแน่นอยู่เหนือบ้านไม้และมันได้พุ่งมาใส่ชายชราโดยตรง
สายลมที่กรรโชกอย่างรุนแรงได้พัดหมวกสีดำของชายชราอีธานออกไป มันได้เผยสีหน้าที่ดุดันของเขา
เขาได้ยกมือผอม ๆ ขึ้นมาตรงหน้าของเขา เขาได้เสกลูกไฟจำนวนนับไม่ถ้วนปรากฏขึ้นหมุนวนรอบตัวเขา
พอเขาเสกได้จำนวนหนึ่ง ใบหน้าขออีธานได้ซีดเผือด ดูเหมือนว่ามันจะถึงขีดจำกัดของเขาแล้ว
“กะอีแค่คาถาระดับหนึ่ง ข้าไม่ยอมแพ้หรอกน่า”
จากนั้นอีธานได้โบกมือและส่งลูกไฟพุ่งเข้าหาแสงศักดิ์สิทธิ์ที่กำลังพุ่งลงมาด้วยความเร็วสูง
“ฟิ้ว!! ฟิ้ว!!”
ในระหว่างที่กลุ่มลูกไฟได้ปะทะแสงศักดิ์สิทธิ์อันกว้างใหญ่ จู่ ๆ ก็มีเสียงแปลกๆ ดังขึ้นมา ก่อนที่พวกลูกไฟจะสลายหายไปในแสงศักดิ์สิทธิ์อันกว้างใหญ่
เมื่ออีธานเห็นว่าลูกไฟจะไร้ประโยชน์ ชายชราได้ตัดสินใจรีบถอยออกมาแต่อย่างไรก็ตามเท้าของเขาได้เซเล็กน้อยจนทำให้เขาเกือบจะล้มลง เขาได้ถอยเข้ามาตรงหน้าบ้าน เขาพบว่าตัวเองไม่มีที่ ๆ จะหนีไปไหนได้อีกแล้ว
"ลมกรด!"
ชายชราอีธานกัดฟันแล้วโบกมือเสกลมหมุนขึ้นมาในสวนหน้าบ้านของเขา ทำให้ตันไม้ที่อยู่บริเวณนั้นถูกพัดปลิวขึ้นไปบนฟ้าด้วยพลังอันมหาศาลของลมพายุ
จากนั้นลมพายุได้เคลื่อนไปปะทะกับแสงศักดิ์สิทธิ์ซึ่งกำลังจะใกล้มาถึงตัวบ้านแล้ว เมื่อพลังอันทรงพลังทั้งสองได้ชนกันได้ทำให้เศษดินกระจายไปทั่วบริเวณ ด้วยแรงปะทะที่รุนแรงเช่นทำให้บ้านไม้ไม่สามารถทนรับการโจมตีได้ มันแทบจพังทลายได้ตลอดเวลา
ในที่สุดแสงศักดิ์สิทธิ์ก็ได้ทำลายลมหวนพายุของชายชราอีธานจนหายสลายไปและมันก็ได้พุ่งเข้ามาหาอีธานโดยที่ไม่มีอะไรมาขว้างกั้นอีกแล้ว
ชายชราอีธานที่ดูสงบ เขาเผยรอยยิ้มอันลึกลับออกมา เขารอรับความตายที่กำลังคืบคลานมาหาเขาอย่างช้า ๆ
“บูม!!!!”
กลุ่มของเปลวไฟปรากฏขึ้นเหนือร่างของอีธานและลุกไหม้ร่างของเขา ในพริบตาเขาก็ถูกไฟเผาจนเหลือแต่เถ้าถ่าน จากนั้นแสงศักดิ์สิทธิ์ปะทะบ้านไม้อย่างไร้ความปรานี เศษซากปลิวว่อนกระจายไปทั่วทิศทาง
มุมปากของชายเสื้อคลุมสีขาวบิดได้เบี้ยว สีหน้าของเขาดูมืดมนมาก เมื่อเขาจ้องไปที่ ๆ ชายชราอีธานเคยยืนอยู่หลัง จากนั้นเขาก็หันไปพูดกับนักดาบบ็อคว่า “คนนอกรีตผู้ชั่วร้ายได้ตายไปแล้ว เจ้าช่วยเอาคนของไปค้นบ้านของคนนอกรีตอย่างละเอียดและอย่าปล่อยให้ใครนอกจากพวกเราเข้าไปข้างในด้วย”
นักดาบบ็อคพยักหน้า เขานำนักรบศักดิ์สิทธิ์เข้าไปในบ้านไม้
เมื่อการต่อสู้ที่เหนือจินตการได้สิ้นสุดลง ได้ทำเหล่าชาวบ้านที่มุงดูได้ตื่นขึ้นมาจากภวังค์ พวกเขาต่างตื่นตกใจกับสิ่งที่เกิดขึ้นในวันนี้ พวกเขาคงไม่มีทางลืมมันไปชั่วชีวิตแน่นอน
“ท่านบาทหลวงได้โปรดอวยพรให้กับพวกเราและช่วยพวกเราชำระล้างความสกปรกของคนนอกรีตนี้ด้วย!”
พวกชาวบ้านได้โค้งคำนับเล็กน้อยต่อชายผิวขาวและแสดงความเคารพต่อบาทหลวงผู้มีเกียรติคนนี้ พวกเขาไม่รู้จักตัวตนที่แท้จริงของชายผิวขาวเป็นใครแต่พวกเขาได้สวดอ้วนวอนต่อเขา เนื่องจากพวกเขาคิดว่าร่างกายของพวกเขาอาจแปดเปื้อนพลังอันชั่วร้ายของคนนอกรีตที่ชั่วร้าย
รอยยิ้มปรากฎบนใบหน้าของชายเสื้อคลุมสีขาว หน้าที่ของบาทหลวงนั้นเขาได้เคยปฏิบัติมาก่อน
สำหรับบาทหลวงเป็นตำแหน่งที่อยู่ต่ำในโบสถ์แห่งแสง ตัวเขาได้ไต่เต้าขึ้นมาเป็นพ่อมดในการพิพากษาซึ่งเป็นที่สูงกว่าบาทหลวงมาก
อย่างไรก็ตาม เขาก็รู้สึกยินดีที่ชาวบ้านยกย่องเขาในตอนนี้ เขาพูดด้วยน้ำอันอ่อนโยนว่า “ขอให้ทุกท่านไม่ต้องกังวลไป คนนอกรีตที่ชั่วร้ายใช้เวทมนตร์ของปีศาจที่ต้องการจะล่อลวงพวกคุณได้ถูกกำจัดไปแล้ว ส่วนแปดเปื้อนอะไรนั่น ถ้าหากทุกคนเชื่อในพระเจ้าอย่างจริงใจ พระผู้เป็นเจ้าจะคอยปัดเป่าสิ่งชั่วร้ายออกไปเอง”
จากนั้นชายเสื้อคลุมสีขาวกางแขนออกและพูดบทสวดเสียงดังทันใดนั้นก็ได้มีแสงสีขาวจางๆ ห่อหุ้มทุกคนและทำให้จิตใจของพวกเขารู้สึกสงบ
จากนั้นพวกชาวบ้านได้สวดอ้อนวอนต่อพระเจ้าแห่งแสงด้วยเสียงต่ำ มีเพียงเมอร์ลินและคาริซเท่านั้นที่ไม่ได้สวดอ้อนวอน ใบหน้าของคาริสซีดมากและริมฝีปากของเธอก็กลายเป็นสีฟ้าอมม่วง เห็นได้ชัดว่าเธอรู้สึกหวาดกลัวมาก
เนื่องจากพวกเขาอาศัยอยู่ในอาณาจักรแห่งแสงและอยู่ภายใต้อิทธิพลของโบสถ์เทพแห่งแสงสว่างเป็นเวลานาน พวกเขาล้วนหวาดกลัวกับพวกนอกรีตที่ชั่วร้าย คาริซก็เป็นหนึ่งในคนที่คิดแบบนั้น เธอไม่อยากจะเชื่อเลยว่าชายชราอีธานผู้ซึ่งดูไม่แตกต่างจากคนทั่วไปและเป็นคนที่มีความรู้กว้างขวางจะกลายเป็นคนนอกรีตที่น่ากลัวและชั่วร้ายไปได้
ส่วนทางเมอร์ลิน สีหน้าของเขาก็ดูไม่ดีเหมือนกันแต่เขาดูสงบกว่าคาริซ เมอร์ลินไม่ได้รู้สึกหวาดกลัวตัวตนของอีธานในฐานะคนนอกศาสนาที่ชั่วร้ายแต่รู้สึกว่าเรื่องนี้อาจทำให้เขาต้องเดือดร้อน
“คุณคาริสไปกันเถอะ”
เมอร์ลินยื่นมือออกไปจับคาริสฝ่ามือของเธอที่เต็มไปด้วยเหงื่อ นี่แสดงให้เห็นว่าเธอเป็นกังวลและกลัวมาก
โชคดีที่หลายคนยังคงสวดอธิษฐานอยู่จึงไม่มีใครสังเกตเห็นเมอร์ลินและคาริซที่หลบฉากออกไป เมื่อพวกเขาขึ้นไปในรถม้าของพวกเขาแล้วและออกเดินจากไปอย่างเงียบ ๆ
...
เมื่อเมอร์ลินกลับมาถึงปราสาทวิลสัน เมอร์ลินรีบเข้าไปในห้องของเขาทันที
“เฮ้ออ”
เขาถอนหายใจเฮือกใหญ่เพื่อไล่ความความกังวลที่มีออกไป เพื่อให้ตัวเองรู้สึกสบายใจมากขึ้นแต่เมื่อเวลาผ่านไปความรู้สึกนั้นก็ยังอยู่ไม่หายไปไหน
ภาพการต่อสู้ระหว่างชายชราอีธานกับชายผิวขาวดูเหมือนจะเปิดโลกทัศน์ใหม่ให้กับเขา ก่อนหน้านี้เขาเคยคิดว่านักดาบธาตุนั้นแข็งแกร่งและทรงพลังที่สุดในโลกนี้
แต่อย่างไรก็ตามพลังที่ชายชราอีธานกับชายผิวขาวจากโบสถ์นั้นต่อสู้กันนั้นมันทรงพลังเกินกว่าจินตนาการของเขามาก แม้แต่แก็ไม่เทียบเคียงได้
ชายชราอีธานและชายผิวขาวเป็นคนที่มีพลังอันยิ่งใหญ่และทรงพลังอย่างแท้จริง!
“จริงสิ อาจารย์อีธานได้มอบแหวนให้ฉันก่อนหน้านี้นี่”
เขาได้นึกถึงแหวนที่ชายชราอีธานมอบให้เขา ตอนแรกเขาคิดว่ามันเป็นแหวนธรรมดา ๆ แต่หลังจากที่ได้ค้นพบว่าอีธานเป็นคนที่สามารถใช้เวทย์มนต์คาถาได้ จึงทำให้เขาเปลี่ยนความคิดในเรื่องนี้ไป
ดังนั้นเมอร์ลินจึงตรวจสอบมันอย่างเร่งรีบ